“อัปลักษณ์เยี่ยงนี้ยังคิดจะแต่งให้พี่เยวี่ยเฉิงอีกหรือ ดูสิ... ทำมือข้าสกปรกแท้ๆ เลย” หลี่โย่วโม่ไม่สำนึกสักนิดว่ายามนี้ตนเองอยู่ในจวนของผู้อื่น ทั้งยังไม่รู้สึกว่าการตบตีธิดาของเ้าบ้านจนวิ่งหนีไปเป็พฤติกรรมที่หยาบคายอย่างยิ่ง เขาปัดมือทั้งสองราวกับไปเปื้อนฝุ่นดินมาเยี่ยงนั้น เสร็จแล้วก็เดินไปหาโหยวเยวี่ยเฉิง ทั้งยังทำสีหน้าเป็ห่วงอีกฝ่าย ความขุ่นเคืองใจหายไปนานแล้ว ยามนี้สีหน้ากลับผ่อนคลายไม่ทุกข์ร้อน เอ่ยถามด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “พี่เยวี่ยเฉิง คงไม่ตำหนิข้าหรอกกระมัง”
จากนั้นก็หันศีรษะกลับไปยิ้มอายๆ กับโม่เสวี่ยถง โดยไม่รอให้โหยวเยวี่ยเฉิงซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัดใจได้เอ่ยคำใด “ทำให้คุณหนูสามได้เห็นเื่ชวนหัวแล้ว แต่ข้าทนนิสัยกลับกลอกของพี่สาวเ้าไม่ไหว บ้านของพวกเรากำลังจะคุยเื่งานแต่งกันแท้ๆ แต่นางกลับเล่นหูเล่นตากับพี่เยวี่ยเฉิง ตัวข้ารู้สึกระงับอารมณ์ไม่อยู่จริงๆ”
สีหน้าของเขาพลันระบายความความขุ่นเคืองออกมาอีกครั้ง การแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาทำให้คนแทบไม่อยากเชื่อว่าผู้ที่ทำตัวเป็อันธพาลเมื่อครู่คือตัวเขา หากมิใช่ว่าโม่เสวี่ยถงเห็นเหตุการณ์ั้แ่ต้นจนจบ ยามนี้คงถูกท่าทางของเขาลวงหลอกให้เชื่อ ถึงขั้นเห็นอกเห็นใจเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำไปหาใช่ความผิด
แม้ว่าโม่เสวี่ยถงจะตกตะลึงเช่นไรก็จำต้องยอมรับ ว่าคนผู้นี้มีความสามารถในการชี้กวางเป็ม้าอย่างยิ่ง ทั้งหน้าหนาและไร้ยางอายเป็ที่สุด ดูจากท่าทางอึ้งงันจนพูดอะไรไม่ออกของโหยวเยวี่ยเฉิงตอนนี้ก็รู้ได้ แต่ว่าคนผู้นี้ดูยโสโอหังเกินไปหรือไม่
แม้ดูแล้วจิตใจของตนเองจะคลายความโกรธแค้นไปได้มาก แต่ที่นี่คือบ้านสกุลโม่ ต่อหน้าผู้คนมากขนาดนี้เขายังกล้าตบคุณหนูใหญ่ของชาวบ้าน นางเชื่อว่าแม้แต่บิดาที่บัดนี้หมดความเชื่อมั่นในตัวโม่เสวี่ยิ่ไปแล้ว หากมาเห็นเข้าก็คงไม่ยืนมองเฉยๆ แน่
ทางโม่เสวี่ยฉงที่ได้ระบายอารมณ์ไปแล้ว ยามนี้ก็เหลือบมองโหยวเยวี่ยเฉิงปราดหนึ่ง ก่อนจะแสร้งทำเป็สงบเสงี่ยมเดินเข้ามาย่อกายคารวะต่อหลี่โย่วโม่ก่อน แล้วจึงเอ่ยวาจา “คุณชายหลี่เกรงใจไปแล้ว วันนี้พี่หญิงใหญ่สุขภาพไม่ดี เลยอาจจะทำบางสิ่งเสียมารยาทไปบ้าง หวังว่าคุณชายหลี่จะให้อภัย”
