บรรยากาศในบ้านหนักอึ้งเป็อย่างมาก
พวกหม่าเหล่าซานถือกระบองค่อยๆ เดินเข้าไปทางฉินตงหวู่ทีละน้อยๆ
สายตาของเสี่ยวจิ่วซ่อนความอันตรายเอาไว้ เขาค่อยๆ หยิบกริชออกมาจากด้านหลังแล้วเอาทาบไว้ที่อก
เมื่อก่อนเสี่ยวจิ่วเคยได้ยินบิดากล่าวว่า ในทะเลล่วนซิงไม่มีคนดี ตอนนั้นเขาอายุยังน้อยจึงมิได้เข้าใจมากนัก จนกระทั่งตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า คำพูดของบิดามิผิดแม้แต่น้อย กลุ่มคนด้านหน้าล้วนเป็พวกสัตว์เดรัจฉานไม่รู้จักบุญคุณคน! สมควรตาย!
“ผู้ใดกล้าเข้ามา อย่าโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความหลัง!”
ฉินตงหวู่ถือลูกปัดสีดำเอาไว้ในมือ นางเผยสายตาเด็ดเดี่ยว
พวกหม่าเหล่าซานหน้าถอดสี รีบถอยออกโดยไม่รู้ตัว
มันคือะเิเพลิงอัสนี พวกเขาเคยเห็นบนเรือมาก่อน ะเิเพลิงอัสนีลูกหนึ่งสามารถะเิสัตว์ประหลาดทะเลระดับสองจนร่างแหลกเป็จุณ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาคนธรรมดาที่ไม่มีพลังิญญา
“ไอ้...แม่นางฉิน เ้าอย่าทำอะไรบ้าๆ!”
หม่าเหล่าซานรู้สึกหวาดกลัวจึงแกล้งข่มขู่ว่า “ะเิเพลิงอัสนีมีพลังทำลายมหาศาล ถ้าไม่ระวังอาจจะทำร้ายตัวเองได้ ไยเ้าต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเพื่อขยะคนหนึ่งด้วย!”
ฉินตงหวู่ไม่ขยับเขยื้อน “เ้าคิดว่าทุกคนจะเป็พวกลืมบุญคุณคนอย่างเ้าหรือ?”
มนุษย์ต้องมีหน้ามีตา ต้นไม้ต้องมีเปลือกมีใบ
เมื่อถูกฉินตงหวู่ถากถางครั้งแล้วครั้งแล้ว หม่าเหล่าซานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “คนน่ารังเกียจ! นางแพศยา พวกเรามีคนมากมายขนาดนี้ คิดว่าพวกเรากลัวเ้าหรือ...ดูสิว่าะเิเพลิงอัสนีลูกหนึ่งของเ้าจะะเิคนได้มากน้อยเพียงใด!”
“เ้าก็ลองเข้ามาสิ!”
ฉินตงหวู่กำลังจะลงมือ แต่ประตูด้านหลังกลับเปิดออก
ในเวลานี้ชายหนุ่มนั่งเก้าอี้รถเข็นที่ทำจากไม้ถูกเข็นออกมา ด้านหลังยังมีเด็กสาวอายุประมาณสามขวบอีกคนหนึ่ง ท่าทางเงอะงะทำให้ดูน่ารักเป็พิเศษ
“พี่หญิงฉิน เก็บะเิเพลิงอัสนีไปเถอะ ไม่จำเป็ต้องทำเช่นนี้”
“นายน้อยหรือ? ท่านไม่ค่อยสบาย เหตุใดถึงออกมาเล่า?”
“ถูกเสียงพวกเ้าปลุก จึงออกมาสูดอากาศด้วย”
……
ชายหนุ่มชุดขาวถือตำรา ท่าทางเหมือนบัณฑิตสง่างาม ผ้าคาดผมสีเขียวยาวประบ่า ให้ความรู้สึกสง่างามอย่างอธิบายไม่ถูก โดยเฉพาะผมสีขาวของเขา ทำให้รู้สึกโตเป็ผู้ใหญ่มากประสบการณ์
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ ชายหนุ่มเหมือนกำลังาเ็สาหัส เขานั่งอยู่บนรถเข็นนิ่งๆ ด้วยใบหน้าซีดขาว หน้าตาดูเหนื่อยล้าอิดโรย
ชายหนุ่มชุดขาวมิใช่ใครอื่น เขาก็คือคนที่ก่อเื่บนท่าเรือหลงหยาและเดินทางเข้ามาในทะเลล่วนซิง จั๋วอวิ๋นเซียน
วันเวลาผ่านไปอย่างไร้เยื้อไย พริบตาเดียวสามปีผ่านไปแล้ว
ปัจจุบันจั๋วอวิ๋นเซียนก็มีอายุสิบหกปีแล้ว ไม่เพียงเติบโตขึ้น บรรยากาศรอบกายยังดูสูงส่งไม่ธรรมดา
น่าเสียดายหลังจากการต่อสู้เมื่อสามปีก่อน เขาได้รับาเ็สาหัส ไม่เพียงทำลายพลังต้นกำเนิดในร่างกายของเขา ยังทำร้ายิญญาของเขาด้วย...โดยเฉพาะิญญาอัสนีที่เวียนว่ายอยู่ในทะเลจิตสำนึก ทำให้ร่างกายของเขาได้รับภาระอย่างหนัก จนเขาต้องใช้รถเข็น
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็เพียงเื่ชั่วคราวเท่านั้น จั๋วอวิ๋นเซียนหาวิธีแก้ไขปัญหาได้แล้ว ไม่นานก็จะฟื้นฟูพลังกลับมาและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
……
“ท่านแม่! ข้าหิวแล้ว!”
