เย่เฟิง กงซุนหลิงเอ๋อร์ และฉวนเถี่ยจู้เดินเข้างานประมูลพร้อมกัน ด้านในเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ซึ่งรูปแบบของงานประมูลเป็วงกลม พื้นที่กว้างขวาง บรรจุคนได้หลายพันคน แต่ละคนที่มาล้วนมีกองกำลังใหญ่ ๆ อยู่เื้ั และทางหอการค้าเทียนจี๋ก็จำกัดคุณสมบัติในการเข้าร่วมงานประมูล
ดังนั้นคนระดับล่างจึงไม่สามารถเข้าร่วมได้ ทำได้เพียงมองดูประตูทางเข้าอยู่ไกล ๆ เพราะว่าคนเหล่านี้้าเห็นสมบัติสามชิ้นนั้น แม้ไม่ได้เข้าร่วม แต่ก็ไม่ได้จากไปไหนไกล
แน่นอนว่าพวกเย่เฟิงเข้าสู่งานประมูลได้อย่างราบรื่นโดยไร้ซึ่งอุปสรรคใด ๆ
“พี่ฉวนมาแล้ว ผู้แซ่หวงขออภัยที่ต้อนรับไม่ทั่วถึง”
พวกเย่เฟิงเพิ่งเข้างานประมูลก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากฝั่งที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ จากนั้นฉวนเถี่ยจู้หันไปมอง ก่อนจะเห็นบุตรเ้าเมืองลอยฟ้าผู้มีนามว่าหวงเหยียนิ หนึ่งในสี่อัจฉริยะบุรุษ ในฐานะที่เป็เ้าภาพ เขาย่อมทักทายแขกผู้มีเกียรติทุกคน และฉวนเถี่ยจู้เป็ถึงศิษย์ของผู้าุโสำนักชิงอวิ๋น เขาก็ย่อมเห็นฉวนเถี่ยจู้เป็แขกผู้มีเกียรติ
ฉวนเถี่ยจู้ยังไม่ทันกล่าวตอบ จู่ ๆ หวงเหยียนิก็พูดต่อไปว่า “พี่ฉวนคือแขกผู้มีเกียรติ แต่ที่นั่งแขกผู้มีเกียรติมีไม่มากพอ เพราะฉะนั้นสหายของท่านอาจจะนั่งด้วยไม่ได้”
ถ้อยคำของหวงเหยียนิดูสุภาพ ซึ่งที่นั่งแขกผู้มีเกียรติคือสิ่งที่ทางหอการค้าเทียนจี๋เตรียมไว้สำหรับผู้มีฐานะสูงส่ง ฉวนเถียจู้จึงมีสิทธิ์นี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์จะมีสิทธิ์นี้ ดังนั้นหวงเหยียนิจึงกำชับเช่นนั้นกับฉวนเถี่ยจู้
“พี่หวงหวังดี ผู้แซ่ฉวนจะขอรับน้ำใจไว้ ในเมื่อนั่งกับสหายข้าไม่ได้ เช่นนั้นผู้แซ่ฉวนกับสหายข้าขอนั่งที่ธรรมดาก็พอแล้ว” ฉวนเถี่ยจู้กล่าวกับหวงเหยียนิด้วยรอยยิ้ม ในความคิดเขานั้นไม่ว่าจะนั่งตรงไหนก็เหมือน ๆ กันหมด อีกอย่างที่นั่งแขกผู้มีเกียรติก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัด
เมื่อหวงเหยียนิได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองไปที่เย่เฟิงแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะละสายตาไป ไม่รู้ว่าฉวนเถี่ยจู้ไปหาสหายเช่นนี้มาจากที่ใดกัน
“พี่ฉวน เ้านั่งที่แขกผู้มีเกียรติเถอะ ข้ากับหลิงเอ๋อร์จะหาที่นั่งเอง” จู่ ๆ เย่เฟิงโพล่งออกมา เขานั้นไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่เวลานี้ฉวนเถี่ยจู้มีฐานะไม่ธรรมดา เย่เฟิงไม่้าให้ฉวนเถี่ยจู้หักหน้าหวงเหยียนิ
“ก็ได้ หากเ้า้าความช่วยเหลือก็มาหาข้าได้ทุกเวลา” ฉวนเถี่ยจู้เห็นเย่เฟิงจริงจังก็พยักหน้าตอบกลับ ก่อนจะเดินไปยังที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ
“หลิงเอ๋อร์ พวกเราก็หาที่นั่งกันเถอะ!” เย่เฟิงกล่าวกับกงซุนหลิงเอ๋อร์ จากนั้นทั้งสองคนตามหาที่นั่ง แต่พวกเขาเพิ่งหาที่นั่งเจอและจะนั่งลง จู่ ๆ มีเสียงเ็าดังขึ้นที่ด้านหลัง “ข้าเห็นที่ตรงนี้ก่อน หลบไปซะ!”