กล่าวจบก็หันมาอธิบายกับโหยวเยวี่ยเฉิงอย่างรู้สึกผิด “วันนี้ซื่อจื่อก็เลยต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย ปรกติพี่หญิงใหญ่ไม่ทำเื่ที่เกินงามเช่นนี้ แม้ว่าจะมีมิตรภาพที่ดีกลับเหล่าคุณชายท่านอื่นๆ อีกไม่น้อย แต่เป็ไปไม่ได้ที่จะทำเื่เสื่อมเสียเช่นนั้น หวังว่าซื่อจื่อจะให้อภัยต่อพี่หญิงใหญ่ครานี้ด้วย”
โม่เสวี่ยถงทอดถอนใจอยู่เงียบๆ โม่เสวี่ยฉงพอสบโอกาสก็ไม่พลาดที่จะลากโม่เสวี่ยิ่ลงน้ำทันที ที่บอกว่ามีมิตรภาพอันดีต่อคุณชายอีกจำนวนไม่น้อยคืออะไรกัน หญิงสาวสกุลดีในเมืองหลวงต้องยึดธรรมเนียมประตูใหญ่ไม่ย่าง ประตูข้างไม่กรายมิใช่หรือ ไปร่วมงานเลี้ยงบ้างก็น้อยครั้งนัก แล้วจะไปรู้จักคุ้นเคยกับเหล่าคุณชายเ่าั้ได้อย่างไร
แล้วที่กล่าวขออภัย โม่เสวี่ยิ่มีสิ่งใดต้องขออภัยต่อโหยวเยวี่ยเฉิง เื่ที่นางจะแต่งงานกับหลี่โย่วโม่ หรือว่าเื่ที่นางกับหลี่โย่วโม่ต้องเข้ามาข้องเกี่ยวกัน คำพูดเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้คนยากจะทนฟังได้ทั้งสิ้น เห็นได้ชัดว่าฉวยโอกาสนี้ใส่ไคล้ให้โม่เสวี่ยิ่ต้องแปดเปื้อนต่อหน้าโหยวเยวี่ยเฉิง
แม้ว่าหัวคิ้วของโม่เสวี่ยฉงจะมุ่นขมวด แต่หางตากลับฉายแววยิ้มย่องอย่างอดไม่อยู่ แค่ดูก็รู้ได้
ยิ่งเห็นสีหน้าของโหยวเยวี่ยเฉิงอึมครึมลงไปเรื่อยๆ โม่เสวี่ยถงก็ลอบถอนใจ โม่เสวี่ยฉงเอ๋ย... ไม่รู้จักดูสีหน้าคนบ้างเลย จะทุ่มหินลงบ่อทั้งทีก็ควรดูกาลเทศะด้วย!
หลี่โย่วโม่พูดจาไร้สาระไม่กี่ประโยค โหยวเยวี่ยเฉิงอดทนได้ด้วยเห็นแก่มิตรภาพที่คบหากันมานานปี แต่โม่เสวี่ยฉงเป็ใคร แค่บุตรอนุภรรยาเล็กๆ คนหนึ่ง กล้าตอกหน้าเขาด้วยวาจาแบบนั้น จึงสาดสีหน้าเย็นเฉียบ กล่าววาจาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “คุณหนูสี่หมายความว่าอย่างไร พี่สาวเ้าเกิดเื่แบบนั้น แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับข้า หรือเ้าคิดว่าข้ากับนางกระทำสิ่งใดไม่เหมาะสม คุณหนูสี่พูดแบบนี้มีเจตนาซ่อนเร้นอะไรกันแน่”
คำกล่าวของโม่เสวี่ยฉงเพียงประโยคเดียวฝังตรึงในจิตใจ ใช่...เขาโดนหางเลขจากเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจริงๆ นั่นแหละ ที่ต้องมาเป็เพื่อนหลี่โย่วโม่วันนี้ก็เพราะเื่นั้น หากคิดใคร่ครวญดู แท้จริงแล้วก็มิได้เกี่ยวกับตนเองสักนิด แต่เหตุใดกลับถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย โหยวเยวี่ยเฉิงโมโหจนหน้ามืด ไฟโทสะที่สุมอยู่เต็มอกจึงไปลงไปที่โม่เสวี่ยฉงแต่เพียงผู้เดียว คำถามของเขาเต็มไปด้วยการบังคับข่มขู่
