“แว้ก...”
เสียงร้องของนกอินทรีดังตามมาหนึ่งครั้ง เงาร่างวาดผ่านเป็เส้นโค้งหนึ่งสายเร็วดั่งฟ้าแลบ ชั่วพริบตาเดียวเนื้อพะโล้หนักครึ่งชั่งในถาดบนพื้นก็ไร้ร่องรอยให้เห็น
“…”
เป็นักกินเลยนี่!
เจินจูมุ่ยปากยืนอยู่ใต้ต้นพุทรา เมื่อครู่นางเพิ่งวางถาดแล้วเดินมาถึงใต้ต้นไม้ เนื้อพะโล้ก็เข้าปากนกอินทรีไปแล้ว
“เหมียว”
เสี่ยวเฮยประท้วงด้วยความไม่พอใจ แม้ยามนี้เท้าของมันจะมีหางหมูพะโล้เติมน้ำแร่จิติญญาหนึ่งชิ้นวางอยู่ก็ตาม
“แหะๆ เสี่ยวเฮยเป็เด็กดี นี่ข้ากำลังหาผู้ช่วยให้เ้าอยู่นะ มันกินเนื้อนี่แล้ว จะต้องตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ แน่” เจินจูเอื้อมมือไปลูบเสี่ยวเฮยบนกิ่งไม้ ในท้องฟ้าฝนตกปรอยมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ขนมันวาวของเสี่ยวเฮยชุ่มเล็กน้อย
“หง่าว”
เสี่ยวเฮยจ้องนางครู่หนึ่งั์ตาอ่อนแสง แล้วก้มหน้าแทะหางหมู แม้ผักที่ปลูกในมิติช่องว่างจะมีพลังเหนือธรรมชาติมากกว่า แต่เสี่ยวเฮยยังชอบทานพวกเนื้อพะโล้ที่เติมน้ำแร่จิติญญา อย่างไรเสียแมวก็ยังเป็สัตว์กินเนื้อ
“แว้ก...” เสียงนกอินทรีดังขึ้นอีกครั้ง เจินจูเงยหน้ามองไป กลับเห็นนกอินทรีั์ตัวนั้นเกาะอยู่บนกำแพงรั้ว ไม่กลัวความแหลมคมของเศษเครื่องกระเบื้องเคลือบบนกำแพงรั้วที่ฝังอยู่เป็พิเศษเลยแม้แต่น้อย และเนื้อพะโล้ที่เคยอยู่ในปากก็ลงท้องหมดไปนานแล้ว
ดวงตานกอินทรีที่เฉียบแหลมและว่องไวจ้องเขม็งไปที่หางหมูในปากของเสี่ยวเฮย
นกอินทรีตัวนี้มีความสูงมากกว่าครึ่งของตัวคน เช่นนั้นปริมาณอาหารคาดว่าจะค่อนข้างมาก ชิ ไม่รู้ว่าถ้าฝึกนักกินตัวหนึ่งเช่นนี้ให้เชื่องจะคุ้มค่าหรือไม่
นกอินทรีั์โฉบตัวขึ้นทันทีทันใด พริบตาเดียวก็เข้ามาเกือบจะถึงตัวพวกนาง
เจินจูใ ถอยหลังไปไม่กี่ก้าวโดยมิรอช้า
เสี่ยวเฮยเหยียดตัวแล้วยืนขึ้นตรง ดวงตาล้ำลึกทั้งสองข้างจ้องคู่ต่อสู้เขม็ง นกอินทรีทองยังไม่ทันถึงข้างตัวก็กางกรงเล็บโผเข้าหาแล้ว
ทันใดนั้นขนนกสีดำได้ลอยว่อนอยู่ในอากาศ
“แว้ก...”