เย่เฟิงขมวดคิ้ว ไม่ว่าเขาไปที่ใดก็มักจะเจอคนมารบกวนอยู่เสมอ บนโลกใบนี้ก็เป็เช่นนี้แล เมื่อไร้กำลังอันแกร่งกล้าสนับสนุน ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ต้องเจอผู้อื่นรังแกอยู่ร่ำไป
จากนั้นเย่เฟิงจึงหันไปมอง ก่อนจะเห็นคนรุ่นเยาว์สองคนปรากฏตัวที่ด้านหลัง และกำลังมองเขาด้วยสีหน้าเยาะเย้ย ซึ่งสองคนนี้คือคนรุ่นเยาว์อายุประมาณ 21-22 ปี อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 แต่ที่สำคัญคือทั้งสองคนมาจากอาณาจักรเว่ย เป็ผู้มีฝีมือจากวังหลวงที่มาพร้อมกับองค์รัชทายาทเว่ยเจิ้นเทียนแห่งอาณาจักรเว่ย สองคนนี้คือซิวเหวินและกงเชา
ซึ่งกงซุนหลิงเอ๋อร์นั้นปกปิดตบะของตนเอง จึงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าตบะแท้จริงของนางอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 ส่วนเย่เฟิงอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ย่อมไม่มีทางดึงดูดความสนใจจากสองคนนี้
“ข้าเห็นที่นั่งตรงนี้ก่อน แล้วจะใช่ที่นั่งของพวกเ้าได้อย่างไรกัน?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นขณะมองซิวเหวินและกงเชา
“สวะขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 กล้าดียังไงมาเหิมเกริมต่อหน้าข้าสองคน ข้าจะให้โอกาสเ้า ไสหัวไปซะ!”
ถ้อยคำของเย่เฟิงทำให้ซิวเหวินแค่นเสียงหัวเราะอย่างเ็า พร้อมเผยสีหน้าเยาะเย้ย พวกเขาคือลูกน้องขององค์รัชทายาท มีไม่กี่คนในวังหลวงที่กล้าล่วงเกินพวกเขา บัดนี้พวกเขาติดตามองค์รัชทายาทมาเข้าร่วมงานประมูลที่เมืองลอยฟ้า แต่ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าล่วงเกินเช่นนี้ ส่วนคนที่ล่วงเกินกลับเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2
“ถ้าข้าบอกว่าไม่ล่ะ?” เย่เฟิงกล่าวพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย เขารู้ว่าอีกฝ่ายคือชาวอาณาจักรเว่ย ซ้ำยังเป็ฝ่ายยั่วยุเขาก่อน เช่นนั้นเขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องเกรงใจ
“แกว่งเท้าหาเสี้ยน!”
กงเชาเห็นเย่เฟิงแกว่งเท้าหาเสี้ยนก็เกิดโมโหขึ้นมา จึงเหวี่ยงหมัดอัดกระแทกที่อกของเย่เฟิง แต่ขณะเดียวกันผู้คนเริ่มสังเกตเห็นการทะเลาะวิวาททางด้านนี้ จึงเผยสีหน้าสนใจ
“พวกรนหาที่ตาย ไม่นึกว่าจะกล้าล่วงเกินคนขององค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเว่ย สมควรตายจริง ๆ !”
เฉิงซงที่นั่งอยู่นั้นเห็นเย่เฟิงมีเื่กับผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเว่ยสองคน เขาก็อดเหยียดยิ้มอย่างเ็าไม่ได้ และ้าให้ซิวเหวินกับกงเชาจัดการเย่เฟิง
“น่าสนใจ!”
ฝั่งที่นั่งของแขกผู้มีเกียรติ องค์ชายเหลียงปู้ผั่วจากอาณาจักรเหลียงเผยรอยยิ้มสนใจ เขาเหลือบมองไปที่เว่ยเจิ้นเทียนที่อยู่ข้าง ๆ “พี่เว่ย ดูเหมือนจะมีคนกำลังทะเลาะกับผู้ฝึกยุทธ์ของท่านอยู่”
“สวะขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 รนหาที่ตายชัด ๆ” เว่ยเจิ้นเทียนมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือก ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น
ลูกน้องของเขาคือยอดฝีมือของวังหลวงอาณาจักรเว่ย มีศักยภาพไม่ธรรมดา พลังต่อสู้ยังเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 แล้วผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 จะทัดเทียมได้อย่างไร?