“คือ... ข้า...” โม่เสวี่ยฉงไม่คิดว่าโหยวเยวี่ยเฉิงผู้วางตัวสุภาพเรียบร้อยมาโดยตลอดจะมองตนเองด้วยสายตาคุกคามเช่นนี้ ในขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาราวถูกฉาบด้วยน้ำแข็ง แต่ดวงตาคล้ายพ่นไฟออกมาได้ น้ำเสียงเย็นเยียบคมกริบปานดาบเหล็กที่สามารถตัดศิลาให้ขาดเป็สองท่อน หัวใจพลันลนลานหวาดกลัว นางไหนเลยจะกล้าเผชิญหน้ากับโทสะของซื่อจื่อิกั๋วกงผู้นี้
โม่เสวี่ยฉงเพิ่งระลึกได้เดี๋ยวนี้ว่าขณะที่ตนเองกล่าวกระทบกระเทียบโม่เสวี่ยิ่ ได้ดึงซื่อจื่อิกั๋วกงผู้สูงส่งเข้ามาพัวพันด้วย เมื่อเห็นอีกฝ่ายสีหน้าดำทะมึน เย็นเยียบยิ่งกว่าผลึกน้ำแข็ง ก็รู้สึกไม่เป็ตัวของตัวเอง ไหนเลยจะกล้าพล่ามสิ่งใดออกมาอีก เริ่มนึกเสียใจอยากจะตบปากตนเองยิ่งนัก
“ข้าไม่สนว่าคุณหนูสี่คิดทำลายชื่อเสียงของพี่สาวตนเองให้แปดเปื้อนหรือไม่ เพราะนั่นเป็เื่ในบ้านสกุลโม่ แต่หากคิดจะดึงข้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้วล่ะก็... ขออภัยเถอะ คุณหนูสี่คิดว่าตนเองเป็ใคร หรือเพราะไม่อยากแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วโหว จึงคิดฉวยโอกาสนี้มองหาเงาไม้ใหม่ที่สูงส่งกว่า”
โหยวเยวี่ยเฉิงเชิดหน้า มองโม่เสวี่ยฉงที่กำลังลนลานตื่นตระหนกด้วยแววตาเหยียดหยัน วาจาร้ายกาจประหนึ่งเข็มแหลมทิ่มตำ แม้กระทั่งคนปากคอเราะรายอย่างหลี่โย่วโม่ยังมองตาค้าง
ซื่อจื่อิกั๋วกงผู้เป็สุภาพชนกล้าปรามาสสตรีอ่อนแอให้ได้รับความอับอายเช่นนี้ั้แ่เมื่อไร ทั้งตำหนิว่านางมีจิตใจต่ำช้า ใจง่ายทะเยอทะยาน ถามหน่อยเถิดว่าหากคำพูดเหล่านี้แพร่งพรายออกไป สตรีที่ได้รับความอัปยศถึงเพียงนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือ มิหนำซ้ำยังเป็วาจาที่ออกมาจากปากของผู้มีชื่อเสียงดีงามเช่นโหยวเยวี่ยเฉิงอีกด้วย
โม่เสวี่ยฉงใบหน้าถอดสีโดยพลัน สั่นเทิ้มไปทั้งตัว คิดจะแก้ตัวก็มิอาจทำได้ ยิ่งเห็นสายตาดุดันเผยแววชิงชังอย่างชัดเจนกวาดมองมา ก็รู้สึกทั้งอับอายและหวาดหวั่น ไม่มีหน้าจะพบผู้คนอีกต่อไป ริมฝีปากสั่นระริก พลันร้องไห้โฮเสียงดังลั่น ยกผ้าแพรขึ้นปิดหน้าแล้ววิ่งเตลิดออกไปเหมือนคนคลุ้มคลั่ง สาวใช้สองคนที่ตามอยู่ด้านหลังร้องเรียกคุณหนู...คุณหนู... รีบวิ่งตามไปทันที