เด็กสาวไม่สังเกตเห็นความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย นางเดินงุ่มง่ามไปเรียกมารดา จากนั้นพุ่งเข้ากอดพี่เสี่ยวจิ่ว
“เสี่ยว...เสี่ยวเนี่ยน...”
เดิมทีเสี่ยวจิ่วเผยจิตสังหารออกมาแล้ว แต่พอถูกเด็กสาวเข้าโอบกอดก็ราวกับเป็ลูกโป่งถูกปล่อยลม เขายืนแข็งทื่ออยู่กลับที่เพราะกลัวว่าจะไปทำร้ายอีกฝ่าย
ฉินตงหวู่ขยี้ผมของเด็กสาวอย่างไม่สบอารมณ์และกล่าวสั่งสอนเล็กน้อย “เ้าลูกบ้า ไปรบกวนนายน้อยมาใช่หรือไม่?”
“ไม่เลยเ้าค่ะ”
เด็กสาวอายุสามปีจะรู้เื่อะไรได้ เมื่อเห็นท่าทางโมโหของมารดา นางก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธแล้วทำตัวว่านอนสอนง่ายทันที
เมื่อเห็นภาพครอบครัวอบอุ่นเช่นนี้ผู้คนไม่น้อยล้วนเงียบกริบ
ในทะเลล่วนซิงการเอาชีวิตรอดถึงจะเป็เื่ที่สำคัญที่สุด ส่วนเื่อย่างมิตรภาพความรักนั้นไม่เหมาะสมกับที่นี่ และผู้คนมากมายเมื่ออยู่ที่นี่นานวันเข้าก็จะค่อยๆ รู้สึกด้านชา
……
“พอได้แล้ว! พวกเ้าเลิกทำตัวเหลวไหลได้แล้ว!”
หม่าเหล่าซานทนดูต่อไปไม่ไหว เขาะโข่มขู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
“นายน้อย พวกเขา...”
ฉินตงหวู่กำลังจะอธิบาย จั๋วอวิ๋นเซียนยกมือห้าม จากนั้นหันไปกล่าวกับพวกหม่าเหล่าซาน “ข้าจำพวกเขาได้...ที่จริงพวกเขาพูดถูกแล้ว ตอนนั้นสัตว์ประหลาดจู่โจมเรือ ข้าอยู่ด้านข้างพอดี การช่วยพวกเขาเป็แค่เื่เล็กน้อยเท่านั้น ในเมื่อพวกเขาไม่ยอมรับบุญคุณนี้ จะให้ข้ายัดเยียดให้หรือ?”
“แต่...”
ฉินตงหวู่ยังคิดจะกล่าวต่อ ทว่าจั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ทำให้พวกเ้าลำบากจริงๆ ถึงเวลาที่ข้าต้องจากไปแล้ว...ที่นี่ยกให้พวกเขาแล้วกัน พวกเราไปอยู่ในเมืองกันดีกว่า”
“แล้วร่างกายของท่านเล่า?”
“ยังไม่เป็ไร”
เมื่อเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนตัดสินใจแล้ว ฉินตงหวู่พยักหน้า จากนั้นพาบุตรสาวกลับไปที่ห้องเพื่อเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็
……
“ตอนนี้พวกเ้าพอใจหรือไม่?”
จั๋วอวิ๋นเซียนหันไปถามพวกหม่าเหล่าซาน แต่พวกเขาไม่กล้าตอบตรงๆ ในใจกลับรู้สึกหนาวสั่น
ท้ายที่สุดเสี่ยวจิ่วก็เข็นจั๋วอวิ๋นเซียนจากไป ฉินตงหวู่อุ้มบุตรสาวตามติดอยู่ด้านหลัง
……
“พี่หม่า ปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้ดีแล้วหรือ?”
“ใช่แล้วพี่หม่า!”
“เหอะ! แล้วพวกเ้าจะให้ทำอย่างไร?”
