โรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามกำลังอยู่ในระยะโชติ่สูงสุด มีคนงานจำนวนหลักหมื่นและได้รับกำไรต่อปีราวสองถึงสามสิบล้าน ถือเป็หน่วยงานขนาดใหญ่ที่ส่งออกและทำเงินสกุลต่างชาติท่ามกลางรัฐวิสาหกิจของซางตู
โรงงานแบบนี้ แค่ลองนึกก็รู้แล้วว่ารองผู้อำนวยการจะมีงานล้นมือมากขนาดไหน
ทุกวันหยวนหงกังยุ่งจนเท้าแทบไม่แตะพื้น คนงานในโรงงานเข้าสามกะเสมอ เขาผู้ซึ่งเป็รองผู้อำนวยการโรงงานจึงไม่ควรว่างเกินไปแม้่นี้บิดาบังเกิดเกล้าของเขาล้มขาหัก นอกจากที่หยวนหงกังไปโรงพยาบาลหนึ่งหนหลังจากนั้นก็ไปเยี่ยมเยียนที่บ้านแค่ครั้งเดียว และนี่คือครั้งที่สอง
คราวก่อนเขาได้พบหลิวหย่งแล้ว เขาไม่ถึงกับชื่นชอบการกระทำของหลิวหย่งแต่คนเขาช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ อีกทั้งหยวนหงกังผู้เป็ลูกชายไม่สามารถแสดงความกตัญญูปรนนิบัติบิดาชราที่าเ็ได้จึงไม่อาจออกปากไล่หลิวหย่งไปได้สินะ?
หลิวหย่งช่วยจัดการในเื่ที่ลูกชายอย่างเขาทำไม่ได้หยวนหงกังกลัวว่าอนาคตเขาจะขอร้องบางสิ่งที่น่าลำบากใจ ดังนั้นเมื่อเจอหลิวหย่งก็รู้สึกละอายใจอยู่บ้างที่คิดเช่นนั้น
และคนระดับหัวหน้าของหน่วยงานในตอนนี้ ส่วนมากเป็คนใสซื่อมือสะอาด คิดมองการณ์ไกลเพื่อโรงงานด้วยความจริงใจไม่มีความคิดยุ่งเหยิงอลหม่านมากมายขนาดนั้น
หากเป็ยุคอนาคต รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่เช่นโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามนี้บิดาของรองผู้อำนวยการหยวนล้มขาหัก ยังต้องกังวลว่าจะหาคนมาดูแลไม่ได้อีกหรือ? เกรงว่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกให้ความสำคัญยังชิงหน้าที่นี้ไม่ได้ด้วยซ้ำปัจจุบันไม่มีใครคิดได้ถึงขั้นนี้จริงๆ อีกทั้งรองผู้อำนวยการต้องรับผิดชอบธุระการแบ่งสรรที่อยู่อาศัยให้แก่พนักงานในโรงงานจึงเป็เื่ยากที่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ ด้วยเหตุนี้เขามักโดนคนงานในโรงงานด่าทอเสียเืสุนัขราดหัว [1]
เขาเป็คนมีใบหน้าซูบผอมแต่ลักษณะกลม เหล่าคนงานจึงเรียกเขาลับหลังว่า ‘หยวนหัวโต’
หยวนหงกังไม่รู้หรือ?
เขารู้ดีอยู่แก่ใจ!
ทว่าจะตำหนิอะไรได้คนงานบางคนเข้าทำงานั้แ่โรงงานฝ้ายที่สามก่อตั้งในยุค 50 ความาุโมีมากกว่าเขาเมื่อเขาเจอพวกรังควานไม่จบสิ้นก็ทำได้เพียงอดกลั้นและเดินเลี่ยงไป คนงานพวกนั้นเป็พวกเอาเื่พอสมควรไม่หวาดกลัวว่าทางโรงงานจะไล่พวกเขาออกแม้แต่น้อย โรงงานฝ้ายที่สามผลประกอบการดีเหล่าคนงานสามารถเดินอกผายไหล่ผึ่งผ่านหน้าหยวนหงกังได้ เพราะเื่สำคัญอย่างการผลิตตรงกันข้ามกับหยวนหงกังที่ยังต้องคอยโอ๋พวกเขาอีกด้วย
ในมืออำนาจไว้แท้ๆ กลับไม่ได้สำแดง ทั้งต้องยุ่งกับการงาน ต้องรองรับความขัดแย้งระหว่างภรรยาและมารดาบิดาาเ็ยังปรนนิบัติรับใช้ไม่ได้เลย...รองผู้อำนวยการหยวนที่ตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้พอเผชิญหน้ากับหลิวหย่งผู้เป็มิตร กระตือรือร้นเอาใจสุดชีวิต เขาจะทำอย่างไรได้?