เอาล่ะสิ! คุณหนูทั้งสามแห่งสกุลโม่ คนหนึ่งก็ถูกหลี่โย่วโม่ตบจนวิ่งหนีไป อีกคนก็ถูกโหยวเยวี่ยเฉิงด่าเปิงจนร้องไห้หนีไป เมื่อหันกลับมาก็เห็นโหยวเยวี่ยเฉิงใช้สายตาเกรี้ยวกราดจ้องมาที่ตนเอง โม่เสวี่ยถงกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง พลันรู้สึกว่าตนเองต่างหากที่เป็ผู้บริสุทธิ์ โหยวเยวี่ยเฉิงกับโม่เสวี่ยิ่คบคิดวางแผนร้ายใส่นาง อยากหาเหาใส่หัวกันเอง ถูกเฟิงเจวี๋ยหร่านย้อนรอยเล่นงานแบบนี้ก็สมควรแล้ว ไฉนจึงทำท่าเหมือนว่าเป็ความผิดของนางเล่า
บัดนี้ผู้เป็เ้านายของสถานที่แห่งนี้ก็คือนาง จะสะบัดแขนเสื้อหนีก็ใช่ที่ โม่เสวี่ยถงคิดใคร่ครวญแล้วก็ลอบถอนใจ รู้อย่างนี้เมื่อครู่เดินให้เร็ว หรือช้าหน่อยก็คงดี หากไม่ต้องมาเจอกับบุรุษสองคนนี้ก็คงไม่เกิดเื่ ครานี้เฟิงเจวี๋ยหร่านลงมือหนักไปหน่อย ทำให้ท่านพ่อทุกข์ใจไปด้วย เดิมทีนางก็รู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว โหยวเยวี่ยเฉิงแสดงท่าโมโหโกรธาปานนี้ หรือคิดเอาเื่ที่ตัวเองเสียเปรียบต่อหลี่โย่วโม่ย้อนกลับมาลงที่นาง
โหยวเยวี่ยเฉิงคิดโกรธเคืองนางหรือ เชอะ! นางก็ไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของใครเหมือนกัน!
โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้น ยิ้มบางๆ ให้กับโหยวเยวี่ยเฉิงที่สาดสีหน้าเย็นเยียบมาอย่างไม่เกรงใจ ดวงตาดุจหยาดน้ำที่สว่างสุกใสพลันเข้มขึ้น ให้ความรู้สึกว่าสีดำที่มืดลึกลงไปกำลังเดือดพล่าน แม้มองไม่เห็นว่ามีความหมายใดแอบแฝง แต่โหยวเยวี่ยเฉิงก็รู้สึกได้ว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าไม่มีความลนลานหวาดกลัวแม้แต่น้อย
โหยวเยวี่ยเฉิงย่อมรู้ว่าใบหน้านิ่งเย็นของตนเองมักทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว ยิ่งกำลังโกรธจัดแบบนี้ แม้แต่น้องสาวของตัวเองยังต้องหนีไปตั้งหลัก คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่ดูเปราะบางคนหนึ่งจะมีความกล้าหาญชาญชัยถึงเพียงนี้ แววตาพลันฉายแววล้ำลึก
หลี่โย่วโม่ซึ่งยืนมองอยู่ด้านข้างรีบซ่อนแววเยาะหยันบนใบหน้าลงอย่างรวดเร็ว
“ได้ยินในเมืองหลวงเล่าลือกันว่าโหยวซื่อจื่อเป็ผู้มีมารยาทงดงาม จิตใจกว้างขวาง สุขุมเยือกเย็นปานแสงจันทร์ จึงหวังว่าซื่อจื่อจะให้อภัยต่อวาจาจาบจ้วงของน้องหญิงสี่ นางเป็เพียงสตรีในห้องหอเช่นเดียวกับข้าที่ไม่รู้ความเท่าใดนัก หากพลั้งเผลอกล่าวล่วงเกินต่อท่านไปก็ขอให้ซื่อจื่อโปรดอย่าได้ถือโทษโกรธเคือง วันนี้ท่านมาเป็แขกของจวนโม่ แต่กลับต้องเจอเื่ขุ่นเคืองใจเช่นนี้ล้วนเป็ความผิดของพวกเราทั้งสิ้น อีกประเดี๋ยวข้าจะเชิญท่านพ่อกล่าวคำขอโทษต่อซื่อจื่อแทนพวกเราพี่น้องอีกครั้ง”
