หลังจากนั้น เจียงเฉิงเยว่เคยไปเยี่ยมหลี่อวิ๋นหังที่ห้องข้างๆ รอบหนึ่งแล้ว ภายในห้องได้รับการคุ้มครองด้วยค่ายกลอย่างแ่า อาจารย์ของเขายืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
ทั้งคู่ต่างรู้จักตัวตนของกันและกัน เจียงเฉิงเยว่จึงไม่จำเป็ต้องแสดงความสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์อีกต่อไป เขารู้ว่าศิษย์ที่แท้จริงของราชครูมีเพียงหลี่อวิ๋นหังซึ่งถูกอีกฝ่ายเรียกด้วยตนเองว่า ‘ศิษย์ตัวน้อย’ ทั้งสองคนพยักหน้าเป็การทักทาย ราชครูไม่ได้หยุดเขา ดังนั้น เจียงเฉิงเยว่จึงเดินเข้าไปในห้องของหลี่อวิ๋นหังทีละก้าว
หลี่อวิ๋นหังได้รับการสังเวยิญญาของเขา จำเป็ต้องใช้เวลาสี่สิบเก้าวันจึงจะฟื้นขึ้นมา ่เวลานี้ เพื่อป้องกันไม่ให้พลังหยินชั่วร้ายบุกรุกเข้าร่าง ราชครูจึงสร้างค่ายกลกำจัดิญญาร้ายระดับสูงภายในห้อง ณ ตอนนี้ิญญาของเจียงเฉิงเยว่ไม่สมบูรณ์กระทั่งเหลือเพียงน้อยนิด โดยธรรมชาติจึงสูญเสียความกล้าหาญในฐานะาาผีเฉกเช่นอดีต ทำให้หน้าอกและสมองพลันเ็ปจนแทบะเิทุกครั้งที่เข้าใกล้อีกฝ่าย
อาจารย์ของหลี่อวิ๋นหังถอนหายใจเล็กน้อยโดยไร้เสียง กำลังจะแสดงความเมตตาโดยลดพลังของค่ายกลให้อ่อนแอลงชั่วคราว เจียงเฉิงเยว่รู้สึกได้จึงรีบหันศีรษะไปห้ามด้วยใบหน้าซีดขาว บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นไหลลงมา แต่กลับพูด “อาจารย์...ไม่จำเป็” เขากลัวว่าพลังหยินชั่วร้ายบนร่างของตนเองจะส่งผลกระทบต่อ หลี่อวิ๋นหัง ผู้ที่สังเวยิญญาเพื่อช่วยเหลืออย่างยากลำบาก โดยปกติแล้วย่อมไม่กล้าทำผิดพลาดแม้แต่น้อยใน่เวลาสำคัญนี้
ราชครูอิงตามถ้อยคำ ไม่ได้ปิดค่ายกลชั่วคราว
เจียงเฉิงเยว่เดินไปหาอีกฝ่ายสองก้าว เขาเริ่มทนไม่ได้อีกต่อไปจนล้มลงกับพื้น หลังจากนั้นเงยหน้าขึ้นมองหลี่อวิ๋นหังที่นอนอย่างเงียบสงบบนเตียง ยามนี้ร่างถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว โดยมือสีขาวบริสุทธิ์ข้างหนึ่งที่ห้อยอยู่ข้างกายวางทับด้านนอกผ้าห่มผืนบาง เจียงเฉิงเยว่ก้าวไปข้างหน้าอีกสองก้าว ยื่นมือออก ้าที่จะเกี่ยวมือ แต่พลาดไปหนึ่งชุ่นอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรกลับเกี่ยวไม่ถึง
“อาหัง”
เ้าต้อง...รีบตื่นขึ้นมาไวๆ นะ
เมื่อเ้าตื่นขึ้นมา...เสด็จพี่คงไม่ได้อยู่เคียงข้างเ้าแล้ว...แต่ว่าเ้าต้องดีขึ้น
ครั้งนี้ไม่อาจรอจนถึงวันเกิดของเ้า...ข้าขอโทษ
ไม่สามารถ...รักษาสัญญา...ที่จะปกป้องเ้าตลอดชีวิต...ข้าขอโทษ
คำพูดที่้าจะบอกกับเ้า...ก็คง...พูดออกไปไม่ได้แล้ว
“อาหัง” ฝ่ามือข้างหนึ่งที่ขาวซีดเช่นกันของเขากำลังสั่นสะท้านในอากาศ อาการสั่นยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วเขาล้มลงกับพื้นด้วยความอ่อนแรงอย่างมิอาจควบคุม ทั้งร่างล้มลงและหมดสติไป
“เฮ้อ”
ในวินาทีสุดท้ายที่สติสัมปชัญญะสลายไป ดูเหมือนว่าเขาได้ยินเสียงถอนหายใจจากด้านหลัง
.............................
