เมื่อหนังจบลง แสงไฟภายในโรงภาพยนตร์ก็สว่างขึ้น ผู้ชมต่างพากันเริ่มพาลุกขึ้นก่อนจะเดินไปที่ประตูทางออก
หยางเฉินหันกลับไปมอง และพบว่าหลินรั่วซีได้กินป๊อปคอร์นไปจนหมดแล้วหยางเฉินไม่อาจทำอย่างไรได้ เขายิ้มพร้อมกล่าวว่า
“คุณดูจะหิวกว่าที่ผมคิดอีกนะครับ"
หลินรั่วซีรู้ว่าหยางเฉินหมายถึงอะไร ใบหน้าของเธอขึ้นสีโดยไม่ตั้งใจพร้อมพูดอธิบายว่า
"ฉันเห็นว่านายไม่กิน เลยไม่อยากให้เสียของ"
"ใครบอกล่ะว่าผมไม่กิน ผมจะเก็บไว้กินทีหลังต่างหากล่ะผมยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยนะครับ" หยางเฉินกล่าว
"ข้าวเย็น?" หลินรั่วซีกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าสงสัย
"แล้วคุณอยากกินอะไรล่ะ?"
หลินรั่วซีกะพริบตา และกระซิบขึ้นเบาๆ ว่า "เค้ก"
จิตใจของหยางเฉินหมุนเคว้งเื่ที่ภรรยาของเขาชอบกินบัวลอยจีนว่าตะลึงแล้ว แต่เธอยังดูเหมือนเด็กน้อยที่ชอบกินเค้กอีกด้วย!?
หลินรั่วซีเห็นหยางเฉินไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ เธอจึงคิดว่าเขาคงไม่เห็นด้วยที่พวกเขาจะทานเค้กกันเป็อาหารเย็นเธอจึงรีบกล่าวออกไปว่า
"ฉันพูดไปอย่างนั้นแหละ นายจะกินอย่างอื่นก็ได้"
"กินเค้กนั่นแหละครับผมจำได้ว่าตรงข้ามกับโรงหนังมีสตาร์บัคส์อยู่ ผมคิดว่าคุณคงไม่เคยมากิน"
ได้ยินดังนั้นหลินรั่วซีก็ไม่อาจปิดบังสีหน้ายินดีได้อีก เธอพยักหน้าเบาๆเป็การตอบรับ
สตาร์บัคส์เป็ร้านกาแฟที่โด่งดังไปทั่วโลก แล้วคนส่วนใหญ่ก็คงจะคุ้นตากันเป็อย่างดีถึงแม้จะเป็ร้านกาแฟ แต่ที่นี่ก็มีเค้กวางขายอยู่หลากหลายชนิด ซึ่งในประเทศจีนสตาร์บัคส์ก็ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และกวาดรายได้ไปถึง 15% จากรายได้ทั่วโลก
หลินรั่วซีเคยได้ยินชื่อแบรนด์ร้านกาแฟนี้มาตั้งเด็กๆแต่เพราะนิสัยส่วนตัวที่ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกนักจึงทำให้เธอยังไม่เคยลิ้มลองแต่เมื่อหยางเฉินเอ่ยขึ้นมา นั่นก็ทำให้เธอรู้สึกยินดีในหัวใจ
ทั้งสองก้าวขาออกจากโรงภาพยนตร์ จากนั้นจึงข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามทันที
หลินรั่วซีที่สวมชุดทำงาน และด้วยท่าทางที่ดูเ็าแต่กลับดึงดูดสายตาของทุกคนในละแวกนั้นได้เป็อย่างดี
หลินรั่วซีรู้สึกคุ้นเคยกับการเป็เป้าสายตาอยู่แล้ว แต่เธอเกรงว่าหยางเฉินจะอึดอัดเมื่อเห็นผู้หญิงของตัวเองถูกแทะโลมด้วยสายตา
แต่ไม่มีทางที่หยางเฉินจะรู้สึกเช่นนั้น ถ้าให้โม่เชี่ยนนีและหลิวิอวี้มาเดินคู่กันสายตาที่จับจ้องไปยังทั้งสองก็จะแบ่งกันไป แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน
แต่ถ้าเพิ่มหลินรั่วซีเข้าไปด้วยสายตาของทุกคนจะต้องมองมาที่เธออย่างแน่นอน
แสงไฟนีออนทั้งสองฟากฝั่งถนน ส่องสว่างคล้ายภาพลวงตาในยามค่ำคืน พร้อมๆกับเสียงของฝูงชน ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคล้ายกับในอดีตที่ผ่านมา แตกต่างกันเพียงแค่ในวันนี้เธอไม่ได้มาคนเดียว