หม่าเหล่าซานถลึงตามองอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าไม่ปล่อยแล้วจะทำอะไร? เ้าไม่เห็นหรือว่าในมือของนางแพศยามีะเิเพลิงอัสนี! ถ้าอยากตายนักก็ไปเอง! แล้วก็...”
หม่าเหล่าซานนึกอะไรขึ้นได้จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเปลี่ยนไป “พวกเ้าว่า เ้าเด็กนั่นแกล้งทำเป็ป่วยหนักหรือไม่? ไม่เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงใจเย็นเพียงนี้?”
ทุกคนในที่นี้ต่างไม่เคยเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนลงมือมาก่อนจึงมิได้รู้สึกหวาดกลัว แต่พวกหม่าเหล่าซานเคยเห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของจั๋วอวิ๋นเซียนบนเรือมาก่อน มิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่รอถึงสามปีแล้วค่อยมาหาเื่อีกฝ่ายหรอก
เพียงแต่ทำสำเร็จอย่างง่ายดายเช่นนี้ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกๆ
……
ด้านนอกชุมชนฝานเหริน พวกจั๋วอวิ๋นเซียนค่อยๆ เดินออกไปเงียบๆ โดยไม่มีใครสังเกต
“พี่ใหญ่จั๋ว ทำไมเมื่อครู่ถึงไม่ฆ่าพวกเขาเสีย?”
เสี่ยวจิ่วเงียบไปเนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเอ่ยปากออกมา เขาไม่เคยสงสัยในพลังของจั๋วอวิ๋นเซียน ต่อให้อีกฝ่ายดูเหมือนอ่อนแอ แต่จัดการกับพวกหม่าเหล่าซานพลังแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
จั๋วอวิ๋นเซียนประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ตอบแต่ถามกลับ “เสี่ยวจิ่ว ถ้าเ้ารู้สึกว่ามือสกปรกเ้าจะทำอย่างไร?”
“ล้างมือสิ”
เสี่ยวจิ่วตอบอย่างรวดเร็วและเรียบง่าย
จั๋วอวิ๋นเซียนส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “มือสกปรกเ้าสามารถล้างเองได้ แต่ถ้าจิตใจสกปรกยากจะล้างให้สะอาดได้ บางครั้งมือไม่สกปรก ก็มิได้แปลว่าตัวเองจะสะอาด”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ต่อไปเดี๋ยวเ้าจะเข้าใจเอง...” จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ที่จริงแล้ว การฆ่าคนมิใช่เื่ที่ดีนัก”
เสี่ยวจิ่วก้มหน้าเงียบอีกครั้ง
ฉินตงหวู่ครุ่นคิด เริ่มจะคาดเดาความคิดของจั๋วอวิ๋นเซียนได้บ้างแล้ว
การต่อสู้บนท่าเรือเมื่อสามปีก่อน จนถึงวันนี้นางยังจดจำได้เหมือนเกิดขึ้นเมื่อวาน ทุกครั้งที่นึกถึงร่างราวกับเซียนและปีศาจของจั๋วอวิ๋นเซียน จิตใจก็รู้สึกหนาวสั่นโดยไม่รู้ตัว
ความจริงแล้วหลังจากรู้จักกันมาสามปี ฉินตงหวู่ก็เข้าใจจั๋วอวิ๋นเซียนมากขึ้น
ชายหนุ่มตรงหน้าอาจจะสังหารคนราวกับผักปลา บางครั้งราวกับเทพเซียน บางครั้งราวกับปีศาจ แต่เขาจริงใจกว่าผู้คนมากมายและพยายามใช้ชีวิตมากกว่าผู้คนมากมาย
ดังนั้นฉินตงหวู่มั่นใจว่า สาเหตุที่จั๋วอวิ๋นเซียนไม่อยากให้เสี่ยวจิ่วฆ่าคน มิใช่เพราะกลัวเื่ยุ่งยาก แต่เขาไม่อยากให้เสี่ยวจิ่วแบกรับความผิดมากเกินไป หากกระทำเช่นนี้เส้นทางการบำเพ็ญในอนาคตของเสี่ยวจิ่วถึงจะเดินไปได้ไกลยิ่งขึ้น
แต่น่าเสียดายที่เสี่ยวจิ่วอายุยังน้อย มีประสบการณ์ไม่มาก เงามืดในใจทำให้เขามีนิสัยดื้อรั้น ทำให้เขาไม่เข้าใจความลำบากใจของจั๋วอวิ๋นเซียน
แต่ไม่เป็ไร พวกเขายังมีเวลาอีกมาก ยังมีเวลาไปเปลี่ยนแปลง...อนาคต เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง
เมื่อคิดได้เพียงเท่านี้ ใบหน้าของฉินตงหวู่ก็เผยรอยยิ้มที่งดงามออกมา