เจียงเฉิงเยว่ในปีนั้น ไม่คาดคิดว่าครั้งสุดท้ายที่ตนเองต้องจากไป ราชครูของหลี่อวิ๋นหังมาส่งเขา
เดิมทีความเข้าใจของเขาที่มีต่อราชครู คาดว่าเซียนจวินผู้นี้เป็เทพเ้าที่สมบูรณ์แบบและไม่มีความรู้สึกเฉกเช่นมนุษย์ ไร้ความเมตตาความสงสาร ไร้ความโศกเศร้าหรือยินดี เช่นเดียวกับคำอธิบายของอีกฝ่ายที่ไม่ยอมช่วยเหลือลี่อวิ๋นหังจากหายนะ ั้แ่ต้นจนจบล้วนเป็เพียงผู้ชมเท่านั้น ไม่คิดสอดมือเข้ามาแทรกแซงในผลกรรมของผู้ใด
การที่เขากลับไปยังเขาฉีหวนนั้นนับว่าเป็ความลับ ตามที่เข้าใจจากเสวียนชิง โซ่วหลิงรับรู้แล้วว่าองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์จากการลอบสังหาร...เพียงแค่หาศพหนึ่งในวังจินเชวียอย่างลวกๆ พร้อมร่ายเคล็ดวิชาให้เป็เขาแทน โดยตี้จวินแห่งปรโลกกระทำด้วยตนเอง ดังนั้น เจียงเฉิงเยว่จึงไม่ต้องกังวล นามของหลี่อวิ๋นเฉินนั้นหายไปแล้ว ทว่าในความเป็จริง ร่างที่มีชีวิตของเขาจึงเท่ากับเป็ของเจียงเฉิงเยว่โดยสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ ศิษย์เ่าั้ที่เคยพบปะเจียงเฉิงเยว่เป็เวลาสามปีในวิหารหลิงเซียวจึงไม่รู้ความจริง ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถมาส่งได้
แม้ว่าตอนนี้ชายชราจะเป็คนเดียวที่รู้ความจริง แต่เมื่อราชครูเสนอที่จะมาส่งเขา เจียงเฉิงเยว่ยังคงรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่เล็กน้อย
ชายชราไม่ได้กล่าวอะไรมาก เพียงหยิบถุงครอบจักรวาลออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้เจียงเฉิงเยว่ “ถึงอย่างไรฝ่าาก็เรียกข้าว่า ‘อาจารย์’ แต่ข้าไม่เคยทำอะไรให้พระองค์เลย...เอาไว้ใช้ป้องกันตัวเถิด กันไว้ดีกว่าแก้”
สิ่งที่เซียนจวินแห่งแดน์ที่แท้จริงมอบให้นั้นนับว่าเป็สิ่งที่ดียิ่ง เจียงเฉิงเยว่ในเวลานี้มีปัญหาในการปกป้องตนเองจริง แน่นอนว่าย่อมไม่เกรงใจอีกฝ่าย กล่าวขอบคุณด้วยความเคารพ
ทั้งสองคนสบตากันเป็เวลานาน ราชครูถอนหายใจก่อนพูด “ชายชราฝากถึงฝ่าา...เคยพูดไว้เมื่อหลายปีก่อนแล้ว...”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนึกถึงครั้งที่เขาโมโหแล้วไปหาราชครูเพื่อคิดบัญชีให้หลี่อวิ๋นหัง ในใจลอบคิด เป็ไปได้หรือไม่ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวในยามนั้น...คาดว่าจะมีเื่เฉกเช่นในวันนี้?