เขาสู้บิดาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หลิวหย่งประจบประแจงก็ควรจะชื่นมื่นยินดีแต่รองผู้อำนวยการหยวนกลับรู้สึกหวาดหวั่นน่ะสิ!
กว่าจะหาเวลากลับบ้านสักรอบได้ ให้ตายชายชราไปโรงพยาบาลตรวจร่างกายซ้ำและเขาก็ไม่ทันอีกแล้ว
หญิงชราห่อเกี๊ยวไส้หมูไว้ให้เขา หยวนหงกังรับประทานด้วยความรักของมารดาเต็มปากตะเกียบยังไม่ได้หยุด หญิงชราก็มีรับสั่งแล้ว
“เกี๊ยวอร่อยล่ะสิ? แป้งของวันนี้น่ะเสี่ยวหลิวเป็คนนวดให้แรงมือเขาเยอะกว่าแม่ที่ไม่ได้เื่คนนี้... ลูกกินเกี๊ยวที่เสี่ยวหลิวนวดคนเขาแสดงความกตัญญูดูแลพ่อแทนลูก ทำไมถึงสบายใจเฉิบไม่พูดอะไรเลยแบบนี้?! ”
เสี่ยวหลิวที่หญิงชรากล่าวถึงโบกไม้โบกมือหยอยๆ อยู่ด้านข้างพึมพำว่าทำไปตามสมควรเท่านั้น
หญิงชราไม่สบอารมณ์กับหยวนหงกัง “ลูกจะรังแกคนซื่อตรงอย่างเสี่ยวหลิวไม่ได้นะ!”
หากคนไม่รู้เื่ราวภายในมาเห็นฉากนี้เข้าคงนึกว่าหยวนหงกังเป็ลูกที่เก็บมาเลี้ยง และ ‘เสี่ยวหลิว’ คือบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของหญิงชรา
“สหายหลิวหย่ง คุณนั่งลงพูดเถอะ พวกเราสองคนคุยกันให้เข้าใจสักหน่อย”
หยวนหงกังคิดว่ายิ่งผ่านไปยิ่งติดค้างน้ำใจมากขึ้น เขาจะใช้สิ่งใดตอบแทน? หลิวหย่งมีธุระอะไรก็รีบพูดเสีย ถ้าไม่เป็ภัยต่อผลประโยชน์ของโรงงานเขาช่วยได้ก็ช่วยแล้วกัน
หยวนหงกังได้ยินว่าหลิวหย่งมาจากชนบท ยังนึกว่าเป็ธุระจัดแจงลูกชายหลานชายเข้าทำงานโรงงานอะไรเทือกนั้นผลประกอบการของโรงงานดี คนงานกลุ่มแรกเมื่อครั้งก่อตั้งโรงงานก็อายุมากขนาดลูกหลานในครอบครัวที่โตแล้วอยากเข้าทำงานที่โรงงานยังต้องต่อแถวรอโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามไม่ขาดแคลนคนงานแน่นอน
ในโรงงานมีบางคนอายุเพิ่งสี่สิบกว่าเพื่อสละโควตาเข้าทำงานให้ลูกหลานที่จะรับ่ต่อยังต้องจัดการเกษียณอายุงานล่วงหน้าด้วย
หนึ่งคนหนึ่งตำแหน่งเท่านั้น หากหลิวหย่ง้าขอให้เขาช่วยพาเข้าทำงานในโรงงานหยวนหงกังคิดว่าคงสำเร็จยาก แต่ก็ต้องพยายามลองแก้ไขพนักงานที่จ้างใหม่ล้วนเป็พี่น้องลูกหลานของคนเก่าคนแก่ในโรงงานมิเช่นนั้นก็มีทะเบียนบ้านเมือง ทะเบียนบ้านชนบทช่างจัดการยากเหลือเกิน...โดยเฉพาะทุกพฤติกรรมของเขามักถูกพวกคนงานของโรงงานที่โวยวายจะแบ่งบ้านเ่าั้จับจ้องอย่างเหนียวแน่นยิ่งนัก
“ผู้อำนวยการหยวน เื่เป็มาอย่างนี้ครับคุณเห็นแล้วสินะว่าผมเข้าเมืองมาหาลู่ทางดำรงชีวิต ไม่มีฝีมือไม่มีทะเบียนบ้านการงานหาได้ยาก เลยคิดอยากทำธุรกิจส่วนตัว อากาศเย็นลงแล้วตั้งแผงลอยบนถนนยิ่งไม่สะดวก จึงอยากขยับขยายขนาดธุรกิจด้วย ญาติที่บ้านจะได้มีงานทำจึงอยากเปิดหน้าร้านสักแห่ง... ได้ข่าวว่าหน้าร้านว่างสามคูหาเลขที่ 45 ถนนเอ้อร์ชีเป็อาคารในของโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สาม จึงอยากขอให้คุณช่วยเหลือสักหน่อยให้การพิจารณาว่าทางโรงงานเห็นด้วยกับการปล่อยให้พวกเราเช่าเปิดร้านหรือไม่”
อาคารหลังเล็กที่ถนนเอ้อร์ชีนั่น?
ติดอยู่ในความคิดหยวนหงกังชัดเจนทีเดียว
อาคารหลังนี้แย่งกันไปแย่งกันมา ว่างเปล่าได้ปีกว่าแล้วเดิมทีโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามเปิดร้านแสดงสินค้าที่นั่นคือการนำผลิตภัณฑ์สิ่งทอซึ่งโรงงานผลิตเองวางจำหน่ายที่นั่น จริงๆแล้วเป็ความอุตสาหะเอาหน้าที่โรงงานก่อนทำไว้ ทว่าโรงงานฝ้ายแห่งที่สามผลิตสินค้าได้เท่าไรตลาดก็รับได้เท่านั้นทั้งยังต้องส่งออกอีก จะว่างมาทำธุรกิจค้าปลีกจำนวนเล็กน้อยที่ไหนกัน
ต่อมาได้ประกาศว่าอาคารหลังนั้นเป็ของส่วนบุคคลอีกครั้งรัฐตั้งใจคืนให้เ้าของเดิม อาคารหลังเล็กตระหง่านโดดเดี่ยวอยู่ที่นั่นอยากแบ่งสรรก็ต้องตีกันหัวร้างข้างแตก ทุกคนล้วนคิดว่านั่นเป็อาคารเล็กหลังเดี่ยวไม่ยอมถอยให้ใครแม้แต่ก้าวเดียว เล่นเสียในโรงงานวุ่นวาย จึงว่างเว้นอาคารหลังนั้นไว้ชั่วคราวเสียดื้อๆ...นี่ก็ปีกว่าแล้ว หากหลิวหย่งไม่กล่าวถึง หยวนหงกังเองคงลืมไป
หยวนหงกังเคยได้ยินเื่คนทั่วไปเช่าอาคารทำธุรกิจกับหน่วยงานธุรกิจอิสระที่เติบโตว่องไวพวกนั้นได้เปิดกิจการแล้ว
หยวนหงกังกำลังครุ่นคิดว่าเื่นี้สามารถจัดการสำเร็จได้หรือไม่พลางสอบถามไปตามเื่ตามราว “คุณเตรียมทำธุรกิจอะไร?”
“ขายเสื้อผ้าครับ”
หลิวหย่งไม่ปิดบัง หยวนหงกังนึกคิดในใจ ขายเสื้อผ้าในซางตูเนี่ยนะ?
โรงงานเสื้อผ้าน้อยใหญ่ตั้งอยู่ทุกทั่วหัวระแหงสิ่งที่เมืองนี้ไม่คลาดแคลนเลยคือเสื้อผ้า แต่หาก้าทำธุรกิจให้เจริญย่อมมีการแข่งขันมากตอนแรกเขาอยากตักเตือนหลิวหย่งสักสองสามคำ ทว่ากลัวหลิวหย่งเข้าใจผิดจึงเงียบงันไปโดยปริยาย
หญิงชราเร้าเขา “เื่นี้จัดการไม่ได้? อย่างไรเสียว่างเปล่าอยู่เฉยๆ โรงงานก็ไม่อนุญาตคนงานไปอาศัย ลูกเป็ผู้ดูแลงานตรงนี้ตัดสินใจปล่อยให้เสี่ยวหลิวเช่าก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ!”
