ณ จวนตระกูลชุย
“เ้าบอกว่าฉินอวี่ที่อยู่ขั้นยุทธ์ระดับหกนั่น สามารถเทียบชั้นฝีมือกับเ้าได้หรือ? อีกอย่าง ยิ่งสู้เท่าไรเขาก็ยิ่งกล้าหาญมากขึ้นจริงหรือ?” หวังผิงที่นั่งอยู่ในโถงรับแขกของตระกูลชุยพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ ท่านไม่รู้เสียแล้ว ในตอนแรกที่เขามีเืไหลโชก ข้าเห็นกับตาเลยว่าเมื่อเขาได้รับาเ็สาหัสมากขึ้น พลังของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเป็เท่าตัว” ชุยซั่วกล่าว เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ในใจของเขาก็ยังแอบหวั่นเกรง และด้วยเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ชุยซั่วเกรงกลัวฉินอวี่เป็อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการประลองที่เอาเป็เอาตายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
คิ้วดกหนาของหวังผิงขมวดขึ้นเล็กน้อย และเริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก ยิ่งได้รับาเ็สาหัส พละกำลังก็จะเพิ่มขึ้นเป็เท่าตัว นี่เป็เื่ที่เขาเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“หรือว่า เขาอาจจะมีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง? ยิ่งได้รับาเ็มากเท่าไร พละกำลังก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นงั้นหรือ? ถ้าข้าได้รับวิชาเช่นนี้... จะต้องมีความแข็งแกร่งเพิ่มเป็สองเท่า” ดวงตาของหวังผิงหรี่ลงเล็กน้อย ปรากฏเป็สายตาที่ร้อนผ่าว
แม้ว่าหวังผิงจะเป็ถึงหลานชายปรมาจารย์สามแห่งสำนักเทียนหั่ว แต่เขาก็ไม่ใช่คนทะนงตนหรือโง่เขลาเบาปัญญา แม้สถานะจะสูงส่ง แต่เขาก็รู้ดีว่าฟ้าดินแห่งนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด สำนักเทียนหั่วยังไม่ใช่สำนักชั้นยอดของแดนนภาชิงเหลียน เขาระลึกถึงจุดนี้ได้เป็อย่างดี ดังนั้นเขาจึงมีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่อยู่ในใจ เป้าหมายของเขาจึงไม่ได้มีเพียงแดนนภาชิงเหลียนทางตะวันออกเท่านั้น แต่เป็ทั่วทั้งแดนนภาชิงเหลียน และแดนัหลับใหลอย่างซิงเฉิน!
“เ้าเล่าเื่ตอนที่เ้าได้ต่อสู้กับเขาให้ข้าฟังหน่อย” หวังผิงกล่าวเบาๆ
ชุยซั่วพยักหน้า และเริ่มเล่าเื่เหตุการณ์การต่อสู้กับฉินอวี่อย่างละเอียด
หลังจากเขาเล่าจบ หวังผิงก็ไม่พูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่ ดวงตาเป็ประกายอย่างไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นเป็เวลานาน หวังผิงก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ พลางเม้มปาก และพูดขึ้นว่า “ตอนนี้เ้าพอจะรู้เบาะแสของเขาบ้างหรือไม่?”