ชายชราดูเหมือนจะเดาได้ว่าเขากำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ จึงกำชับเหมือนกับปีนั้นด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อฝ่าาทรงเคารพในหัวใจดังเดิม ข้าก็หวังว่าฝ่าาจะทรงไม่เปลี่ยนความตั้งใจแรกเริ่ม ไม่ต้องกลัวสิ่งใด ไม่เกลียดชังความทุกข์ ไม่ตกในบ่วงกรรม ไม่ตกบ่วงมาร และไม่เสียใจกับสิ่งที่เลือกแล้ว”
ครั้งนี้ แม้ว่าเจียงเฉิงเยว่จะฟังไม่เข้าใจกลับไม่ได้ขัดจังหวะ เขาไตร่ตรองความหมายลึกซึ้งในถ้อยคำของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจเป็เวลานาน ระบายยิ้มอย่างขมขื่นด้วยความลำบากใจ “ผู้น้อยช่างโง่เขลา”
รอยยิ้มของชายชราไม่เปลี่ยนแปลง รอยยิ้มนั้นกลับมีอารมณ์ที่ซับซ้อนเล็กน้อยอย่างที่เจียงเฉิงเยว่ไม่เข้าใจ เขาหยุดกล่าวไปชั่วคราวก่อนเอ่ยออกมา “สุดท้ายแล้วฝ่าาจะเข้าใจ”
เจียงเฉิงเยว่กำลังครุ่นคิดจึงพยักหน้าไปอย่างนั้น ในใจยังคงชั่งน้ำหนักกับเื่อื่น แม้จะรู้ว่าตนเองอาจพูดได้ว่าทำเกินความจำเป็ไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วยังวางใจไม่ได้อยู่บ้าง...เจียงเฉิงเยว่ยังไม่ทันจะชั่งน้ำหนักเื่ราวเสร็จสิ้น ชายชรากลับพูดอีกหนึ่งประโยคที่ทำให้เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปทั้งร่าง
ชายชรากล่าว “ฝ่าาก็มีกรรมเป็ของตนเอง...เมื่อพระองค์เข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านี้...ฝ่าาต้องประสบวิบากกรรมของพระองค์เองแล้ว...ชายชราหวังว่าในตอนนั้น ไม่ว่าฝ่าาจะทรงตัดสินพระทัยอย่างไร ล้วนอย่าได้ลืมตนเองในเวลานี้”
เจียงเฉิงเยว่มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เขาขมวดคิ้ว “อาจารย์...”
ชายชรากล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “สำหรับสิ่งที่ฝ่าา้าฝากฝัง...ฝ่าาทรงไม่ต้องกังวล”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้หรือว่าข้า้าจะฝากฝังอะไรกับท่าน?”
ชายชรายังคงมีรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา “สิ่งที่ฝ่าาทรง้าฝากฝังให้กับชายชรา กลับเป็สิ่งที่ชายชรา้าที่จะฝากฝังกับฝ่าาเช่นเดียวกัน”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
หลังจากชายชราเห็นสีหน้างุนงงของเขาจึงเพิ่มอีกประโยคที่ชวนให้สับสน “ไม่เป็ไร ฝ่าาจะทรงเข้าใจเอง”
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจ หลังจากนั้นถอดหยกคู่เพลิงสุวรรณที่เอวแล้วยื่นให้ราชครูด้วยมือทั้งสองข้าง “อาจารย์...อาจต้องรบกวนท่าน ช่วยนำมันไปกดทับค่ายกลเพื่ออาหังได้หรือไม่? สิ่งที่ข้าสามารถทำให้เขาได้ในยามนี้...สุดท้ายเหลือเพียงเื่เล็กน้อยเช่นนี้เท่านั้น”
ชายชราพยักหน้า
ภายหลังเจียงเฉิงเยว่กล่าวคำอำลา เขาแบกสัมภาระออกจากวิหารหลิงเซียวไปเพียงลำพัง เมื่อเดินผ่านป่าซิ่งจื่อเขาพลิกตัวแล้วขึ้นไป สุดท้ายนำลูกเหงสีเขียวครึ่งผลที่ยังไม่สุกมาสองสามลูกแล้วกัดเข้าไปคำหนึ่ง...จนถึงวันนี้ยังจำรสชาติอมเปรี้ยวนั้นอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ...ไม่้าจะชิมเป็ครั้งที่สองในชีวิตนี้
…..........................