เสียงร้องนกอินทรีแหลมเล็กน้อย
เมื่อหันตัวกลับไป นกอินทรีทองก็กลับไปบนกำแพงรั้วอีกครั้ง สองตาประกายความเดือนดาลและไม่ยอมแพ้
เสี่ยวเฮยะโกลับมาข้างหางหมู บนใบหน้าเย่อหยิ่งมองมันแวบหนึ่งอย่างสายตาเหยียดหยาม หลังจากนั้นนอนคว่ำแทะหางหมูของมันต่อ
“…”
เ้านี่อวดดีพอตัวเลยจริงๆ
“แค่กๆ” กลับมาประเด็นเดิม เจินจูล้วงพะโล้หัวใจหมูหนึ่งชิ้นออกมาจากตะกร้าที่อยู่ใต้ต้นไม้ วางเนื้อลงบนถาดแล้ววางไว้ใต้ต้นไม้ที่เสี่ยวเฮยแทะหางหมูอยู่
ดวงตาของนกอินทรีทองจ้องเนื้อพะโล้ชิ้นนั้นจริงด้วย แม้ท่าทางเตรียมพร้อมบุกเข้ามา แต่ยังมองเสี่ยวเฮยที่แทะอาหารอยู่บนต้นไม้ด้วยความระมัดระวัง เสียเปรียบกรงเล็บของเสี่ยวเฮยอยู่หลายครั้ง อย่างไรในใจก็ยังมีความหวาดกลัวอยู่
“อยากกินหรือไม่? อยากกินย่อมได้ แต่ใช้การแย่งชิงไม่ได้นะ ต้นไม้นี่เป็ของบ้านข้า เสี่ยวเฮยก็เป็ของครอบครัวข้า หากเ้าไม่แตะต้อง เนื้อนี่ให้เ้ากินได้” รอยยิ้มของเจินจูแฝงไว้ด้วยเจตนาดี นางรู้ว่าลางสังหรณ์ของสัตว์มากมายล้วนประสาทไวมาก สามารถรับรู้ถึงเจตนาดีและเจตนาร้ายของพวกมนุษย์ได้ เจตนาดีที่จริงใจจะต้องทำให้มันลดเจตนาร้ายที่มีตุ่์ลงได้แน่
เห็นได้ชัดว่าาาแห่งท้องนภาที่เต็มไปด้วยสติปัญญาดีตัวหนึ่ง น่าจะเข้าใจความหมายของนางได้
ดวงตาเฉียบแหลมของมันจ้องนางครู่หนึ่ง แล้วหันไปทางเนื้อพะโล้บนพื้น ทันทีหลังจากนั้นร้องเสียง “แว้กๆ” ไม่กี่ที
เจินจูชอบใจ ปฏิกิริยาตอบรับเช่นนี้ อืม... มีแวว
“มา ชิ้นนี้ให้เ้า” นางผลักเนื้อพะโล้ไปข้างหน้า
มันร้อง “แว้กๆ” แล้วย้ายสายตาจากตัวนางไปที่ตัวเสี่ยวเฮย
“เสี่ยวเฮย เ้ามานี่ ยิ้มหน่อย” เจินจูดันแมวเหมียวที่กำลังแทะหางหมูอย่างมีความสุข
ดวงตาล้ำลึกอ่อนแสงจ้องที่นาง เจินจูกล่าวประจบเอาใจเสียงเล็ก “ไม่ดื้อนะ อีกเดี๋ยวให้ก้านผักกวางตุ้งเ้าหนึ่งก้าน”
เสี่ยวเฮยมองสัตว์ขนเรียบแบนที่อยู่ตรงข้ามแวบหนึ่ง ขยับกายเล็กน้อยอย่างไม่ยินดีที่จะทำ และเอียงตัวไปตรงข้ามมัน
“แหะๆ เ้าดู เสี่ยวเฮยรับปากแล้ว หากเ้าเป็เด็กดีไม่แย่งของ มันจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเ้า” ดันเนื้อไปข้างหน้าอีกครั้ง