“ท่านปู่ของข้าตามหาอยู่นานหลายเดือนแล้วแต่กลับไม่พบเจออะไรเลย เขาอาจจะเก็บตัวบำเพ็ญยุทธ์ไปแล้วก็ได้ ดังนั้น... ข้าจึงเป็กังวล... เกี่ยวกับการประลองในไม่กี่วันข้างหน้ายิ่งนัก” ชุยซั่วหรี่ตามองหวังผิงและพูดเบาๆ ในใจของเขาแอบมีความสุขอยู่เล็กน้อย เมื่อดูจากสีหน้าของหวังผิงแล้ว ชุยซั่วดูเหมือนจะััได้ว่าหวังผิงมีความสนใจบางอย่างในตัวฉินอวี่
“เ้ามั่นใจแค่ไหน?” หวังผิงเหลือบมองชุยซั่ว และถามอย่างช้าๆ
“ข้ากำลังเป็กังวลว่าความแข็งแกร่งของเขาอาจจะเปลี่ยนไปใน่ระยะเวลาห้าเดือนนี้ ที่ผ่านมาเขาใช้ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็สามารถก้าวจากคนธรรมดาคนหนึ่งเข้าสู่ขั้นยุทธ์ระดับหกได้ และในห้าเดือนนี้... ข้าเดาว่าเขาอาจจะพัฒนาได้ถึงขั้นปราณเสถียรระดับต้น แต่หากไม่ถึงขั้นนั้น ก็น่าจะอยู่ขั้นยุทธ์ระดับเก้า...” ชุยซั่วยังไม่ทันพูดจบ หวังผิงก็ขัดจังหวะขึ้นมาทันที
“ช้าก่อน เ้าบอกว่าเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน เขาสามารถก้าวข้ามจากคนธรรมดาเข้าสู่ขั้นยุทธ์ระดับหก?” ดวงตาของหวังผิงเบิกกว้าง และพูดด้วยความใเล็กน้อย
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน สามารถก้าวข้ามจากคนธรรมดาเข้าสู่ขั้นยุทธ์ระดับหก นี่ไม่น่าจะเป็สิ่งที่เป็ไปได้ ในตอนเริ่มต้น ตัวเขาเองยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีจึงจะก้าวข้ามจากคนธรรมดาเข้าสู่ขั้นยุทธ์ระดับหกได้
“จริงแท้แน่นอน! ลูกพี่ลูกน้องของข้าทั้งสองคนเป็พยานได้ และท่านปู่ของข้าก็ได้ตรวจสอบมาแล้วด้วย” ชุยซั่วพูดอย่างจริงจัง ความกังวลปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วอย่างชัดเจน
หวังผิงหมุนถ้วยชาในมือเล่น ความคิดของเขาโลดแล่นอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุด เขาก็สามารถสรุปอะไรบางอย่างได้นั่นคือ ฉินอวี่คงได้รับพัฒนาการบางอย่างที่ไม่ธรรมดา เป็พัฒนาการอย่างหนึ่งที่ทำให้ยิ่งสู้เท่าไรก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น และมีความเป็ไปได้ว่าจะเป็ทักษะการต่อสู้อันทรงพลังชนิดหนึ่ง
เมื่อชุยซั่วเห็นหวังผิงตกเข้าสู่ห้วงความคิด เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และเลือกที่จะไม่รบกวน เหตุผลที่เขาเชิญหวังผิงมายังเมืองหลักเทียนอู่ สิ่งสำคัญที่สุดคือ้ายืมใช้เพลิงปฐีของเขา และเพื่อให้หวังผิงยินยอม เขาจึงต้องยกเื่ฉินอวี่มาดึงดูดความสนใจ ขอเพียงแค่หวังผิงมีความสนใจ เช่นนั้นเขาก็ไม่กลัวแล้วว่าจะไม่ได้ยืมใช้เพลิงธรณี
“เ้าก็ได้อาวุธิญญาที่ไม่เลวไปแล้วมิใช่หรือ? ไหนจะมีเม็ดยาะเิกาย เช่นนี้ก็น่าจะแน่นอนแล้วว่าเ้าต้องมีชัยชนะเหนือฉินอวี่” หลังจากครุ่นคิดเป็เวลานาน หวังผิงก็กล่าวอย่างเฉยเมย
“หากไม่สามารถกำจัดเขาได้ในคราเดียว ข้าก็มั่นใจเพียงห้าส่วน ถึงอย่างไร ทักษะการต่อสู้ของเขาก็น่ากลัวเกินไป แต่... หากมีเพลิงธรณี บางทีโอกาสคว้าชัยชนะมาได้ก็จะยิ่งมีมากขึ้น” ชุยซั่วส่ายศีรษะ หรี่ตาลงมองหวังผิง
หวังผิงเลิกคิ้วขึ้น และจ้องไปทางชุยซั่วด้วยสายตาที่เ็า ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เ้ากำลังหมายจะยืมใช้เพลิงแอ่งธรณีของข้านะหรือ?” เพลิงแอ่งธรณีนี้เป็เพลิงธรณีที่หวังผิงได้มาโดยยากลำบาก และเป็ดั่งบ่อเกิดชีวิตของเขา เขาจะยอมให้ยืมง่ายๆ ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น... หากฉินอวี่ตายไป เขาจะได้ทักษะการต่อสู้เช่นนั้นได้จากที่ไหนอีก?