่เวลานี้ เจียงเฉิงเยว่จมดิ่งอยู่ใต้น้ำ พิงขอบอ่างอย่างกึ่งหลับกึ่งตื่น กำลังนึกถึงความทรงจำในอดีตกับหลี่อวิ๋นหังอย่างคร่าวๆ แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาหยุดอย่างกะทันหัน
เจียงเฉิงเยว่ลืมตาขึ้น เผชิญกับสีหน้าลำบากใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของอวี่ซู ดูเหมือนจะมีแสงแปลกประหลาดในดวงตาคู่นั้นซึ่งเจียงเฉิงเยว่ไม่อาจเข้าใจได้อยู่หลายส่วน
เจียงเฉิงเยว่งุนงง
อวี่ซูนิ่งค้างเป็เวลานาน จึงค่อยนึกขึ้นได้แล้วรีบหมุนร่างมา “ไม่ทราบว่าคุณชายกำลังอาบน้ำอยู่...จึงบุกรุกเข้ามาเช่นนี้ ช่างไร้มารยาทเสียจริง...”
เจียงเฉิงเยว่ฟื้นคืนสติก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าลืมปิดประตูหรือไม่?”
อวี่ซู “...”
เจียงเฉิงเยว่เห็นอีกฝ่ายยืนร่างแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นด้วยความลำบากใจ กลับรู้สึกขบขันเล็กน้อย “ฮ่าๆ ไม่เป็ไร...ข้าไม่ใช่สตรี ไม่ได้ใส่ใจมากเช่นนั้น เอ่อ อวี่ซู ขอโทษด้วย ช่วยส่งชุดนอนมาให้ข้าหน่อย”
“ขอรับ”
อวี่ซูลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย จากนั้นหยิบชุดนอนสีขาวราวหิมะชุดหนึ่งที่พับไว้อย่างเรียบร้อยข้างเตียงพลางก้มศีรษะเดินมายื่นชุดนอนให้เขาโดยไม่กล้าเงยหน้า ทันทีที่เจียงเฉิงเยว่รับไปอีกฝ่ายรีบพูด “ข้าน้อย ข้าน้อยจะออกไปรอคุณชาย...” พูดจบก็รีบหมุนตัวจากไป
เจียงเฉิงเยว่ยกยิ้มอย่างช่วยไม่ได้พลางส่ายศีรษะ เขาลุกขึ้นแล้วก้าวออกจากอ่างอาบน้ำ เช็ดตัวให้สะอาด สวมชุดนอนกับชุดคลุม จัดการร่างแล้วจึงค่อยหมุนตัวออกไป
“ท่านอาจารย์!” เมื่อออกไปก็ได้รับการต้อนรับด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่นจากไป้เอ๋อร์
เจียงเฉิงเยว่ยิ้มแล้วลูบศีรษะน้อย “ข้าขอโทษ ทำให้ไป้เอ๋อร์เป็กังวลแล้ว...รอนานหรือไม่?”
ไป้เอ๋อร์ปีนอยู่บนร่างของเขาโดยไม่ยอมปล่อยมือ จากนั้นพูดอย่างน้อยใจแฝงความออดอ้อน “ไป้เอ๋อร์คิดว่าท่านอาจารย์ไม่้าข้าแล้ว!”
เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้ม “จะเป็ไปได้อย่างไร?” ขณะที่พูดก็บีบหน้าของศิษย์ตัวน้อยด้วยความเอ็นดู ทันใดนั้นเขามองไปที่อวี่ซูที่ยังคงมีท่าทีนิ่งค้างและงุนงง ก่อนพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “อวี่ซู ขอบคุณ...ข้ารบกวนเ้ามาตลอดเลย”
ผ่านไปเป็เวลานานอวี่ซูจึงค่อยกลับมาสงบ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเกรงใจเกินไปแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่บอก “เ้าไม่ได้สนใจ...แต่หลิวเฟิงทนดูไม่ได้ หาว่าข้ารังแกความจิตใจดีของเ้า”
อวี่ซูยิ้มน้อยๆ
เจียงเฉิงเยว่เอ่ย “วันนี้ไม่มีเื่ใดแล้ว...วันหน้าข้าต้องหาโอกาสกล่าวขอบคุณเ้าอย่างแน่นอน” อวี่ซูเปิดปากกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เจียงเฉิงเยว่รีบชิงเอ่ยก่อน “ก็นับว่าไม่ใช่เพื่อเ้า แต่เพื่ออุดปากเ้านายของเ้าก็แล้วกัน...ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด”
อวี่ซูยกยิ้ม “ตกลง” ก่อนหยุดนิ่งไปชั่วครู่แล้วค่อยประสานมือ “หากเป็เช่นนี้...อวี่ซูขอลาไปก่อน”
เจียงเฉิงเยว่ “อืม”
หลังจากที่เขาออกไป ไป้เอ๋อร์ถึงผ่อนคลายแล้วมองไปรอบด้าน เริ่มถามด้วยความสนใจ “ท่านอาจารย์...ที่นี่เป็สถานที่เช่นไร?”
เจียงเฉิงเยว่ส่งยิ้ม “แน่นอนว่าเป็สถานที่ดี...เหนื่อยหรือไม่? ข้าจะหาคนยกน้ำมาให้เ้าอาบ แล้วอาจารย์จะพาเ้าไปกินอาหารอร่อยๆ”
ไป้เอ๋อร์โห่ร้องอย่างดีใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหยุดนิ่งมองเจียงเฉิงเยว่ด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “แต่ว่าท่านอาจารย์ พวกเรายังมีเงินอยู่หรือ?”
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะเสียงดัง “วางใจเถอะไป้เอ๋อร์...สถานที่นี้เป็ของสหายอาจารย์ คนผู้นั้นร่ำรวยยิ่งนัก เ้าสามารถเลือกกินสิ่งที่ดีที่สุดและแพงที่สุดได้ อีกประเดี๋ยวอาจารย์จะให้คนซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้เ้าสองสามชุด ไม่ต้องเกรงใจเล่า”
ไป้เอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยบอก “ท่านอาจารย์…เช่นนี้...หากทำเช่นนี้จะไม่ดีกระมัง?”
เจียงเฉิงเยว่บอกด้วยรอยยิ้ม “หากเป็กับคนอื่นคงไม่ดี...แต่กับเขา ไม่ต้องมองเป็คนนอกไปหรอก เ้าเพียงกินและดื่มตามสมควรอย่างสบายใจเป็พอ”
.............................
เมื่อหลิวเฟิงกลับมาจากปรโลก ภาพที่ปรากฏสู่สายตาในโถงรับแขกอันหรูหราคือหนึ่งคนตัวใหญ่กับหนึ่งคนตัวเล็กในชุดเรียบง่าย กำลังยัดอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะด้วยริมฝีปากราวกับพายุหอบ ฝ่ามือที่เยิ้มไปด้วยน้ำมันยังคงถือตีนไก่ ขาหมูและอื่นๆ เหมือนกับผีที่หิวโหยมาจุติ
“โอ้! กลับมาแล้วหรือ?!” เจียงเฉิงเยว่มองอีกฝ่าย ขณะที่ยิ้มก็วางน่องไก่ในมือลงแล้วดูดไปตามนิ้วมือ จากนั้นหยิบช้อนตักซุปมาโปะบนอาหารของตนเองสองคำพลางส่งสัญญาณให้ไป้เอ๋อร์ “เฮ้ นี่คือพี่ชายคนรวยที่เลี้ยงอาหารเ้า รีบทักทายเขาสิ!”