อินทรีั์สยายปีกโฉบลงมา หยุดอยู่ข้างเนื้อพะโล้ มันมองเจินจูอย่างระมัดระวัง แล้วมองเสี่ยวเฮยบนต้นไม้อีกที เคลื่อนไปข้างหน้าสองก้าวด้วยความระแวดระวังจนเนื้อพะโล้อยู่ใกล้ตรงหน้า
กลิ่นหอมเฉพาะของเนื้อพะโล้ปะปนรวมกันกับกลิ่นอายเหนือธรรมชาติของน้ำแร่จิติญญา ล้วนมีแรงดึงดูดต่อมันอย่างมาก
เห็นเพียงหัวของมันก้มต่ำ คาบขึ้นมาด้วยการกระทำที่ว่องไว สองปีกโบกสะบัด เกิดลมพักหนึ่ง แล้วนกอินทรีก็บินกลับไปบนกำแพงรั้ว
พะโล้หัวใจหมูหนักกว่าหนึ่งชั่ง ค่อนข้างหนักนิดหน่อย มันวางเนื้อไว้บนกำแพงรั้วและใช้จะงอยปากแหลมคมของมันจิกพะโล้หัวใจหมูหายไปหนึ่งในสี่ภายในคำเดียว
หลังจากจิกไปสามสี่คำ พะโล้หัวใจหมูจึงลงท้องมันไปทั้งหมด
“แว้กๆ” มันร้องเสียงสบายใจ ลูกตาสองข้างมองเจินจูที่อยู่ใต้ต้นไม้อย่างเงียบสงบ
“ฮ่าๆ เอาล่ะ วันนี้ได้ไปเยอะขนาดนั้นแล้ว หากเ้าอยากกิน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน แต่เ้าจะละโมบมาปล้นต้นไม้ไม่ได้อีกแล้วนะ อีกอย่างหากนกตัวอื่นจะมายื้อแย่งต้นไม้ เ้าต้องรับผิดชอบไล่พวกมันไป รู้ไหม? ไม่อย่างนั้นจะไม่มีเนื้อให้กินแล้ว เข้าใจหรือไม่?” ความเร็วในแต่ละคำชะลอช้าลง สองมืออธิบายประกอบคำพูดไปด้วย เจินจูกล่าวจบจึงหัวเราะออกมา
มันร้อง “แว้กๆ” ดวงตาสว่างไสวเอาแต่จ้องนาง
เจินจูไม่ได้รีบร้อนเช่นกัน อุ้มเสี่ยวเฮยที่กินอิ่มขึ้นและลูบขนดำลื่นของมันให้เรียบ
เสี่ยวเฮยนอนอยู่ในอ้อมอกของนางอย่างผ่อนคลาย หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งอย่างเชื่อฟัง
ผ่านไปสักพัก อินทรีั์ก็สยายปีกบินขึ้นวนเวียนอยู่บนท้องฟ้าหมู่บ้านวั้งหลินหนึ่งรอบแล้วค่อยๆ จากไปไกล
“เฮอ” เจินจูผ่อนลมหายใจออก สร้างความสัมพันธ์กับสัตว์ไม่ใช่เื่ง่ายเลย
“ไปเถอะ พวกเรากลับบ้านกัน วันนี้มันคงไม่มาแล้ว” แก้ไขปัญหานี้ลุล่วง เจินจูก็โล่งใจอย่างมาก ปล่อยเสี่ยวเฮยลงแล้วหิ้วตะกร้าขึ้น ร้องเรียกเสี่ยวเฮยให้กลับบ้าน
แม้ฝนฤดูใบไม้ผลิจะตกไม่หนักมาก แต่โปรยลงมานานแล้ว ความชื้นเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ป่วยได้
เจินจูเดินลัดกลับทางหลังบ้าน เงากายของหลัวจิ่งปรากฏออกมาจากข้างกระท่อมกระต่าย อารมณ์บนใบหน้าล้ำลึกมาก
“เ้าซื้อตัวเ้านกอินทรีนั่นเช่นนี้... ได้หรือ?” ไม่ใช่ว่านกอินทรีล้วนกินเนื้อสดหรอกหรือ?