คำกล่าวของโม่เสวี่ยถงเปี่ยมไปด้วยมารยาท แต่กลับชี้ให้เห็นว่าที่นี่คือจวนโม่ โหยวเยวี่ยเฉิงแม้ว่าจะเก่งกล้าปานใดก็เป็แขก การด่าทอคุณหนูในห้องหอที่ไม่รู้ความของผู้อื่นจนร้องไห้หนีไป มิใช่วิสัยที่คุณชายผู้มีชื่อเสียงดีงามคนหนึ่งพึงกระทำ หากยังต้องให้เ้าของบ้านซึ่งเป็ขุนนางขั้นสามต้องมากล่าวคำขอโทษอีก โหยวเยวี่ยเฉิงก็คงกลายเป็คนเลอะเลือน ไร้เหตุผลเต็มทน
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองมาเป็แขกจวนโม่ โหยวเยวี่ยเฉิงก็นิ่งอึ้ง ได้สติคืนมาอย่างแจ่มชัด เพิ่งตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตนเองทำเกินไปจริงๆ แม้ว่าคำพูดของโม่เสวี่ยฉงจะไม่น่าฟังนัก ซ้ำยังมีเป้าหมายให้ร้ายพี่สาวของตนเองทางอ้อม แต่นั่นก็เป็เื่ส่วนตัวของสกุลโม่ คุณชายสกุลดีเช่นตนเองเพียงแค่ฟังเป็เื่ขำขันก็พอ จะหุนหันพลันแล่นด่าคนจนร้องไห้หนีไปได้อย่างไร
ชั่วขณะนั้นก็โมโหตนเองที่เมื่อครู่บุ่มบ่ามเกินไป
โม่เสวี่ยถงกล่าวจบก็คุกเข่าลงคารวะอย่างงดงาม แสดงให้เห็นถึงความละอายใจ
หลี่โย่วโม่คิดไม่ถึงว่าโหยวเยวี่ยเฉิงจะควบคุมตนเองไม่ได้ ยามนี้ก็รู้สึกได้ถึงความกระอักกระอ่วนใจของสหาย เขาโบกพัดในมืออย่างเงียบเชียบ ชำเลืองมองโม่เสวี่ยถงพลางนึกเลื่อมใสชื่นชมอยู่ในใจ เด็กสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ยอดเยี่ยมที่สุด แล้วก็หันไปมองโหยวเยวี่ยเฉิงที่กำลังวางตัวลำบาก
“คุณหนูสามเกรงใจไปแล้ว เป็ข้าไม่ดีเอง เพราะที่บ้านเกิดเื่ไม่ดีบางอย่างก็เลยขาดสติควบคุมอารมณ์ จึงต้องขออภัยต่อคุณหนู และขอฝากคำขอโทษไปถึงคุณหนูสี่ด้วย” โหยวเยวี่ยเฉิงกัดฟัน ยอมลดทิฐิลง ผลักรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วยื่นมือไปประคองโม่เสวี่ยถง ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ต้องยุติเื่ราวลงให้ได้ เพราะหากแพร่งพรายออกไปอาจส่งผลต่อชื่อเสียงของตนเองอย่างใหญ่หลวง อย่าลืมว่าบุตรชายที่บิดาโปรดปรานที่สุดมิใช่ตนเอง
จากมุมที่โม่เสวี่ยถงยืนอยู่มองไปที่โหยวเยวี่ยเฉิง สีหน้าของเขาไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนดูแข็งกระด้าง ดีที่นางไม่คิดเอาเื่กับบุรุษตรงหน้ามากมาย วันนี้เขาเสียหน้ามามากพอแล้ว มิหนำซ้ำยังเสียการควบคุมอารมณ์ตนเองอีกด้วย นางรู้ดีว่าการเอาคืนต้องรู้จักขอบเขต เมื่อพอใจแล้วก็ควรยุติ ครั้นเห็นมือของเขายื่นเข้ามาประคองก็เบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยแล้วยืนขึ้นด้วยตนเอง