“พี่เว่ยไยกล่าวเช่นนี้เล่า ชายขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ผู้นั้นคือสหายของพี่ฉวน เมื่อครู่พี่ฉวนถึงกับปฏิเสธคำเชิญข้าที่จะนั่งในที่ของแขกผู้มีเกียรติเพื่อคนผู้นี้ เห็นชัดว่าสถานะของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา” หวงเหยียนิกล่าวพลางยิ้ม ด้วยถ้อยคำแฝงความหมายลึกซึ้ง
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ก่อนที่พี่ฉวนจะเข้าสำนักชิงอวิ๋น เขาก็มาจากอาณาจักรจ้าว จึงตัดสินใจเช่นนี้ ส่วนชายขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ผู้นั้นก็อาจจะเป็ชาวอาณาจักรจ้าว แต่อยากจะเทียบฝีมือกับผู้ฝึกยุทธ์วังหลวงของอาณาจักรเว่ยข้า ช่างรนหาที่ตายชัด ๆ”
คำพูดของหวงเหยียนิไม่ได้ทำให้เว่ยเจิ้นเทียนเปลี่ยนจุดยืนแต่อย่างใด เขายังคงมั่นใจว่าเย่เฟิงจะต้องถูกลูกน้องของเขากำราบ
“พี่ฉวน ท่านคิดอย่างไร?” จู่ ๆ เว่ยเจิ้นเทียนหันไปเอ่ยถามฉวนเถี่ยจู้ที่อยู่ข้าง ๆ
“ไม่ว่าอีกฝ่ายมาจากที่ใด แต่จะสามารถเอาชนะลูกน้องของพี่เว่ยได้แน่นอน” ดวงตาของฉวนเถี่ยจู้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เขาเป็คนตรงไปตรงมา จึงกล่าวออกมาเช่นนั้น
แม้เขาไม่ได้เจอเย่เฟิงมาหลายเดือน แต่ด้วยศักยภาพของเย่เฟิง ฉวนเถี่ยจู้ยังคงมั่นใจว่าเย่เฟิงจะเอาชนะซิวเหวินและกงเชาได้อย่างแน่นอน
“พี่ฉวนมั่นใจเพียงนี้ ผู้แซ่เว่ยก็อยากดูว่าคนผู้นี้จะเอาชนะคนของอาณาจักรเว่ยข้าได้อย่างไร” เว่ยเจิ้นเทียนตาเผยประกายคมกริบ เขาเป็ถึงองค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเว่ย เขาก็ย่อมไม่เห็นฉวนเถี่ยจู้อยู่ในสายตา ถึงอย่างไรก็เป็เพียงคนรุ่นเยาว์ที่มีฝีมือเท่านั้น จึงไม่คุ้มที่จะให้เขาสนใจ หากไม่มีสำนักชิงอวิ๋นอยู่เื้ั เขาเว่ยเจิ้นเทียนจะเกรงใจฉวนเถี่ยจู้ไปไย หรือกระทั่งไม่ปรายตามองแม้แต่นิดเดียว
“อ้าก!”
ทว่าสิ้นเสียงของเว่ยเจิ้นเทียนก็ได้มีเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านล่าง เหล่าผู้คน รวมถึงเว่ยเจิ้นเทียน ฉวนเถี่ยจู้ และคนอื่น ๆ จึงหันไปมองทางด้านนั้น ก่อนจะเห็นกงเชานอนกองกับพื้นด้วยสภาพน่าเวทนา มือข้างหนึ่งกุมแขนอีกข้างด้วยท่าทีเ็ป
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ต่างก็ตกตะลึง กงเชาคือยอดฝีมือของวังหลวงแห่งอาณาจักรเว่ย มีพลังแกร่งกล้า เขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 และเป็ฝ่ายลงมือกับชายขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน ทว่าเขากลับถูกอีกฝ่ายซัดกระเด็นด้วยการโจมตีเดียว กระดูกแขนข้างนั้นก็ไม่รู้ว่าแตกหักไปกี่จุด ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
“บัดซบ ไม่คิดว่าจะมีฝีมือขนาดนี้”
เฉินซงเห็นเย่เฟิงซัดกงเชาที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ในการโจมตีเดียวก็เผยสีหน้าดูไม่ค่อยดี ความหวังที่เขาจะได้เห็นเย่เฟิงเป็ตัวตลกพังทลายลงแล้ว แม้แต่จิ้งหยาก็ใ ด้วยพลังของนางก็ยังมองพลังของเย่เฟิงไม่ออก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้พิสูจน์แล้วว่าพลังของนางจิ้งหยาสู้เย่เฟิงไม่ได้ แน่นอนว่าจิ้งหยาไม่สามารถยอมรับในจุดนี้ได้