เมื่อก่อนเขาเคยได้ยินพี่ชายใหญ่กล่าว เหยี่ยวและนกอินทรีเหมือนจะกินแค่เนื้อสด? หรือเขาจำผิด? ลูกหลานของครอบครัวขุนนางกลุ่มที่มีอำนาจจำนวนไม่น้อยล้วนชอบฝึกเลี้ยงพวกนกอินทรีให้เชื่อง ฤดูกาลล่าสัตว์ทุกปีจะนำนกอินทรีที่เลี้ยงเชื่องแล้วไปด้วย แล้วปล่อยให้นกอินทรีจับเหยื่อ ถือเป็วิธีเสพสุขกับการฆ่าเวลา
“…เอ่อ ลองดูเท่านั้นเอง อย่างไรเสียที่บ้านยังมีเนื้อพะโล้อีกมาก ฮ่าๆ ไม่ใช่ว่ามันกินได้มีความสุขมากหรือ!” ตอนนางหยิบเนื้อพะโล้ไม่ได้หลีกเลี่ยงทุกคน เขาจะอยากรู้อยากเห็นก็เป็เื่ปกติ
“มันฟังเ้าเข้าใจได้?” นกอินทรีหลังฝึกให้เชื่องแล้วจะฟังคำสั่งของเ้าของ แต่นกอินทรีตัวนี้ยังไม่ผ่านการฝึกเลี้ยงมาเลย
“ฮ่าๆ ไม่รู้สิ น่าจะฟังเข้าใจได้หน่อยกระมัง เ้าดู เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวหวงบ้านเรา ไม่ใช่ว่าเชื่อฟังกันดีหรือ สัตว์ส่วนใหญ่มีสติปัญญา นกอินทรีเป็สัตว์ที่เฉลียวฉลาดมาก”
เงากายในชุดเสื้อตัวบางสีเหลืองอ่อนของฤดูใบไม้ผลิ วิ่งออกไปจากสายตาอย่างกระฉับกระเฉง
หลัวจิ่งใจลอยเล็กน้อย ทันทีหลังจากนั้นเม้มริมฝีปากเบาๆ นานอยู่ครึ่งค่อนวัน จึงหมุนตัวกลับเข้ากระท่อมกระต่ายทำความสะอาดต่อไป
...คนครอบครัวเกษตรกร เมื่อปลูกบ้านใหม่และเข้าบ้านใหม่ล้วนเป็เื่ใหญ่ การเชิญแขกมาทานดื่มเป็สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
สกุลหูย่อมไม่เป็ข้อยกเว้น
พลบค่ำก่อนเชิญแขกหนึ่งวัน หูชิวเซียงท่านป้าคนโตของสกุลหูได้พาเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนผู้เป็บุตรสาวมาด้วย เร่งมาถึงบ้านเก่าสกุลหูก่อนฟ้ามืด
พอหูชิวเซียงเข้ามาในบ้านก็ทึ่มทื่อไปเล็กน้อย ผู้ที่ต้อนรับการมาเป็บิดาของนางหรือ? กางเกงและเสื้อบุนวมผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีชาครบชุดใหม่เอี่ยม ขับให้คนทั้งร่างมีชีวิตชีวาหน้าตาสดชื่น ปีก่อนดูเส้นผมขาวไปครึ่งหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าตอนนี้จะงอกสีดำออกมาอีก รอยย่นทั่วทั้งใบหน้าดูแล้วจางลงไปไม่น้อย
นางหันไปที่ภรรยาของน้องชายคนโตอย่างน้องสะใภ้เหลียงซื่อ ท่อนบนผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีน้ำเงินทะเลสาบและกระโปรงยาวสีพระจันทร์ ร่างกายกำลังอุ้มท้องแปดเดือนกว่า รูปร่างอิ่มเอิบสีหน้าเปล่งปลั่ง บนมวยผมดำสนิทปักปิ่นเงินน้ำหนักดูไม่เบา ใบหน้ามีรอยยิ้มอิ่มอกอิ่มใจเล็กน้อย
หนึ่งปีกว่าที่ไม่ได้กลับบ้าน ที่บ้านเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากมายเพียงนี้?
