เพื่อมิให้เป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น หนีเจียเอ๋อร์จึงไม่คิดจะบุกไปยังตำหนักของเจินกุ้ยเฟยในยามนี้ แต่เลือกที่จะมุ่งหน้าไปที่ตำหนักบูรพา เพื่อแจ้งเื่นี้ให้หนีเจียเฮ่อทราบ
ด้านหนีเจียเฮ่อ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มครุ่นคิด ด้วยเวลาที่นางกำนัลหลี่ซิ่วตาย กับ่ที่องค์รัชทายาทถูกวางยา บังเอิญเกิดขึ้นใกล้ๆ กันพอดี ดังนั้นเขาจึงไปตรวจสอบห้องที่เกิดเหตุการณ์ขโมยถ้วยชาพร้อมน้องสาว
ซึ่งตอนนี้ ถ้วยชาที่ถูกขโมยไป ก็ได้ถูกนำมาวางปะปนกับถ้วยใบอื่นๆ บนโต๊ะ
หนีเจียเอ๋อร์แตะนิ้วที่ปลายคางตัวเอง พลางพิจารณาโต๊ะชาตรงหน้าด้วยความกังขา
หนีเจียเฮ่อจึงถามขึ้นทันที “เสี่ยวเอ๋อร์ เ้ากำลังดูอะไรอยู่หรือ?”
แต่หญิงสาวมิได้ตอบ เพียงเดินเข้าไปใกล้ ก่อนคุกเข่าลง และสุ่มหยิบถ้วยหยกสีขาวที่มีลวดลายสวยงามมาใบหนึ่ง ก่อนเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ว่าจะเป็ถ้วยไหน ก็ล้วนมีราคามากกว่าถ้วยชาที่ถูกขโมยไปทั้งสิ้น ท่านพี่คิดว่าหลี่ซิ่วจะรู้เื่นี้หรือไม่?”
“แน่นอนว่านางกำนัลในราชสำนักย่อมต้องรู้ เพราะหากเผลอไปทำสิ่งของล้ำค่าของเ้านายเสียหาย ก็ยากที่ชีวิตนี้จะชดใช้ได้หมด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องระมัดระวังกันอย่างถึงที่สุด แล้วหลี่ซิ่วจะไม่รู้ได้หรือ ว่าถ้วยหยกขาวนั้น มีค่ามากกว่าถ้วยชาที่ถูกขโมย?” หนีเจียเฮ่อเดินเข้ามา แต่เพราะไม่ทันระวัง จึงทำให้ข้อศอกของเขาไปชนเข้ากับตะเกียบคู่หนึ่งจนตกลงพื้น
หนีเจียเอ๋อร์เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา และขณะที่ถือตะเกียบไว้ในมือ นางก็สังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ท่านพี่ ตะเกียบเงินคู่นี้ ดูจะเบากว่าตะเกียบเงินที่ข้าใช้เสียอีก”
ได้ยินเช่นนั้น หนีเจียเฮ่อก็คว้ามันมาลองชั่งน้ำหนักในมือ “จริงด้วย เบากว่าตะเกียบที่พวกเราใช้”
หนีเจียเอ๋อร์หยิบตะเกียบข้างหนึ่งขึ้นมา ก่อนเดินไปที่หน้าต่าง เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง พบว่าลวดลายบนตะเกียบนี้ช่างประณีตนัก จนไม่อาจพบได้ในตะเกียบทั่วๆ ไป
ใครทำตะเกียบคู่นี้ขึ้นมา?
งานประณีตเช่นนี้ จะเป็ฝีมือของคนทำตะเกียบธรรมดาๆ ได้หรือ?
แปลกยิ่งนัก!
“ท่านพี่ นำตะเกียบพวกนี้ไปที่ร้านขายเครื่องประดับของโจวชิงหวา เราจะทำการตรวจสอบอย่างถ้วนถี่อีกครั้ง”
“เข้าใจแล้ว!” หนีเจียเฮ่อหยิบตะเกียบมาจากมือของหนีเจียเอ๋อร์ ก่อนใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อรวมกับตะเกียบคู่อื่นๆ อย่างระมัดระวัง
...
บัดนี้ ประตูร้านขายเครื่องประดับของโจวชิงหวาถูกทหารหลวงปิดตาย ทั้งรอบๆ พื้นที่ยังมีทหารเฝ้าอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบห้าคน หนีเจียเฮ่อและหนีเจียเอ๋อร์จึงจำต้องลอบเข้าไปทางด้านหลัง ซึ่งมีเวรยามอ่อนแอที่สุด แล้วค่อยเข้าไปด้านใน เพื่อให้ช่างทำเครื่องประดับของโจวชิงหวาช่วยตัดตะเกียบที่พวกเขานำออกมาจากวังบูรพา
เมื่อผ่าดู ก็เป็ไปตามที่พวกเขาคาดเดา... พอตัดไปถึงกึ่งหนึ่งของตะเกียบ ก็พบว่าด้านในเป็โพรงซึ่งบรรจุผงสีน้ำตาลบางอย่างเอาไว้
ช่างทำเครื่องประดับกำลังจะลองััดู แต่กลับถูกหนีเจียเอ๋อร์ห้ามเอาไว้เสียก่อน “อย่าแตะต้อง มันมีพิษ!”