ฝั่งที่นั่งของแขกผู้มีเกียรติ เมื่อสี่อัจฉริยะบุรุษเห็นกงเชาถูกซัดกระเด็นจนหมดสภาพต่างก็ตาเบิกกว้างด้วยความใ พวกเขาไม่นึกว่าเย่เฟิงจะมีฝีมือเพียงนี้ เว่ยเจิ้นเทียนเผยสีหน้าอึมครึม ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเว่ยพ่ายแพ้เช่นนี้ ทำเขาขายหน้าเป็อย่างมาก
“เศษสวะ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ก็จัดการไม่ได้ ทำข้าอับอายขายหน้าจริง ๆ !” เว่ยเจิ้นเทียนกล่าวเสียงเย็น พร้อมกำหมัดแน่น จนมีเสียงกร๊อบดังออกมา
“ข้าคิดว่าเขาจะทนได้นานกว่านี้ แต่ดูท่าข้าคงประเมินเขาสูงไป” ฉวนเถี่ยจู้กล่าวพลางยิ้มด้วยรอยยิ้มใสซื่อ แต่เมื่ออยู่ในสายตาของเว่ยเจิ้นเทียนกลับเป็รอยยิ้มดูถูก ท่าทีไร้เดียงสาของฉวนเถี่ยจู้ทำให้ไฟโทสะที่สุมอยู่ในอกของเว่ยเจิ้นเทียนเกือบะเิออกมา มิหนำซ้ำเว่ยเจิ้นเทียนไม่เข้าใจว่าท่าทีไร้เดียงสาเช่นนี้เป็การเสแสร้งหรือเป็ธรรมชาติของคนผู้นี้กันแน่
“ซิวเหวิน ใช้วิธีที่แกร่งที่สุดจัดการคนผู้นี้ซะ!” เว่ยเจิ้นเทียนเผยสีหน้าดูไม่ได้ขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือก เขา้าให้ซิวเหวินกู้หน้ากลับคืนมา
“ขอรับ องค์รัชทายาท!” ซิวเหวินตาเผยประกายเย็นเยียบ เขาคิดว่าเย่เฟิงใช้วิธีต่ำทรามในการเอาชนะกงเชา แต่ว่าพลังของเขาเหนือกว่ากงเชา เขาจึงมั่นใจว่าจะเอาชนะเย่เฟิงได้อย่างแน่นอน
“เ้าจะคุกเข่าขอโทษ หรือจะให้ข้าลงมือเอง เลือกซะ” ซิวเหวินกล่าวขณะมองเย่เฟิง เื่นี้ทำให้องค์รัชทายาททรงกริ้ว ดังนั้นเขาจะต้องเอาชนะเย่เฟิงเพื่อกู้หน้ากลับคืนมาให้ได้
“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดชาวอาณาจักรเว่ยถึงชอบพล่ามไร้สาระ?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นโดยไม่สนใจคำพูดของซิวเหวิน
“หาที่ตาย!”
เย่เฟิงกล่าวเช่นนี้ นั่นหมายความว่าไม่ยินยอมคุกเข่าขอโทษ ดังนั้นซิวเหวินจึงไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ จากนั้นเห็นซินเหวินก้าวออกมา พร้อมกับวาดฝ่ามือจู่โจมเย่เฟิง ซึ่งฝ่ามือนี้อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งอำนาจ เขานั้นอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 และมีพลังแห่งอำนาจขั้นกายา่ปลาย จึงทำให้เขาหยิ่งยโสโอหัง
“พลังแห่งอำนาจขั้นกายา่ปลาย พลังของซิวเหวินไม่ใช่สิ่งที่กงเชาจะทัดเทียมตามคาด ชายผู้นี้จบสิ้นแล้วเป็แน่!”
ผู้คนเห็นซิวเหวินใช้ฝ่ามือโจมตีที่ผสานด้วยพลังแห่งอำนาจขั้นกายา่ปลายต่างก็ตกตะลึง ต้องทราบก่อนว่าคนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ยังไม่เคยััธรณีประตูของพลังแห่งอำนาจ พวกเขาจึงอิจฉาที่ซิวเหวินมีพลังแห่งอำนาจขั้นกายา่ปลาย และยังคิดว่าเย่เฟิงรับมือกับการโจมตีนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน
“ลูกน้องของพี่เว่ยมีพลังแห่งอำนาจขั้นกายา่ปลาย ข้านับถือยิ่งนัก” เหลียงปู้ผั่วกล่าวพลางยิ้ม เพราะอาณาจักรเหลียงของเขาไม่ได้โชคดีถึงเพียงนี้
“พี่เหลียงชมเกินไปแล้ว ก็แค่พลังแห่งอำนาจขั้นกายา่ปลายเท่านั้น” เว่ยเจิ้นเทียนกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย แต่ในดวงตาฉายแววได้ใจ ราวกับว่าการโจมตีนี้ของซิวเหวินจะสามารถเอาชนะเย่เฟิงได้
ทว่าเย่เฟิงนิ่งไม่ไหวติงแม้เผชิญหน้ากับพลังแห่งอำนาจขั้นกายา่ปลาย เขายังคงเฉยเมยและสงบนิ่งเช่นเดิม