น้องสะใภ้คนโตตั้งท้องนางพอรู้ เพราะหวังซื่อให้คนไปส่งข่าว นางในตอนนั้นยังรู้สึกเหน็บแนมอยู่ในใจ เกือบจะเป็คุณยายได้อยู่แล้ว ยังเป็หอยแก่ให้กำเนิดไข่มุกอีก [1] ที่บ้านมีหนี้ติดก้นอยู่ คลอดบุตรชายออกมาอีกไม่ใช่ว่าต้องทานรำข้าวกลืนผักหรือ [2]
แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเวลาพักหนึ่งสั้นๆ สกุลหูจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
“ชิวเซียง เสี่ยวเหยี่ยน เร่งเดินทางมาทั้งวันเหนื่อยแล้วกระมัง เข้าบ้านมาพักก่อน พวกท่านแม่ของเ้าอยู่บ้านใหม่ของฉางกุ้ยทางนั้น ต่างก็เร่งเตรียมงานเลี้ยงพรุ่งนี้อยู่ คาดว่าจะกลับมาค่ำหน่อย” หูเฉวียนฝูยิ้มแล้วให้พวกนางเข้าบ้าน สำหรับบุตรสาวคนโตผู้นี้ เขาค่อนข้างรักและทะนุถนอมมาก ยังไม่ต้องเอ่ยถึงแต่งงานออกไปไกลเลย ฐานะทางบ้านก็ไม่ร่ำรวยมั่งคั่งด้วย แต่งออกไปเกือบยี่สิบปีแล้ว จำนวนครั้งที่กลับมาบ้านบิดามารดาสามารถนับได้ด้วยสองฝ่ามือ
“ท่านตา บ้านใหม่ของท่านน้ารองสร้างอยู่ที่ไหนหรือเ้าคะ?” เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนวัยสิบสี่ปีถามแล้วยิ้มตาหยี ท่าทางไร้เดียงสา
ใบหน้ารูปไข่คิ้วใบหลิวดวงตาโตเมล็ดซิ่งเหริน [3] สวมชุดประโปรงลายดอกสีแดงเข้มสลับเงิน บนศีรษะปักปิ่นดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์สีชมพูช่างขับให้สีผิวของนางเหมือนดั่งหยก นางคือบุตรสาวคนสุดท้องของหูชิวเซียง หน้าตางดงาม อีกทั้งวาจายังทำให้คนชอบด้วย ได้รับความโปรดปรานจากผู้เป็บิดามารดามาก ถึงสภาพการเงินในบ้านจะไม่ได้ดี แต่ทุกปีก็เจียดทรัพย์สินเงินทองออกมาเพื่อซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้นาง
“ฮ่าๆ อยู่ทางเข้าหมู่บ้าน ห่างจากทางเข้าหมู่บ้านไม่ไกล” หูเฉวียนฝูหยิบกล่องใส่ของว่างบนโต๊ะขึ้นมาจัดวางเรียง ยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดู “หิวแล้วล่ะสิ ทานขนมเติมท้องก่อน ในห้องครัวมีอาหารที่เตรียมไว้แล้ว อุ่นสักหน่อยก็ทานได้”
เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนมองกล่องของว่างบนโต๊ะที่เขียนลายเมฆสมปรารถนา [4] ฝีมือประณีตและสง่างาม จัดวางเรียงของว่างทั้งเกาเตี่ยนทั้งปิ่งหลากหลายชนิด รูปลักษณ์หีบห่อคุณภาพสูง สายตานางเป็ประกาย ระหว่างทางมาได้ยินคนเดินถนนกล่าวกันว่าปีนี้บ้านท่านตาพึ่งพาการขายอาหารหมักร่ำรวยขึ้น พวกนางยังไม่เชื่ออยู่มาก ดูท่าว่าจะเป็ความจริงแล้ว!