ได้ยินเช่นนั้น ช่างฝีมือก็สะดุ้งโหยงจนเกือบจะโยนตะเกียบทิ้ง โชคดีที่หนีเจียเฮ่อคว้าเอาไว้ได้เสียก่อน
หนีเจียเอ๋อร์จึงเตือนว่า “ลองตัดอีกอันสิ ระวังมือด้วย!”
ช่างทำเครื่องประดับถึงกับมือสั่น จนสือหวู่ที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ทนดูมิได้ ต้องเข้ามาลงมือด้วยตัวเอง
เมื่อผ่าออกมา ก็เหมือนกับอันก่อนหน้าไม่มีผิด
หนีเจียเอ๋อร์ศึกษาส่วนประกอบของยาพิษเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน ก่อนเอ่ยด้วยความมั่นใจ “นี่แหละคือพิษที่ทำร้ายองค์รัชทายาทของเรา มันคือพิษของดอกจั้งไห่”
พอได้ยินเช่นนั้น สือหวู่ก็ยกยิ้มกว้าง แล้วพูดด้วยความตื่นเต้น “แสดงว่าหากเราสามารถหาตัวเ้าของตะเกียบพบ นายน้อยก็จะพ้นโทษ ใช่หรือไม่ขอรับ?”
หนีเจียเฮ่อจึงกล่าวขึ้นว่า “แต่ตะเกียบลักษณะนี้ ใช่ว่าจะสามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน”
หนีเจียเอ๋อร์พยักหน้า “ถูกต้อง เื่นี้คงมีการลองผิดลองถูก และทดสอบกันหลายครั้งกว่าจะได้ตะเกียบลอบสังหารคู่นี้มา หากสามารถหาตะเกียบคู่อื่นๆ พบ เราก็จะรู้ว่าผู้ที่บงการอยู่เื้ัคือใคร!”
หนีเจียเฮ่อขมวดคิ้วแน่น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้อแท้ “แต่เราก็ไม่อาจเข้าไปค้นตำหนักของเจินกุ้ยเฟยได้โดยพลการกระมัง?”
หนีเจียเอ๋อร์เลิกคิ้ว พร้อมยิ้มกว้าง “จะกลัวอะไรเล่า ในเมื่อฝ่าามอบป้ายทองอาญาสิทธิ์ให้ข้าแล้ว เราย่อมสามารถระดมกำลังทหารมาช่วยตรวจค้นได้”
สือหวู่ลอบมองนางด้วยความซาบซึ้ง สตรีผู้นี้คือหญิงสาวที่เ้านายแอบรักมาตลอด ทั้งยอมทำทุกอย่าง ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตก็ตาม โดยไม่ปริปากบ่นสักคำ... สมแล้วที่เป็คนที่นายน้อยทุ่มเทใจให้
หลังจากเก็บตะเกียบเงินแล้ว สือหวู่ก็สั่งให้คนพาพวกเขาออกจากร้านขายเครื่องประดับ และมาส่งที่หน้าพระราชวัง
ทั้งสองตั้งใจจะมุ่งหน้าไปยังตำหนักบูรพาก่อน แต่จู่ๆ หนีเจียเฮ่อก็ถูกคนของราชสำนักเรียกตัวไปอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ หนีเจียเอ๋อร์จึงล่วงหน้าไปก่อน และรอพี่ชายอยู่ที่นั่นอย่างอดทน
แต่แล้ว หญิงสาวก็ไม่อยากรั้งรออีกต่อไป ด้วยเกรงว่าหากศัตรูล่วงรู้ว่านางพบต้นตอของพิษแล้ว แผนการทุกอย่างจะล่มไม่เป็ท่า จึงตัดสินใจใช้ป้ายทองอาญาสิทธิ์ เรียกระดมเหล่าทหารหลวงมาช่วย ก่อนบุกไปยังตำหนักจาวเหอ
หลังจากบุกเข้าไปแล้ว พวกเขาก็ถูกขวางเอาไว้โดยนางกำนัลประจำตำหนัก
ไม่ช้า เจินกุ้ยเฟยก็ปรากฏตัวออกมาด้วยท่วงท่าอันสง่างาม
ใบหน้าที่งดงามถูกแต่งแต้มอย่างบางเบา แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ผู้ที่พบเห็นตะลึงงัน ราวกับต้องมนต์สะกด หนีเจียเอ๋อร์จึงอดมิได้ที่จะชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจ
“หม่อมฉันได้ยินมานานแล้ว ว่าพระสนมของฮ่องเต้กู่หังจิ่น ล้วนงดงามและมีเสน่ห์ลึกล้ำชวนค้นหา พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเองเช่นนี้ ก็เชื่อแล้วว่าที่เล่าลือกันนั้น หาได้เกินจริงแต่อย่างใด”
ได้ยินเช่นนั้น ผู้คนต่างก็ขมวดคิ้วแน่น ที่หนีเจียเอ๋อร์บุกมาในวันนี้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่!
นางหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “ไม่มีคำพูดใด ที่จะสามารถพรรณนาความงามของพระองค์ออกมาได้เลยเพคะ”
แม้จะถูกชื่นชม แต่ดวงตาของเจินกุ้ยเฟยกลับเต็มไปด้วยความเ็า ทั้งชีวิตนางได้ยินคำพูดเหล่านี้มาจนเบื่อแล้ว จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “โอ้! เช่นนั้นหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์ยกยิ้มบางๆ “จริงแท้แน่นอนเพคะ!”
เจินกุ้ยเฟยมองไปยังบรรดาทหารหลวง ที่พากันเข้ามาในตำหนักของตนมากมาย แล้วจึงกล่าว “เ้าคือแม่นางหนี สตรีผู้เก่งกาจอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ซึ่งช่วยรักษาอาการต้องพิษขององค์รัชทายาทจนหายดี สุดท้ายก็ได้รับเลือกให้เป็ผู้รับผิดชอบในการค้นหาตัวผู้ร้าย ที่ลอบวางยาพิษองค์ชายอย่างนั้นสินะ?”
หนีเจียเอ๋อร์โค้งตัวคำนับ “คารวะพระสนม หม่อมฉันมีนามว่าหนีเจียเอ๋อร์เพคะ”
“ตามสบาย” เจินกุ้ยเฟยเอ่ย ก่อนหันหลังเดินกลับเข้าไปในตำหนัก
หนีเจียเอ๋อร์ลุกขึ้น แล้วเดินตามนางเข้าไป “พระสนมเพคะ ที่หม่อมฉันมาในวันนี้ก็เพื่อขอตรวจค้นตำหนัก และสืบหาความจริงตามรับสั่งของฝ่าาเพคะ”
ไม่รอให้เจินกุ้ยเฟยตอบ นางก็หยิบป้ายทองอาญาสิทธิ์ออกมาแสดงตรงหน้าอีกฝ่ายทันที
พอเห็นป้ายทองที่เป็ดั่งตัวแทนฮ่องเต้ เจินกุ้ยเฟยก็รีบโค้งคำนับทันที
ส่วนนางกำนัล ขันที และผู้คนในตำหนักจาวเหอ ต่างพากันรีบคุกเข่า
แม้แต่เหล่าทหารหลวงก็เช่นกัน
ทุกคนล้วนรอรับคำสั่งจากหนีเจียเอ๋อร์...
หญิงสาวพลันพูดขึ้นว่า “ทหารรักษาพระองค์ทุกนายจงฟัง เข้าไปค้นให้ทั่วตำหนัก หากพบสิ่งใดที่คล้ายคลึงกับของชิ้นนี้ ให้แจ้งข้าทันที แล้วข้าจะทูลขอบำเหน็จให้เ้าอย่างงาม แต่หากไม่พบสิ่งใดก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องโทษ ฐานสร้างความลำบากใจให้กับพระสนม เพราะข้าผู้นี้จะเป็คนรับผิดเอง”
ทหารทุกคนน้อมรับคำสั่งทันที
หนีเจียเอ๋อร์จึงสั่งการอีกครั้ง “เริ่มค้นหาได้!”
เหล่าทหาร กระจายกำลังออกไปทำหน้าที่อย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของเจินกุ้ยเฟยเปลี่ยนไปั้แ่ที่เห็นตะเกียบเงินคู่นั้น และพยายามอย่างยิ่งที่ที่จะเก็บอาการของตนเอาไว้
ส่วนหนีเจียเอ๋อร์ ก็แสร้งทำเป็มองไม่เห็นท่าทีของอีกฝ่าย ทั้งยังเมินสายตาที่กำลังจับจ้องมายังตน แล้วหันไปให้ความสนใจกับเหล่าทหาร ที่กำลังลงมือค้นหาตะเกียบเงินกันอย่างขะมักเขม้น
ยิ่งเวลาล่วงเลย เจินกุ้ยเฟยก็เริ่มสงวนท่าทีไม่อยู่ หันไปส่งสายตาให้บ่าวรับใช้คนสนิท
เมื่อเห็นเช่นนั้น มามาก็เข้าใจได้ทันที จึงลอบเดินออกจากห้องเงียบๆ โดยมิให้ผู้ใดสังเกตเห็น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้