“ซื่อจื่อมิต้องใส่ใจ วันนี้พวกเราพี่น้องเสียมารยาทแล้วจริงๆ ตอนนี้ข้าต้องขอตัวไปดูพี่สาวน้องสาวอีกสองคนก่อน” โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้น ในแววตางดงามคล้ายซ่อนยิ้มบางๆ แต่กลับแผ่รังสีความเ็าห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด ถึงกระนั้นก็ไม่อาจโทษว่าเป็ความผิดผู้อื่นได้ พี่สาวน้องสาวของตนเองถูกคนรังแกให้ได้รับความอับอาย ใครเล่าจะไม่ถือสาและยังยิ้มออกได้อีก
โหยวเยวี่ยเฉิงไม่อาจเหนี่ยวรั้ง เพียงผงกศีรษะเล็กน้อย ยิ้มให้นางด้วยสีหน้าอ่อนลงหลายส่วน
หลี่โย่วโม่ลูบคางอย่างครุ่นคิด สายตามองตามโม่เสวี่ยถงที่เดินจากไป เบื้องลึกแววตาดูคลุมเครือยากจะคาดเดาได้ว่ารู้สึกอย่างไร
“พี่โย่วโม่คิดว่าเื่นี้...?” โหยวเยวี่ยเฉิงถอนหายใจยาว แล้วหันกลับมายิ้มเฝื่อนกับหลี่โย่วโม่ บัดนี้เขานึกเสียใจอย่างยิ่ง การมาพร้อมกับหลี่โย่วโม่ในวันนี้ถือเป็ความผิดพลาดอย่างแท้จริง อันดับแรกขณะที่อยู่ในห้องหนังสือหลี่โย่วโม่ยืนกรานจะแต่งโม่เสวี่ยิ่ให้ได้ ทำให้โม่ฮว่าเหวินโกรธจัดถึงขั้นยกชาส่งแขกทันที เขาซึ่งอยู่ด้านข้างยังไม่ทันเอ่ยวาจาถึงสองประโยคก็ถูกคนรังเกียจไปพร้อมกับหลี่โย่วโม่เสียแล้ว
เขาเป็คุณชายที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ไหนเลยจะเคยเสียหน้าเยี่ยงนี้
เื่ที่เกิดขึ้นต่อมาก็ยิ่งเป็สิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน โม่เสวี่ยิ่ปรากฏตัวมาต่อปากต่อคำกับหลี่โย่วโม่ คำพูดทีเล่นทีจริงของสหายผู้นี้ทำให้เขาไม่กล้าออกหน้า ไม่นานโม่เสวี่ยฉงก็ปรากฏตัว และเกือบจะโพล่งออกมาว่าเขากับโม่เสวี่ยิ่มีสัมพันธ์ส่วนตัวกัน โม่เสวี่ยิ่เป็ใคร นั่นเป็สตรีที่หลี่โย่วโม่หมายมั่นจะแต่งเข้าบ้าน จะให้เขารู้ว่าตนเองกับโม่เสวี่ยิ่เคยพบกันเป็การส่วนตัวได้อย่างไร
เมื่อนึกได้ว่านี่อาจทำให้หลี่โย่วโม่นึกแคลงใจ หรือบางทีเขาอาจคาดเดาได้แล้ว ความเป็ไปได้ข้อนี้ทำให้โทสะในอกพลุ่งพล่านจนะเิวาจาใส่โม่เสวี่ยฉงไปเต็มที่อย่างไม่เกรงใจ เขา้าแสดงให้หลี่โย่วโม่รู้ว่าตนเองกับโม่เสวี่ยิ่ไม่มีอะไรกันจริงๆ
เพราะใคร่ครวญถึงแต่หลี่โย่วโม่ จึงต่อว่าโม่เสวี่ยฉงรุนแรงเกินไปจนนางเสียหน้าร้องไห้วิ่งหนี
นี่... นี่มันเื่กัน?
โหยวเยวี่ยเฉิงได้แต่ยิ้มขื่น ยอมรับในความโชคร้าย
การตกเป็ผู้เสียเปรียบแบบนี้... ช่างเป็เื่ประหลาดเหนือความคาดหมายจริงๆ!