ไป้เอ๋อร์พูดตามอย่างเชื่อฟัง “สวัสดีพี่ชายคนรวย!”
หลิวเฟิงบีบขมับทั้งสองข้างด้วยใบหน้าที่มิอาจทนมอง
เจียงเฉิงเยว่รู้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งไปพบตี้จวิน ย่อมมีเื่ที่อาจต้องมาพบเขา ดังนั้นจึงเช็ดปากอย่างสง่างามเพื่อสิ้นสุดมื้ออาหาร พูดคุยกับไป้เอ๋อร์ราวกับว่าผีที่หิวโหยลงมาจุตินั้นไม่ใช่ตนเอง
ทั้งสองคนเข้าไปอีกห้องหนึ่ง เจียงเฉิงเยว่เรอออกมาแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เป็อย่างไร? ตี้จวินไม่ได้ทำให้เ้าลำบากใช่หรือไม่กัน?”
หลิวเฟิงมองเขาแวบหนึ่ง เจียงเฉิงเยว่เพียงทำเป็ไม่เห็น ครู่ต่อมาหลิวเฟิงกล่าวด้วยความโกรธ “หลี่อวิ๋นหังในตอนนั้น เป็เ้าที่สังเวยิญญาเพื่อช่วยเขากลับมาหรอกหรือ?!”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง “ใครบอกเ้ากัน?”
หลิวเฟิงถามต่อ “เช่นนั้นตัวเขาเองรู้เื่นี้หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่เบ้ปาก
หลิวเฟิงแทบจะโกรธราวกับฟ้าร้อง “สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเ้า เ้าโง่หรือไม่ บทเรียนที่ได้รับจากเมืองยงเมื่อปีนั้นยังไม่พออีกหรือ เ้าอย่าทำเื่โง่ๆ ที่เปล่าประโยชน์เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หรือไม่ ในสายตาของหลี่อวิ๋นหัง เ้าเป็เพียงิญญาชั่วร้ายที่ร่างเสด็จพี่ของเขา แม้ว่าเ้าจะบอกเขาในตอนนี้ว่าความจริงแล้วเป็เ้าใช้ชีวิตกับเขาบนเขาฉีหวนเป็เวลาสามปี นอกจากนี้เ้ายังช่วยเขาจนเกือบจะทำให้ิญญาแตกสลาย เ้าคิดว่าเขาจะเชื่อหรือไม่กัน?”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวด้วยเสียงต่ำ “ข้าไม่ได้หวังให้เขาเชื่อ...และไม่ได้้าจะบอกเขา”
หลิวเฟิงเงียบไปเป็เวลานาน จากนั้นถอนหายใจ “ทำไมเ้า...ไม่บอกเื่เหล่านี้กับข้าให้เร็วกว่านี้?”
เจียงเฉิงเยว่เห็นอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดีจึงรีบเอ่ย “ไม่ใช่ว่าข้าไม่้าบอกเ้า ความจริงคือ...ตอนนั้นข้าแอบหนีออกมา อีกทั้งตี้จวินยังให้ความเมตตากับข้าเป็พิเศษถึงสองครั้ง หากเป็เพียงเื่ที่เกี่ยวกับตัวข้าเอง ข้าย่อมไม่ปิดบังเ้า ส่วนเื่ที่เกี่ยวกับตี้จวิน ข้าทำให้เขาลำบากอยู่ทุกหนแห่ง นี่นับว่าเป็เื่ไม่เกินจริงไม่ใช่หรือ?”
หลิวเฟิงไม่ออกความเห็น เขานั่งอย่างเงียบเชียบโดยไร้คำพูด
------------------------
