บทที่ 24 มีความเห็นก็เก็บไว้ในใจ
ทางด้านสวี่จือจือถือเสื้อผ้ากลับมายังห้องของตนเอง ลู่จิ่งซานได้นำจักรยานไปเก็บเรียบร้อยแล้วและกลับเข้ามาในห้องก่อนหน้า
เมื่อเธอเดินเข้าไป เขาก็กำลังอ่านหนังสืออยู่ในมือ พอเห็นเธอเข้ามาก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “กลับมาแล้วเหรอ?”
สวี่จือจือตอบรับในลำคอ แล้ววางเสื้อผ้าลงบนเตียงเตา
“เป็อะไรไป?” ลู่จิ่งซานเงยหน้ามองเธอ “ใครทำให้คุณไม่พอใจเหรอ?”
“ทำไมคุณถึงรู้ว่าฉันไม่พอใจ?” สวี่จือจือยิ้มแล้วหันไปมองเขา
“เสื้อผ้าพวกนั้นก่อนหน้านี้คุณชอบมาก ตอนถือก็ระวังอย่างดี” ลู่จิ่งซานกล่าว “เมื่อกี้คุณโยนเสื้อผ้าลงบนเตียงเลย” ไม่มีความสุขเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด
สวี่จือจือเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าเขาจะช่างสังเกตขนาดนี้
“ไม่มีอะไรหรอก” เธอเหลือบมองหนังสือในมือของลู่จิ่งซานอีกที “คุณชอบอ่านหนังสือด้วยเหรอ?”
“ก็แค่หยิบมาอ่านเล่น” ลู่จิ่งซานมองเธอแล้วถาม “คุณ...อ่านหนังสือออกไหม?” แล้วเขาก็พูดต่อ “ไม่มีอะไร แค่ถามไปตามประสา”
“ฉันพออ่านออกบ้าง” สวี่จือจือตอบ “เมื่อก่อนตอนที่สวี่เจวียนเจวียนไปโรงเรียน ฉันแอบตามไปเรียนบ้าง”
“คุณปู่ของฉันก็เคยสอนฉันบ้าง”
บรรพบุรุษของเ้าของร่างเดิมเป็บัณฑิตเก่า ผู้เฒ่าสวี่ก็อ่านหนังสือออก เขาจึงแอบสอนเ้าของร่างเดิมเป็การส่วนตัว
“ถ้าคุณอยากจะเรียนต่อ” ลู่จิ่งซานเอ่ย “ผมจะบอกอาเล็กให้ ลองดูว่าจะไปโรงเรียนที่ประชาคมได้ไหม?”
ถึงแม้ว่า่เวลานี้ในหมู่บ้านจะไม่ค่อยมีใครไปโรงเรียนกันจริงจัง แต่เมื่อกี้ตอนที่สวี่จือจือเห็นหนังสือ แววตาของเธอมันร้อนรนเหลือเกิน
ความจริงแล้วสวี่จือจือแค่รู้สึกประหลาดใจ หนังสือที่ลู่จิ่งซานถืออยู่ในมือนั้น เธอเคยได้ยินชื่อมาก่อนในชาติที่แล้ว เป็หนังสือที่มีชื่อเสียงมาก แต่หลังจากเกิดความวุ่นวาย หนังสือเล่มนี้ก็แทบจะกลายเป็หนังสือหายาก อีกทั้งยังถูกประมูลไปด้วยราคาสูงลิ่ว เธอไม่คิดว่าลู่จิ่งซานจะมีหนังสือเล่มนี้
“ไม่ต้องหรอก ฉันโตขนาดนี้แล้ว ถ้าไปโรงเรียนที่ประชาคมกับเด็กๆ คงจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะแน่” สวี่จือจือพูดพร้อมกับยิ้ม “แต่ก็ขอบคุณนะ”
“มีอะไรน่าหัวเราะ?” ลู่จิ่งซานกล่าว “ประธานพรรคก็ยังเคยบอกว่า ‘เรียนรู้ไปจนวันตาย’ ฉันคิดว่าเรียนรู้ไว้เยอะๆ ก็มีแต่ประโยชน์”
“ไม่ต้องจริงๆ” เธอส่ายหน้าด้วยความรู้สึกขอบคุณ “แต่ว่าคุณช่วยหาหนังสือมาให้ฉันหน่อย ฉันจะเรียนเองก็ได้”
เธอทะลุมิติมาในฐานะนักศึกษาปีหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่เคยผ่าน่เวลาที่วุ่นวาย แต่ก็พอรู้เื่ราวทางประวัติศาสตร์อยู่บ้าง ถ้าวันนี้ลู่จิ่งซานไม่พูดเื่นี้ขึ้นมา เธอก็คงต้องหาโอกาสบอกทุกคนให้รู้ว่าเธออ่านหนังสือออกอยู่ดี เพราะอีกไม่เกินสองสามปี การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็จะกลับมาเปิดอีกครั้ง เธอไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ไปชั่วชีวิต
ลู่จิ่งซานกำลังจะถามระดับความรู้หนังสือของเธอ ก็ได้ยินเสียงร้องโวยวายของลู่ไห่เสียดังขึ้นมาจากข้างนอก “คุณแม่ หนูแก่ขนาดนี้แล้ว ทำไมแม่ยังเอาหมอนมาปาใส่หนูอีก?”
