เสียงนกร้องนอกหน้าต่างกังวานใสอย่างเริงร่า ตอนที่อ๋าวหรานตื่นขึ้นมานั้นแดดก็ส่องเข้ามาเต็มเตียงแล้ว ดวงตาสว่างสดใส ถึงแม้่นี้จะมีเื่ให้ต้องกังวลมาก แต่เมื่อคืนก็หลับสนิทโดยที่ไม่ฝันเลย ทั้งยังหลับเต็มตื่นเป็อย่างยิ่ง
เมื่ออ๋าวหรานลุกจากเตียง ชิงโย้วก็เริ่มเคาะประตู แม่นางน้อยผู้นี้ราวกับติดเรดาร์ไว้ก็ไม่ปาน แค่ภายในห้องของตนมีเสียงเคลื่อนไหวเพียงนิดเดียว นางก็สามารถรับรู้ได้ทันที
เขาถอนหายใจออกมาทีหนึ่งก็ะโไปทางประตูว่า “เข้ามา”
ในมือของแม่นางน้อยถือกะละมังใส่น้ำไว้อยู่ แย้มยิ้มราวกับดอกไม้ “คุณชายรีบลุกขึ้นเถอะเ้าค่ะ คุณชายเหยียนออกไปตั้งนานแล้ว”
อ๋าวหรานตกตะลึง “ตอนเช้ายังมีแข่งอีก เขาไปไหนของเขา?”
ชิงโย้วส่งผ้าขนหนูให้เขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า “คุณชายวางใจเถิดเ้าค่ะ คุณชายเหยียนบอกไว้แล้วว่าจะกลับมากินข้าวเช้า”
“เช่นนั้นก็ดี” อ๋าวหรานพยักหน้าแล้วสั่งชิงโย้วว่า “วันนี้เ้ากินข้าวไปนะ อีกเดี๋ยวศิษย์พี่กลับมา ข้ากับเขาจะไปกินที่ห้องจิ่งฝาน”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว ชิงโย้วก็ผิดหวังขึ้นหลายส่วน น้ำเสียงต่ำลงเล็กน้อย “ทราบแล้วเ้าค่ะ”
อ๋าวหรานหัวเราะ “แต่ตอนค่ำอาจจะกลับมากินก็ได้”
ชิงโย้วยิ้มขึ้นมาทันใด “เ้าค่ะ คุณชาย”
หลังจากอ๋าวหรานจัดการกับตัวเองเสร็จ เหยียนเฟิงเกอก็กลับมาแล้ว
คนทั้งสองพากันไปหาจิ่งฝาน จิ่งเซียงกับจิ่งจื่อก็มาแล้วเช่นกัน อ๋าวหรานเข้าร่วมการแข่งขันไม่ได้แล้ว แต่งานสนุกขนาดนี้เขาก็รอคอยเป็อย่างมาก เมื่อคืนคัดคนออกไปได้ครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออยู่วันนี้จึงล้วนเป็คนที่ค่อนข้างมีฝีมือ ดังนั้นการประลองวันนี้น่าจะมีอะไรให้ดูอยู่มากทีเดียว
จิ่งจื่อคีบซาลาเปาลูกใหญ่ ท่าทางโอหังร่าเริง “หวังว่าวันนี้จะได้เจอคนเก่งๆ จะได้ตั้งใจสู้ให้ดีสักรอบ”
จิ่งเซียงทำท่าทางดูถูก “ระวังจะจับได้พวกเขาสองคนล่ะ” พูดแล้วก็กวาดสายตาไปทางจิ่งฝานกับเหยียนเฟิงเกอที่กินข้าวอยู่เงียบๆ ทีหนึ่ง
จิ่งจื่อเปลี่ยนสีหน้าทันใด หัวเราะอย่างขมขื่น “อย่าแช่งข้าสิ ข้ายังอยากอยู่ต่ออีกหลายรอบ”
จิ่งเซียงหัวเราะพรืด “ก็ไม่แน่เสียหน่อย”
จิ่งจื่อ “ข้ารู้ตัวดี”
จิ่งเซียงคร้านจะสนใจเขาแล้ว “พี่ ท่านสืบหาเกี่ยวกับเ้าหวาหวาจิ่วนั่นแล้วได้เื่อะไรบ้างหรือไม่? ลูกน้องท่านไม่น่าจะช้าถึงเพียงนั้นใช่หรือไม่?”