“เพลิงแอ่งธรณีของศิษย์พี่ใหญ่มีพิษใช่หรือไม่?” ชุยซั่วระงับความตื่นตระหนกไว้ในใจ ก่อนจะถามออกไป
หวังผิงหรี่ตาลง พูดจาวนเวียนอยู่นานท้ายที่สุดชุยซั่วก็กล้าคิดที่จะยืมใช้เพลิงแอ่งธรณีของตนเอง เพียงแต่ คำถามของชุยซั่วนั้น ได้สะกิดใจของเขาขึ้นมา เขาจึงพูดขึ้นอย่างเรียบๆ “พูดต่อไปเถอะ”
“ถ้าศิษย์พี่ใหญ่ให้ข้ายืมใช้เพลิงแอ่งธรณี ข้าก็จะยืมใช้เพลิงแอ่งธรณีเพียงเพื่อเอาชนะฉินอวี่ แต่จะไม่สังหารเขา... และเพราะความมีพิษของเพลิงแอ่งธรณี เมื่อเขาัักับเพลิงธรณี... เขาก็จะต้องถูกพิษ...” ชุยซั่วยังไม่ทันพูดจบ เขาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ปล่อยเวลาให้หวังผิงลองคิดตาม
หัวใจของหวังผิงเริ่มสั่นไหว หากฉินอวี่ได้ััถูกเพลิงแอ่งธรณี ความเป็ความตายของเขาก็จะตกอยู่ในมือของตนเอง ถึงเวลานั้น... ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะบีบบังคับเอาทักษะการต่อสู้จากเขาออกมาไม่ได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ หวังผิงก็หันมองชุยซั่วด้วยสายตาเ็า และเตรียมจะพูดขึ้น แต่กลับถูกชุยซั่วพูดขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน “ศิษย์พี่ใหญ่ นี่ไม่ใช่แผนการที่ชุยซั่วจะทำอะไรกับท่าน แต่มีเพียงเพลิงแอ่งธรณีของศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้นที่จะช่วยข้าได้ หากศิษย์พี่ใหญ่ยินดีช่วย ชุยซั่วก็มีน้ำใจเล็กน้อยมอบให้ท่าน” พูดจบ ชุยซั่วก็หยิบวงแหวนมิติออกมาและยื่นให้หวังผิง
หลังจากรับวงแหวนมิติเอาไว้ หวังผิงก็เริ่มใช้มโนจิตกวาดสายตามองด้านใน สายตาของเขาหรี่เล็กลง และเก็บวงแหวนมิติไว้ด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ พลางพูดขึ้นอย่างเ็า “ครั้งนี้ข้าจะให้เ้ายืม แต่ครั้งหน้าคงไม่ได้อีก จำไว้ ข้า้าให้เขามีชีวิตอยู่!” พูดจบ หวังผิงก็ลุกขึ้นและเดินจากไป
ชุยซั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าของเขาดูเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง เมื่อมีเพลิงแอ่งธรณีแล้ว ฉินอวี่นั่นจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“ทำได้ไม่เลว! เสี่ยวซั่ว เ้าจะต้องจำไว้ ไม่ว่าใครก็ตาม... ไม่มีวันหลีกหนีคำว่า ‘ผลกำไร’ ไปได้! หลังจากครั้งนี้ไป ขอเ้าจงตั้งใจฝึกฝนในสำนักเทียนหั่วให้ดี อ้อจริงสิ ในวันพรุ่งนี้อี้จ้านเทียนแห่งสำนักโบราณเทียนหลงจะจัดงานเลี้ยงขึ้น พาฉินเฟิงลูกพี่ลูกน้องของเ้าไปด้วยกันสิ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็พี่น้องของเ้า พาเขาไปเปิดโลกสักหน่อย เช่นนี้จะเป็ผลดีกับเขาเมื่อได้เข้าสู่สำนักเซียนในอนาคต” ในตอนนี้ ชุยหงก็เดินเข้ามาจากประตูด้านหลัง และพูดอย่างเห็นดีเห็นงาม
“ขอรับ ท่านปู่!” ชุยซั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกไม่ชอบฉินเฟิงคนนี้เอาเสียเลย แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เขาจึงได้แต่พยักหน้า
เมื่อเห็นชุยซั่วที่กำลังเดินออกไป ชุยหงก็นั่งลง เขามองไปทางประตู และหรี่ตาลง ก่อนจะพูดขึ้นมาทันที “อาหย่ง”
ในตอนนี้เอง ก็มีร่างที่แข็งแกร่งเดินเข้ามายังโถงรับแขกจากทางประตูด้านหลัง คนผู้นี้คือฉินหย่ง เพียงแต่เมื่อเทียบกับผู้บัญชาการกองพันทหารที่สง่างามแล้ว ฉินหย่งในตอนนี้ดูมีใบหน้าที่มืดมนกว่ามาก แขนข้างขวาของเขาว่างเปล่า เนื่องจากถูกจื่อซวินเอ๋อตัดไปแล้วั้แ่ต้น ทำให้อารมณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
“เื่ของเสี่ยวเฟิงข้าได้จัดเตรียมไว้หมดแล้ว และข้าคงจะเริ่มจัดการเื่ของสำนักเซียนไว้ด้วย เ้าสามารถไปฝึกฝนพัฒนาตนเองที่นั่นได้อย่างสบายใจ” ชุยหงมองฉินหย่งพลางพูดอย่างช้าๆ
“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพ!” ฉินหย่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
วันต่อมา
ผู้ฝึกฝนยุทธ์และประชาชนทั่วไปต่างเข้ามารวมตัวกันตามท้องถนนมุ่งหน้าสู่วังหลวง ทุกคนต่างมองดูเหล่าผู้ฝึกฝนยุทธ์ที่กำลังเดินอยู่บนท้องถนน ในมือต่างถือหนังสือเชิญสีทองเอาไว้ ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความริษยาและน่าเกรงขาม
ในวันนี้ ฉินเฟิงสวมเสื้อคลุมบัณฑิตที่หรูหรา มีชุยซั่วเดินตามอยู่ด้านหลัง ขณะที่กำลังเดินไปตามถนน สายตาของคนทั่วไปและผู้ฝึกฝนยุทธ์ที่อยู่สองข้างถนนต่างก็ให้ความสนใจเขาเป็พิเศษ ทำให้ฝีเท้าของเขาดูช้าลงมาก
“มัวแต่ถ่วงเวลาอะไรอยู่ ยังไม่รีบตามไปอีก” ชุยซั่วที่อยู่ด้านหน้าจ้องไปยังฉินเฟิงอย่างดุดัน และะโออกไปทันที
ฉินเฟิงยิ้ม เผยให้เห็นฟันสีทองที่มีอยู่เต็มปากของเขา และรีบเดินตามชุยซั่วไปอย่างรวดเร็ว
ชุยซั่วรู้สึกหงุดหงิดมาก เขาไม่รู้ว่าทำไมปู่ของเขาจึงอยากให้ฉินเฟิงตามมาที่นี่ เขามีสิทธิ์ที่จะไปรู้จักศิษย์หนุ่มสาวอะไรกัน? คงจะทำให้เขาเสียหน้าเสียมากกว่า แต่ครั้งนี้ท่านปู่ถึงกับยอมเปลืองเงินเพื่อเพลิงธรณีที่เขา้า ชุยซั่วจึงไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นเขาจึงต้องยอมพาฉินเฟิงมาด้วย
“จำสิ่งที่ข้าเคยพูดกับเ้าเอาไว้ให้ดี มองให้น้อย พูดให้น้อย กินให้น้อย เข้าใจหรือไม่” ชุยซั่วเหลือบมองพวกหวังผิงที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะหันมากระซิบกับฉินเฟิง
ฉินเฟิงพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาของเขาหันกลับมาอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อเขาเห็นร่างอันงดงามอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาก็นิ่งงัน และเขาก็พูดออกไปทันทีอย่างอดไม่ได้ “พี่ชาย ท่านดูนั่นสิ... นั่นฉินเสวี่ยไม่ใช่หรือ? นางมีหนังสือเชิญด้วยหรือ?”
ชุยซั่วเงยหน้าขึ้น และได้พบกับฉินเสวี่ยที่กำลังยืนอยู่หน้ากลุ่มของพวกเขา ซึ่งกำลังเข้าแถวรอเข้าไปยังวังหลวงเช่นกัน
เมื่อมองไปยังฉินเสวี่ย ดวงตาของชุยซั่วก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที ในตอนแรก ด้วยเหตุที่ฉินเสวี่ยเกือบจะสร้างความขุ่นเคืองให้กับจื่อซวินเอ๋อ ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่าจื่อซวินเอ๋อกลับสงสารฉินเสวี่ย สิ่งนี้ทำให้ชุยซั่วถอนหายใจอย่างโล่งอก และทำให้เขาก็รู้สึกอยากระบายความไม่พอใจออกไป ก่อนจะกระซิบขึ้นเบาๆ “คงเป็เพราะองค์หญิงสิบสามอะไรนั่น ประเดี๋ยวก็ตามข้ามาดีๆ ก็แล้วกัน”
...
ฉินเสวี่ยถือหนังสือเชิญไว้แน่น และรู้สึกอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ครั้งนี้นางมาที่นี่ตามคำพูดของหลงอวี่ เพื่อทำความรู้จักกับเหล่าศิษย์สำนักเซียน ซึ่งนี่คือประโยชน์ของตนเองและพี่ชายในอนาคต แต่การเข้าร่วมงานเลี้ยงศิษย์สำนักเซียนเป็ครั้งแรกทำให้นางรู้สึกกังวลและประหม่าอย่างมาก
เมื่อถึงลำดับของฉินเสวี่ย นางจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่หยิบหนังสือเชิญและยื่นมันออกไปให้กับชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่ตรวจหนังสือเชิญ แต่กลับได้ยินเสียงที่แหลมคมดังขึ้น “เป็แค่บุตรสาวของพ่อค้าคนหนึ่ง มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ได้ด้วยหรือ? หนังสือเชิญนั่นของปลอมหรือไม่?”
ฉินเสวี่ยที่มีความกังวลอยู่แต่เดิมได้ตื่นตระหนกขึ้น หนังสือเชิญในมือหล่นลงสู่พื้น ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว จากนั้นก็กวาดสายตามองฉินเสวี่ยอยู่ครู่หนึ่ง และพูดเบาๆ “เ้าได้หนังสือเชิญมาจากไหนหรือ?”
ฉินเสวี่ยรีบหยิบหนังสือเชิญขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และก้มศีรษะลง ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ และพูดอย่างตะกุกตะกัก “เอ่อ... คือว่าองค์... องค์หญิงหลงอวี่เป็คนมอบให้ข้า”
“หลงอวี่? เหลวไหล นี่เป็งานเลี้ยงของเหล่าศิษย์สำนักเซียน บุตรสาวของพ่อค้าอันต่ำต้อยมีสิทธิ์เข้าร่วมได้ด้วยหรือ?” เวลานี้ จู่ๆ ชุยซั่วที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังก็พูดขึ้นทันที หลังจากพูดจบ เขาก็เหลือบมองหวังผิงที่อยู่ด้านหน้า ก็พบว่าหวังผิงกำลังขมวดคิ้วมองดูนางอยู่ เขาถอนหายใจ พลางกล่าวต่อ “ยังไม่ไสหัวไปอีก?”
ท่ามกลางผู้คน ฉินอวี่มีสีหน้าเคร่งขรึมจนน่ากลัว เขาจ้องไปยังชุยซั่วที่กำลังะโใส่ฉินเสวี่ยอย่างเ็า สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แต่สยงท่าเทียนที่อยู่ด้านข้างกลับพูดขึ้นมา “พี่ใหญ่ ทำไมพวกเรายังไม่เข้าไปอีกล่ะ ยังรอใครอีกหรือ?”
ดวงตาของฉินอวี่จ้องมองไปที่ฉินเสวี่ยที่กำลังสั่นเทาทั่วทั้งร่าง มือทั้งสองของเขาก็กำหมัดและกัดฟันแน่นขึ้นทันที และพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “เดี๋ยวก่อน รออีกหน่อย!”