ลู่ไห่เสียเอามือกุมหน้าผาก เมื่อนึกถึงเมื่อกี้ที่เธอเพิ่งพูดไปสองสามคำ แล้วถูกหมอนไม้ที่คุณนายลู่ใส่หน้าผากเข้าให้ เจ็บแทบตายแล้ว!
“ก็ดีที่รู้ตัวว่าแก่แล้ว” คุณนายลู่หน้าดำคล้ำ
เดิมทีเธอมีลูกชายสามคน มีลูกสาวคนนี้แค่คนเดียว ที่บ้านก็เลี้ยงดูทะนุถนอมมาั้แ่เด็ก แต่ไม่รู้ทำไมถึงเลี้ยงมาได้แบบนี้ อายุปูนนี้แล้วยังจะมาจุ้นจ้านเื่ในบ้านของหลานชาย
“คุณแม่” ลู่ไห่เสียกระทืบเท้า “หนูพูดอะไรไป แม่ถึงได้ตีหนู หนูไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของแม่แล้วเหรอ?”
คุณนายลู่โมโหจนแทบกระอักเื “รีบเก็บข้าวของกลับบ้านแกไปซะ”
“คุณแม่ลำเอียง!” ลู่ไห่เสียกล่าว
“คุณป้า” เธอกำลังจะพูดต่อ ลู่จิ่งซานก็เดินออกมาแล้วทักทายเธออย่างเ็า “มีอะไรก็มาคุยกับผม”
“ถ้าแกไม่มา ป้าก็กำลังจะไปหาแกอยู่พอดี” ลู่ไห่เสียกล่าว
“ลูกสาวที่แต่งออกไปก็เหมือนน้ำที่ถูกเททิ้ง” คุณนายลู่หน้าดำ “รีบกลับบ้านตระกูลจ้าวไปซะ ถ้าไม่มีธุระก็ไม่ต้องกลับมาบ้านนี้อีก”
“คุณแม่!” ลู่ไห่เสียมองคุณนายลู่ด้วยความใ
“คุณแม่รู้ไหมว่าวันนี้จิ่งซานทำอะไรไปบ้าง?” ลู่ไห่เสียพูดด้วยความน้อยใจ “หนูรู้ว่าแม่ลำเอียงเข้าข้างจิ่งซานมาั้แ่เด็ก แต่สะใภ้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ไม่ควรจะตามใจขนาดนี้” มิฉะนั้นจะไม่เอาข้าวของในบ้านไปหมดเลยเหรอ?
“เสื้อผ้าตั้งสามชุด มันต้องใช้เงินเท่าไหร่? ต้องใช้คูปองเท่าไหร่?” ลู่ไห่เสียร้องเสียงดัง น่าสงสารเธอ ปีหนึ่งยังหาเสื้อผ้าใหม่ใส่ไม่ได้เลย
“เื่ซื้อเสื้อผ้าสามชุด แม่เป็คนอนุญาตเอง” คุณนายลู่มองลู่ไห่เสียอย่างเ็า รวมถึงพวกสะใภ้สามที่ตามออกมาจากห้องของเหอเสวี่ยฉิน
“ทำไม?” หญิงชรามองคนในลานบ้านด้วยสายตาเยาะเย้ย “พวกแกมีความเห็น?”
“ถ้ามีความเห็นก็เก็บไว้ในใจซะ” เธอเหลือบมองไปยังทิศทางของห้องเหอเสวี่ยฉินอย่างแ่เบา
ถึงแม้ว่าหญิงชราจะอายุมากแล้ว แต่หูก็ยังดี ตาไม่ฝ้าฟาง เสียงที่พูดออกมาก็ยังหนักแน่น
เหอเสวี่ยฉินที่อยู่ในห้องโมโหจนแทบกระอักเื!
ลู่ไห่เสียเองก็ถึงกับพูดไม่ออก
“แต่สามชุดมันเยอะไปหน่อยไหม?” ลู่ไห่เสียเอ่ยเสียงแ่ “บ้านเราไม่เคยมีธรรมเนียมแบบนี้มาก่อน”
ตอนที่ลู่จิ่งเสวียลูกชายคนโตแต่งงาน ก็ซื้อเสื้อผ้าแค่ชุดเดียวเท่านั้น
“ดังนั้น คุณป้าก็เลยคิดว่าจิ่งซานไม่ควรซื้อเสื้อผ้าให้หนูสามชุดอย่างนั้นเหรอคะ?” สวี่จือจือพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่หนูได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่พี่หญิงใหญ่หมั้นหมาย คุณป้ายังบอกกับฝ่ายชายอย่างชัดเจนว่าตอนแต่งงานจะต้องมีเสื้อผ้าใหม่สามชุด ถ้าขาดไปแม้แต่ชุดเดียวก็จะไม่ยอมแต่ง?”