หยวนหงกังส่ายหน้า “แม่เื่มันไม่ง่ายขนาดนั้นเหมือนแม่ว่า ผมสามารถตัดสินใจแทนโรงงานได้จริงแต่กรรมสิทธิ์ของอาคารนี้ยังมีข้อพิพาท... อาคารนี้ต้องกลับคืนสู่ใครตอนนี้ยังถกเถียงกันไม่ชัดเจน”
หยวนหงกังกระอักกระอ่วน หลิวหย่งก็ดูออกว่าธุระนี้จัดการได้ยากอย่างไรเสียเขาก็ทราบว่าหยวนหงกังยอมรับจะช่วยเหลือแล้วหลิวหย่งไม่เข้าใจเื่ความขัดแย้งในกรรมสิทธิ์ของอาคารเขารู้แค่อาคารในเมืองล้วนเป็ของประเทศ ดั่งหน่วยงานเช่นโรงงานฝ้ายแห่งชาตินี้เมื่อโรงงานฝ้ายตัดสินให้ใครเปิดร้าน ก็ให้คนนั้นเปิดร้านหนทางในการมาพบรองผู้อำนวยการโรงงานหยวนโดยตรงคือสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม
รองผู้อำนวยการหยวนเห็นชอบแล้ว ธุระอื่นย่อมจัดการง่ายดายไปด้วย
ด้านหลิวหย่งถือว่าได้ลงทะเบียนต่อหน้าผู้บริหารของโรงงานที่สามเรียบร้อย
----------------------------------------
หน้าร้านติดกันสามคูหาเื่เช่าแค่คูหาเดียวนี่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยครุ่นคิดั้แ่ต้นเกิดคนอื่นเห็นธุรกิจขายเสื้อผ้ารุ่งเรืองแล้วเปิดสักคูหาข้างเธอ นั่นถึงเรียกว่าร้อนรุ่มจนทนแทบไม่ไหว
จะเช่าก็ต้องเช่าทั้งสามคูหาเสียเลย
พอบิดาชราของหยวนหงกังกลับมาจากตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลหลิวหย่งได้แบกเขาขึ้นตึกอีก หยวนหงกังยุ่งมากจริงๆมารับประทานเกี๊ยวหนึ่งจานพลางสนทนากับหลิวหย่งหนึ่งชั่วโมงก็จากไปแล้ว
เมื่อหลิวหย่งพบเซี่ยเสี่ยวหลานอีกครั้ง ก็แจ้งเธอว่าธุระเช่าอาคารมีความเป็ไปได้สักห้าส่วนแล้ว
“ผู้อำนวยการหยวนว่าง่ายทีเดียวไม่ใช่เ้าหน้าที่ที่ทำความรู้จักยากแบบนั้น หน้าร้านสามคูหาเลขที่ 45 ถนนเอ้อร์ชีนั่น พวกเราน่าจะเช่าได้แน่นอน”
ขณะที่หลิวหย่งกล่าวเช่นนี้ หลี่เฟิ่งเหมยไปรับลูกชายที่โรงเรียนอยู่เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินจัดสินค้าใต้ชายคา ฝนปนหิมะหยุดแล้วย่าอวี๋ก็นำไม้กวาดอันโตของเธอออกจากบ้านไป หลิวเฟินจัดระเบียบเสื้อผ้าพลางชะเง้อไปทางหน้าประตูเป็ครั้งคราว
ย่าอวี๋ถือไม้กวาดต้วมเตี้ยมกลับมา หลิวเฟินช่วยเธอทำความสะอาดถนนอีกแล้วหลายวันมานี้งานของย่าอวี๋สบายขึ้นมาก
ได้ยินหลิวหย่งพูดถึงเลขที่ 45 ถนนเอ้อร์ชีย่าอวี๋ชะงักฝีเท้า
—บนโลกนี้ไม่มีใครทำดีโดยไร้เหตุไร้ผล ที่แท้นี่ก็คือเหตุผลนั่นเอง
เชิงอรรถ
[1]狗血淋头 เืสุนัขราดหัวมาจากความเชื่อว่าหากราดเืของสุนัขลงบนศีรษะของปีศาจ จะทำให้ปีศาจสูญเสียพลังไปต่อมาหมายถึง การโดนดุด่าอย่างรุนแรง