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนยิ่งเป็สุข
“ลูกสะใภ้ใหญ่ พี่ใหญ่เ้าเร่งเดินทางมาทั้งวัน เ้าช่วยไปอุ่นกับข้าวเสียหน่อย” หูเฉวียนฝูสั่งเสร็จ มองเหลียงซื่อที่ร่างกายอ้วนท้วนแล้วกังวลใจเล็กน้อย
“ท่านพ่อ ทราบแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ” เหลียงซื่อยิ้มแล้วขานรับ พอหมุนกายไปกลับเบะปาก นางไม่ชอบพี่ใหญ่คนนี้เลย
เมื่อก่อนกว่าที่บ้านจะรวบรวมของได้สักหน่อยไม่ง่ายเลย แต่พอนางกลับมาหนึ่งหน ก็เอากลับไปครึ่งหนึ่ง ปากกล่าวน่าฟังว่าบ้านลำบากยากแค้น อะไรต่อมิอะไรก็ให้แม่สามีเก็บไว้ขายเอาเงิน จะเอาของในบ้านบิดามารดาไปเสริมให้บ้านสามีไม่ได้ แต่พอหันมาอีกทีได้ทำหน้ากลัดกลุ้มบอกว่าความเป็อยู่ตนเองไม่ง่ายบ้าง บุตรสาวที่บ้านทานไม่อิ่มสวมใส่ไม่อุ่นบ้าง
สรุปแล้วตอนก่อนจะไปได้หยิบแต่ละอย่างไปไม่น้อย แล้วยังทำท่าทางบ่ายเบี่ยงไม่เลิก
มีปีหนึ่งลุงของผิงซุ่นนำผ้าหยาบสีเทาเข้มครึ่งพับมามอบให้หวังซื่อ ให้ฉางหลินและฉางกุ้ยตัดคนละชุด และยังเหลืออีกไม่น้อย หวังซื่อยังบอกกับนางเลยว่าจะเก็บไว้สองปีแล้วตัดให้เด็กชายที่บ้านหนึ่งชุด ในตอนนั้นเหลียงซื่อดีใจมาก
ผู้ใดจะรู้ว่าห่างไปหนึ่งเดือน พี่ใหญ่กลับมาบ้านเยี่ยมบิดามารดา เห็นผ้าที่เหลืออยู่ก็หันหน้าไปกล่าวกับหวังซื่ออย่างกลัดกลุ้ม บอกว่าเด็กชายที่บ้านสองสามปีแล้วไม่เคยมีชุดใหม่เพิ่มขึ้นมาเลย เสื้อผ้าปะแล้วปะอีก ท่าทางดูไม่ได้แล้วจริงๆ สามีตนเองไม่มีความสามารถรวบรวมเงินได้... สุดท้าย ผ้าผืนนั้นได้ให้นางห่อกลับไปบ้านสามีดังคาด ตอนนั้นพวกเขาสกุลหูยังยากจนอยู่เลย เสื้อผ้ายิ่งกว่าสวมเย็บปะมาแล้วสามปี
เหลียงซื่อนึกขึ้นมาได้ก็เต็มไปด้วยความโกรธ ด้วยเหตุนี้เลยจงใจยืดท้องขึ้นตรงอย่างลำบากและเกาะประตูเดินออกไปอย่างเชื่องช้า
เชิงอรรถ
[1] หอยแก่ให้กำเนิดไข่มุก หมายถึง สตรีที่มีอายุมาแล้วให้กำเนิดบุตร
[2] ทานรำข้าวกลืนผัก หมายถึง การทานธัญพืชและรำข้าวและกลืนผักป่า เปรียบเปรยว่า ดำรงชีวิตอยู่อย่างยากจนข้นแค้น คล้ายสำนวนไทยที่ว่า กัดก้อนเกลือกิน
[3] ซิ่งเหริน คือ เมล็ดแอปริคอต
[4] ลายเมฆสมปรารถนา คือ รูปแบบของลายเมฆดั้งเดิมที่ยอดเยี่ยมในประเทศจีน เป็ลวดลายมงคล