ในขณะที่กำลังข้ามถนนอยู่นั้นหลินรั่วซีก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่มือซ้าย
ความรู้สึกหยาบกระด้าง อบอุ่นทว่าอ่อนโยน ทำให้หลินรั่วซีใจเต้นระรัว
และเมื่อหันไปมอง เธอก็สบตากับหยางเฉินที่กำลังจ้องมองมาทางเธอ
"ข้ามถนนต้องระวังให้มากนะ"
"แต่นี่มันทางม้าลาย" หลินรั่วซีรู้สึกไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้และก็ไม่รู้จะทำตัวเช่นไร
"ออกเดตทั้งที ก็ต้องจับมือสิ" หยางเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม
หลินรั่วซีเม้มปากบางก้มหน้าลงมองพื้นถนนไม่พูดไม่จา
ทั้งสองเดินจับมือเคียงคู่กันเข้าไปในร้านสตาร์บัคส์แต่ก็เช่นเคยหลินรั่วซีตกเป็เป้าสายตาผู้คนอีกครั้ง หลินรั่วซีสั่งเค้กสตรอว์เบอร์รีและกาแฟมอคค่าส่วนหยางเฉินสั่งอเมริกาโน่ และเค้กช็อกโกแลตอีกสองชิ้น
พวกเขานำกาแฟกับเค้กไปยังโต๊ะริมหน้าต่าง นั่งลงจิบกาแฟพลางกินเค้กอย่างช้าๆสายตาเหม่อมองออกไปที่ถนนยามค่ำคืน
เพลงบัลลาดที่เปิดคลอภายในร้านกาแฟฟังดูเชื่องช้าทว่าไพเราะ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งร่างกายและจิตใจ
หลินรั่วซีที่ค่อยๆ ตักเค้กขึ้นมาอย่างละเมียดละไม สายตากวาดมองไปรอบๆและเอ่ยถามหยางเฉินขึ้นว่า
"นายรู้มั้ยว่าสตาร์บัคส์เกิดขึ้นได้อย่างไร"
หยางเฉินตักเค้กคำใหญ่ใส่เข้าปากพลางกล่าวว่า
"ไม่ทราบเลยครับ มันมีอะไรพิเศษหรือเปล่า?"
"ฉันเคยอ่านชีวประวัติของฮาวเวิร์ด ชูลทซ์ผู้ก่อตั้งสตาร์บัคส์" หลินรั่วซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าว่า
"ตอนที่ชูลทซ์ยังเป็เป็เด็ก พ่อของเขาตกงานครอบครัวก็ยากจนเป็อย่างมาก เขาจำเป็ต้องขโมยกระป๋องเมล็ดกาแฟมาให้พ่อในวันคริสต์มาสตอนนั้นพ่อของเขามีความสุขมาก แต่ในท้ายที่สุดเ้าของร้านก็จับชูลทซ์ได้หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อก็เลวร้ายลง...."
หยางเฉินวางช้อนลงและใช้สายตาจ้องมองหลินรั่วซี ที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเงียบๆคนเดียว บางทีเธออาจกำลังคิดถึงเื่ในครอบครัวของตัวเองอยู่
"นายชูลทซ์สาบานว่าเขาจะต้องมีเงินซื้อกาแฟที่ดีที่สุดให้พ่อและพิสูจน์ให้พ่อของเขาเห็น ดังนั้นเขาจึงพยายามเรียนอย่างหนัก จนสุดท้ายเขาก็ได้ทำงานที่บริษัทั์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงและได้เงินเดือนมากถึงเจ็ดหมื่นดอลลาร์
หลังจากประสบความสำเร็จเขาก็ซื้อเมล็ดกาแฟบราซิลที่ดีที่สุดมา แล้วบอกกับพ่อของเขาว่าหลายปีที่ผ่านมาเขาทำได้แล้ว แต่พ่อก็ถามขึ้นว่า ‘หลายปีที่เ้าพยายามมาตลอดก็เพื่อสิ่งของน่าเบื่อนี้น่ะหรือ’ ชูลทซ์ได้ยินดังนั้นก็โกรธเป็อย่างมากั้แ่นั้นมาเขาก็เหินห่างจากพ่อของตน และป่าวประกาศกับคนอื่นไปทั่ว ว่าพ่อของเขาตายไปแล้ว...
จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อของเขาล้มป่วย แต่ชูลทซ์ก็ยังปฏิเสธที่จะไปเยี่ยมพ่อแล้วไปคุยธุรกิจแทนจนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อพ่อของเขาจากไปจริงๆ เขาถึงค้นพบว่าหลายปีที่ผ่านมาพ่อของเขายังคงเก็บกระป๋องกาแฟที่เขาเคยให้พ่อไว้อยู่
ในตอนนั้นเขารู้สึกเสียใจและเ็ปเป็อย่างมาก เพราะในกระป๋องนั้นมีกระดาษยับยู่ยี่อยู่แผ่นหนึ่งข้างในได้เขียนความฝันของพ่อเขาเอาไว้ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพ่อคืออยากมีร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับภรรยาและลูกๆ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแต่น่าเสียดายที่เขาไม่เคยรับรู้ความปรารถนาของพ่อได้...
ดังนั้นนายชูลทซ์ และภรรยาจึงได้ร่วมกันสร้างร้านสตาร์บัคส์ขึ้นและพัฒนาจนมาถึงทุกวันนี้
"คุณกำลังคิดถึงพ่อของคุณอยู่งั้นเหรอ?" หยางเฉินถาม
หลินรั่วซีพยักหน้า
"เมื่อก่อนฉันหวังว่าพ่อของฉันจะเป็แบบพ่อของนายชูลทซ์ที่ถึงแม้จะยากจนแต่เขาก็รักลูกจากก้นบึ้งของหัวใจ... แต่ในความจริงมันกลับไม่เป็ดั่งที่ฉันหวัง"
หยางเฉินรู้ว่านี่เป็การกระซิบบอกย้ำกับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ผมเห็นคุณซื้อหนังสือมามากมาย ไม่นึกว่าคุณก็อ่านมันด้วย"
หลินรั่วซีกล่าวต่อว่า
"นายคิดว่าฉันซื้อหนังสือไปถมที่หรือไง?"
"เฮ้" หยางเฉินแย้มรอยยิ้มอบอุ่นแกมขี้เล่น "ไม่ต้องห่วงผมจะเป็พ่อและสามีที่ดีให้กับลูกและภรรยาลูกจะได้ไม่ต้องไปหาซื้อกระป๋องเมล็ดกาแฟมาให้ผม"
หลินรั่วซีหน้าแดงจรดใบหู แม้จะคาดหวังกับคำพูดของหยางเฉินแต่เธอก็ยอมรับว่ามันไม่อาจกระทำได้
"ใครจะไปมีลูกให้นายกัน?"
หยางเฉินถามอย่างซุกซน
"ในเมื่อคุณเป็ภรรยาของผมลูกต้องก็เป็เืเนื้อเชื้อไขของคุณสิ หรือบางทีคุณอาจจะไม่้าผมแล้ว งั้นผมควรหาภรรยาใหม่ดีไหมนะ???"
"พูดเื่ไร้สาระอะไรน่ะ... ฉันจะบอกนายไว้เลยนะ! ฉันต่างหากที่จะเป็คนเทนาย!" หลินรั่วซีกล่าวขึ้นอย่างเหลืออดเธอหยิบแก้วมอคค่าร้อนขึ้นมาและเตรียมจะสาดใส่หยางเฉิน!
แม้ว่าหยางเฉินจะทราบอยู่แล้วว่านี่เป็เพียงการข่มขู่ แต่เขาก็ยังคงแกล้งเอามือมาปิดหน้าอกตัวเองไว้
"ไม่ได้นะครับ เสื้อตัวนี้คุณอุตส่าห์ตั้งใจซื้อมาให้ผม!"