จิ่งฝานพยักหน้า “อืม”
อ๋าวหรานที่เพิ่งยัดซาลาเปาครึ่งลูกใส่ปากจนแก้มพองกลม ดวงตาสีดำดั่งขนกาถึงกับเป็ประกาย “จริงหรือ? รีบบอกมา”
ช้อนในมือของจิ่งฝานกระทบข้างถ้วยโดยไม่ทันระวัง เสียงดังเสนาะจากการกระทบกันทำให้พวกเขาถึงกับสะดุ้ง “พวกเขาเป็พวกที่ใช้วิชากู่”
อ๋าวหราน “วิชา...อื้อ...กู่?! ยัง...ยังมีเื่เช่นนี้อยู่ด้วยหรือ”
จิ่งฝานทิ้งช้อนในมือลงในถ้วย แววตาราวกับจะมีไฟลุกอย่างไรอย่างนั้น “เ้ากินให้หมดก่อนแล้วค่อยพูดได้หรือไม่?”
สีหน้าราวกับตัวเองเป็ผู้บริสุทธิ์ของอ๋าวหรานแฝงไปด้วยความน้อยใจ “...”
ต้องขนาดนี้เลยหรือ? เมื่อก่อนก็เป็เช่นนี้ยังไม่เห็นเ้าว่าอะไรเลย ตั้งกฎขึ้นมาั้แ่เมื่อไรว่าตอนกินข้าวห้ามพูด?
จิ่งฝาน “...”
เมื่อหันศีรษะไปไม่มองเขาอีกจึงพูดต่อว่า “จิ่งเหวินซานอยากให้ข้าโดนกู่จนเป็บ้าไป”
จิ่งเซียงสำลักโจ๊กจนไอไม่หยุด “พี่…! เช่นนั้น...แค่ก...”
จิ่งจื่อรู้ว่านางจะพูดอะไรก็รับไปพูดต่ออย่างร้อนรนว่า “เช่นนั้นจะทำอย่างไร? เมื่อวานอ๋าวหรานก็ประลองกับเขาไปรอบหนึ่งแล้ว คงไม่เป็ไรใช่หรือไม่?”
จิ่งฝานชะงักไป “ไม่เป็ไร เขาไม่ใช่ข้า พวกเขาจึงไม่ได้ลงมือ”
ในที่สุดจิ่งเซียงก็เริ่มดีขึ้น “พี่ เช่นนั้นจะทำอย่างไร วิชากู่อะไรพวกนี้จะป้องกันได้อย่างไร?”
จิ่งฝาน “วางใจเถิด ข้ารับมือได้”
ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่ได้ยินอ๋าวหรานพูดอะไร จิ่งฝานจึงอดหันศีรษะไปมองไม่ได้ กลับเห็นว่าเขากำลังตั้งใจกินโจ๊กในถ้วยอย่างที่สุด
จิ่งฝาน “...”
รู้สึกโกรธขึ้นกว่าเดิมแล้ว
——
ถึงแม้เมื่อวานจะคัดคนออกไปได้ครึ่งหนึ่ง แต่วันนี้คนที่มายังสนามประลองก็มีไม่น้อยเช่นเดิม พวกคนที่มาดูเื่สนุกก็ยังมากันอย่างคับคั่ง
แม้พวกจิ่งเฟิงกั๋วจะอายุมากแล้ว และยังเป็ถึงผู้าุโอีก แต่ก็ยังมาเช้ากว่าพวกเด็กๆ หลายคน แต่ละคนนั่งกันอย่างจริงจังอยู่บนที่นั่งบนเวทีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
อ๋าวหรานมองผู้คนที่ค่อยๆ เข้ามายืนจนเต็มสนาม แต่ละคนดูเืลมสูบฉีดกันอย่างที่สุดจึงรู้สึกเสียดายขึ้นมา อดตบไปที่ไหล่ของจิ่งฝานด้วยสีหน้ากล่าวโทษทีหนึ่งไม่ได้ “ต้องโทษเ้าที่ขวางข้า หากเมื่อวานข้าสู้กับเ้าชีหวานั่นต่อ วันนี้ก็ยังสามารถขึ้นเวทีได้อีก”
จิ่งฝานดึงมือเขาออกนิ่งๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “ถึงให้เ้าสู้ต่อ การประลองวันนี้จะจัดต่อไปได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่”
อ๋าวหราน “หมายความว่าอย่างไร? ดูถูกข้าหรือ?”
จิ่งฝาน “...”
แต่ว่า...เหตุใดถึงเป็การประลองจะจัดต่อไปได้ไหมล่ะ?