“แก!” ลู่ไห่เสียเบ้ปาก “ฮุ่ยฟางทำงานที่โรงสีข้าว นั่นก็ถือว่าเป็ข้าราชการ แกกล้าเอาตัวเองไปเทียบกับลูกสาวฉันด้วยเหรอ?” สมควรแล้วเหรอ!
“โรงสีข้าวเหรอ?” สวี่จือจือยิ้ม แล้วพูดด้วยท่าทีที่ไม่สะทกสะท้าน “หนูจำได้ว่างานนี้จิ่งซานบ้านเราเป็คนช่วยหาให้นี่ ถ้าไม่มีจิ่งซาน พี่หญิงใหญ่คงไม่ได้งานนี้หรอกมั้งคะ” แล้วยังกล้าพูดอีก!
“แกคิดว่างานนั้นใครก็ทำได้หรือยังไง? นั่นต้องเป็คนที่อ่านหนังสือออกคิดเลขเป็ถึงจะทำได้” ลู่ไห่เสียกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ฮุ่ยฟางบ้านฉันเรียนจบชั้นประถมนะ!” ไม่เหมือนใครบางคนที่ไม่เคยเรียนแม้แต่ชั้นประถม!
“ใช่แล้ว เรียนชั้นประถมก็ได้ที่โหล่ทุกปี ขนาดจดตัวเลขในโรงสีข้าวยังผิดพลาดได้เลย” สวี่จือจือพูดพร้อมกับยิ้ม
“นั่นมันแค่พลาดไปชั่วคราว” ลู่ไห่เสียหน้าแดงก่ำ “มีเื่ให้จดมากมาย ผิดพลาดไปบ้างจะเป็อะไรไป?”
“ไม่เป็ไรหรอกค่ะ” สวี่จือจือยิ้มแล้วเอ่ย “ก็มีคุณป้าคอยหนุนหลังอยู่ ไม่ว่าจะยังไงก็แค่เสียเงินชดใช้เท่านั้นเอง” เื่นี้ก็เลื่องลือไปทั่วทั้งประชาคมชีหลี่แล้ว
จ้าวฮุ่ยฟางเกือบทำให้การส่งข้าวของหลายหมู่บ้านมีปัญหา เพราะจดตัวเลขผิด สุดท้ายต้องควักเงินตัวเองมาชดใช้ถึงจะทำให้เื่นี้จบลงได้ แน่นอนว่าเื่นี้ก็ขาดไม่ได้ที่คนในตระกูลลู่จะช่วยหนุนหลังอยู่เื้ั!
ลู่ไห่เสียแทบจะโมโหจนหงายหลัง
“คุณแม่ดูสิ” ลู่ไห่เสียสั่นเครือด้วยความโมโห พลางชี้ไปที่สวี่จือจือ “ปากคอเราะรายแบบนี้ ต่อไปหนูจะกล้ากลับบ้านเดิมอีกไหม?”
“ถ้าไม่กล้ากลับมาก็ไม่ต้องกลับมา” คุณนายลู่กล่าวด้วยท่าทีรังเกียจ “ต่อไปไม่ต้องมาที่นี่บ่อยนัก ถ้าแกมาน้อยลง แม่ของแกคงจะมีอายุยืนยาวขึ้นอีกสักร้อยปี” มาทีก็ทำให้เธอโมโหที ลูกสาวคนนี้เกิดมาเหมือนมาทวงหนี้!
“คุณแม่!”
“ถ้าไม่ไปก็ไม่ต้องเรียกแม่ว่าแม่อีก” คุณนายลู่กล่าว “ต่อไปเื่ในบ้านเกิดไม่ต้องมาทำเป็รู้ดีอีก ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องเหยียบเข้ามาในบ้านตระกูลลู่อีก”
“พี่สะใภ้ใหญ่ใจเย็นก่อน” สะใภ้สามเห็นท่าไม่ดีก็เลยพูดขึ้น ตอนนี้เธอไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว “ไห่เสียก็แค่หวังดีเองค่ะ”
เธอพอจะดูออกแล้วว่า หญิงชราคนนี้ใจลำเอียงไปถึงรักแร้แล้ว กับลูกสาวแท้ๆ ยังสามารถพูดได้ว่าอย่ากลับบ้านเดิมอีกเลย แล้วนับประสาอะไรกับเธอที่เป็แค่ลูกสะใภ้
ตระกูลลู่คงจะจบสิ้นแล้วกระมัง!
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้