"มั่วซั่วจริงๆ เลย... ตาบ้า..." หลินรั่วซีกัดฟัน มือรั้งถ้วยกาแฟกลับมาแล้วจิบเข้าไปอึกหนึ่งจนเกิดฟองครีมของมอคค่าร้อนเป็เส้นบางๆ อยู่ตรงริมฝีปากบนของเธอ
หยางเฉินเห็นดังนั้นก็ไม่อาจทำอย่างไรได้ เขาถอนหายใจและกล่าวว่า
"ดูสิ... ทำไมผู้หญิงเวลาดื่มกาแฟแล้วชอบมีฟองนมติดอยู่ซ้ำยังแกล้งทำเป็ไม่รู้ตัวซะอีก..."
หลินรั่วซีตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่างบนริมฝีปากของเธอครั้นจะแลบลิ้นเลียก็ดูน่าอายเกินไป และในขณะที่กำลังมองหาทิชชู่อยู่นั่นเอง
"อย่าขยับ ผมจะช่วยคุณเอง" หยางเฉินกล่าวพลางโน้มตัวเข้าหาใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติของหลินรั่วซี
ระยะห่างระหว่างทั้งสองนั้นใกล้ชิดกันมากกว่าจะรู้สึกตัวหลินรั่วซีก็เบิกตากว้าง คล้ายกับโลกใบนี้หยุดหมุนไปชั่วขณะ!
ในที่สุดริมฝีปากหนาของหยางเฉินก็ััเข้ากับริมฝีปากบนของหลินรั่วซี เขาใช้ปลายลิ้นเรียวกวาดเอาครีมสีขาวไปอย่างนุ่มนวล
คล้ายกับอุณหภูมิร่างกายลดลงอย่างฉับพลันหลินรั่วซีในตอนนี้ตัวแข็งทื่อเป็น้ำแข็ง
หยางเฉินถอยกลับมานั่งที่ พลางจ้องมองหลินรั่วซีที่กำลังอยู่ในอาการเหม่อลอย
หยางเฉินคิดว่าการแสดงออกของหญิงสาวในตอนนี้น่ารักเป็อย่างที่สุด
"ใช้กระดาษทิชชู่ก็ทำลายสิ่งแวดล้อมไปเปล่าๆหรือคุณอยากให้ผมใช้เสื้อที่คุณซื้อให้เช็ดกันล่ะ"
หลินรั่วซีไม่อาจตอบสนองได้ทัน แม้ว่าหยางเฉินจะเป็สามีของเธอแต่ก็เป็เพียงสามีในนามเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงเื่เช่นนี้เลยแม้แต่น้อย!
เดิมทีพวกเขาไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกัน แต่ในตอนนี้ทั้งสองต่างรู้สึกได้กระทั่งลมหายใจแ่เบาของกันและกัน...
เมื่อคิดถึงเื่นี้ หลินรั่วซีก็เผยลักยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้แต่ก็รีบเก็บอาการก่อนเอ่ยท้วงอย่างรวดเร็วว่า
"ไม่ใช่สักหน่อย เสื้อผ้านั่นฉันให้คนอื่นซื้อมาให้ไม่ได้ตั้งใจซื้อให้นายเลยสักหน่อย"
"อ้าวๆ เป็เปลี่ยนเื่เฉยเลย" หยางเฉินยิ้มทำอะไรไม่ถูก
"รีบกินข้าวซะ!"
"แต่นี่มันเค้กนะครับ..."
"กินๆ ไปเถอะน่า!"
หลินรั่วซีก้มศีรษะลงเพื่อหลบซ่อนสีแดงระเรื่อบนใบหน้าเพราะความเขินอาย ยากที่จะลบเลือนเธอใช้ส้อมตักเค้กเข้าปากอย่างรีบเร่งราวกับมีเื่แค้นเคืองกับเค้กชิ้นนี้แต่ทุกคำที่กัดเข้าไปกลับรู้สึกว่า เค้กคำนั้นรสชาติหวานละมุนกว่าครั้งไหนๆ