ไม่รอให้อ๋าวหรานร้องขอคำอธิบาย บนเวทีจิ่งเหวินซานก็เดินขึ้นหน้ามาแล้ว พูดด้วยน้ำเสียงทรงพลังจนได้ยินไปทั่วทั้งสนาม “จากการประลองเมื่อวาน ทุกท่านคงลำบากแล้ว ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็ขอหลานทั้งหลายอย่าได้ท้อแท้หรือโศกเศร้า จงพยายามให้มากขึ้นเพื่อให้ตัวเองพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น”
จิ่งเหวินซาน “วันนี้ข้าจะไม่พูดมากแล้ว กฎก็เหมือนกับกฎเมื่อวาน ทุกท่านน่าจะชัดเจนดีอยู่แล้ว นอกจากนี้...ขอย้ำอีกครั้งว่าทุกท่านล้วนมาจากที่ห่างไกล ได้มีโอกาสมาพบกันเพื่อใช้การประลองผูกมิตร จำไว้ว่าอย่าได้ทำลายมิตรภาพความสามัคคี ให้ถือการแลกเปลี่ยนและสานสัมพันธ์เป็สำคัญ อย่าได้ทำลายชีวิตผู้อื่น”
ผู้คนด้านล่างเวทีพากันตอบรับ แต่สายตากลับสาดไปยังทางเต๋อรั่วอย่างไร้ร่องรอย แน่นอนว่าก็มีบางคนที่เฝ้ามองเซี่ยเหวินเอ่ออยู่เหมือนกัน คนผู้นี้ก็นับว่าเป็คนเหี้ยมโหดที่ภายใต้รอยยิ้มนั้นแอบซ่อนไปด้วยมีดอันแหลมคม หากเจอเข้ากับเขาเกรงว่าคงต้องลำบากแล้ว น่าเสียดายที่คนที่เชื่อฟังกฎนั้นต่อให้ไม่เน้นย้ำเขาก็ยังคงเชื่อฟัง แต่คนที่ไม่ยินดีฟังนั้น ต่อให้จะพูดมากสักเพียงใด เขาก็ย่อมไม่ฟัง
จิ่งเหวินซานสั่งให้คนนำฉลากสำหรับคุณหนูคุณชายทั้งหลายมา เมื่อวานคนที่ชนะล้วนมีบันทึกไว้ วันนี้ผู้ใดจับแล้วก็จะบันทึกไว้อีกเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดและป้องกันคนแอบอ้าง
พวกจิ่งเซียงไม่ได้รีบรุดไปข้างหน้า ต่างยืนอยู่ค่อนไปทางด้านหลัง อ๋าวหรานจึงอดเร่งไม่ได้ “รีบเข้าไปเถิด คนจับไปเกินครึ่งแล้ว”
ไม่รอให้พวกจิ่งเซียงพูด จิ่งฝานก็พูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่ต้องรีบร้อน”
“ช่วยด้วย...มีคนตาย!!! ช่วยด้วย! มีคนตาย...คน...ตาย!!”
สนามประลองมีคนมากมาย เสียงพูดคุยก็ไม่ได้เบา แต่เสียงกรีดร้องที่มาอย่างกะทันหันนี้กลับบาดหูอย่างยิ่ง ทุกคนจึงพากันเงียบเสียงลง
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย...”
เสียง 'ช่วยด้วย' นี้กลับยิ่งโดดเด่นขึ้นมาในสนามแห่งนี้
“มีคนตาย...ฮือ...”
คนที่ร้องะโเสียงแหบต่ำหายใจหอบเร็ว เสียงหอบหายใจหนักหน่วงท่ามกลางความเงียบนี้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ทุกคนจึงพากันส่งสายตาไปยังต้นเสียงนั้น
อ๋าวหรานมองไปตามเสียงเพราะพวกเขาไม่ได้รุดไปทางด้านหน้า ตอนนี้สายตาจึงมองได้กว้างไกลยิ่ง แล้วคนที่ร้องขอความช่วยเหลือนั้นก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าพวกเขา เป็ชายอายุยี่สิบกว่าๆ สวมเสื้อผ้าไม่หรูหรา สีค่อนข้างเข้ม ไม่มีเครื่องประดับ ธรรมดาเรียบง่ายอย่างยิ่ง น่าจะเป็คนรับใช้ของคุณชายใดสักตระกูล
ชายผู้นั้นขาสั่นยังคงวิ่งอย่างซวนเซมาข้างหน้า ชัดเจนว่า้าไปยังที่ที่มีคนอยู่เยอะ ปากก็ยังคงะโด้วยเสียงแหบแห้งเหมือนเดิมว่า “ช่วยด้วย” “มีคนตาย” บนชุดของเขามีรอยเืเป็วงใหญ่ อีกทั้งใบหน้าและร่างกายก็ยังมีรอยแผลมากมาย มองจากที่ไกลๆ จึงเห็นว่ารอยแผลพวกนี้ราบเรียบมาก น่าจะถูกอาวุธเช่นกระบี่ที่ค่อนข้างแหลมคมมา
ความเงียบในสนามประลองดำเนินไปเพียงครู่เดียว ทุกคนจึงดึงสติกลับมาได้ แล้วก็เริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันในทันที
