เมื่อหลัวเลี่ยมองไปยังสิ่งของที่พวกเขาทั้งสี่นำออกมา หลัวเลี่ยก็หอบหายใจแรงขึ้น
ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่!
คำคำนี้ปรากฏขึ้นในความคิดของหลัวเลี่ย
“ข้าขอตั้งชื่ออีกชื่อหนึ่งให้กลุ่มของพวกเ้าว่า กลุ่มขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่” หลัวเลี่ยกล่าว
เมื่อซือสิ่งหลงและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็ขบริมฝีปากและหัวเราะออกมา พวกเขาค่อนข้างพอใจกับชื่อนี้
“พี่หลัว หากเ้ามีเวลาว่าง ข้าก็ขอเชิญเ้ามาที่เทือกเขาคันธาระ” ซือสิ่งหลงกล่าว
“ได้เลย” หลัวเลี่ยพยักหน้า
“เช่นนั้นพวกเราไม่รบกวนพี่หลัวแล้ว ผู้ไล่ตามกำลังจะมาในไม่ช้า ดังนั้นพี่หลัวควรรีบเดินทางออกไปโดยเร็ว”
พวกซือสิ่งหลงจากไปแล้ว
พวกเขาขึ้นอินทรีลมอีกครั้ง จากนั้นนักเวททั้งสองคนก็ร่ายเวทเสริมความเร็ว ทำให้อินทรีลมเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น แล้วพวกเขาทั้งสี่ก็มุ่งหน้าสู่เทือกเขาคันธาระ
หลัวเลี่ยมองไปยังแผ่นหลังของทั้งสี่ที่ออกห่างไปไกลจากเขา แล้วพูดแ่เบาออกมาว่า “ขอให้ทั้งสี่ท่านเดินทางปลอดภัย”
หลังจากที่หลัวเลี่ยออกมาจากแคว้นเป่ยสุ่ยจนถึงตอนนี้ นอกจากหลิวจื่ออั๋งแล้ว ทั้งสี่คนนี้ก็เป็คนกลุ่มเดียวที่หลัวเลี่ยสามารถผูกมิตรได้ และทั้งสี่คนก็คุ้มค่าที่จะผูกมิตรด้วย
หลัวเลี่ยปรับอารมณ์ของตัวเองสักพัก จากนั้นเขาก็หันกลับมาแล้วกวักมือให้เยี่ยนอวิ๋นหวู่และเสวี่ยปิงหนิงลงมาจากรถม้าไล่ตามดวงจันทร์
หญิงสาวทั้งสองก็ได้ยินสิ่งที่ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่พูดเช่นกัน
“แผนของเ้าคืออะไร” เสวี่ยปิงหนิงถาม
“คนบางคนท้าทายข้าครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากนี้ยังตั้งใจจะสังหารข้าอีก ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าต้องสู้กลับแล้ว” หลัวเลี่ยกล่าว “ตามคำบอกเล่าของพวกเขาทั้งสี่คน ข้าคิดว่าคนที่จะมาโจมตีข้าในครั้งนี้คงมีไม่น้อย และคงมีบางคนที่มีวรยุทธ์สูงส่ง ดังนั้นครั้งนี้คงต้องรบกวนให้เยี่ยนอวิ๋นหวู่ลงมือแล้ว”
เยี่ยนอวิ๋นหวู่สัญญากับหลัวเลี่ยไว้ว่า นางจะติดตามรับใช้เขาเป็เวลาสามปี
และนางก็ทนกับเื่นี้ไม่ไหวแล้วเช่นกัน
ฉายาปักษาคลั่งของนางมิใช่ว่าได้มาอย่างขาวสะอาด แม้ว่านางจะเป็สาวงามที่ดูอ่อนโยนและอ่อนแอ แต่แท้จริงแล้วนางคือผู้ที่ลงมือโจมตีได้อย่างโเี้
“เ้าจะเอาให้ตายเลยหรือว่าจะยังไว้ชีวิตอยู่” เยี่ยนอวิ๋นหวู่ถูมือของตัวเองอย่างตื่นเต้น
ั์ตาของหลัวเลี่ยมีประกายเยียบเย็นพาดผ่าน “ตาย ทุกคนที่ลงมือในครั้งนี้ ต้องถูกฆ่าทิ้งทั้งหมด!”
“ได้!” เยี่ยนอวิ๋นหวู่แสดงท่าทางกระหายเื
“นอกจากนี้ หลังจากที่เ้าจัดการกับพวกที่ไล่ตามมาทั้งหมดแล้ว ให้เ้ากลับไปที่แคว้นจินหลานอีกครั้ง แล้วไปเด็ดหัวองค์ชายสามและองค์ชายเก้ามาแขวนไว้ที่ประตูเมืองหลวงของแคว้นจินหลานให้ข้าที” หลัวเลี่ยระงับอารมณ์โกรธไม่ไหวอีกต่อไป คนพวกนั้นทำให้เขาหงุดหงิดเสียแล้ว
“เื่นี้ง่ายมาก แต่เ้าไม่กลัวว่าคนจากแคว้นจินหลานจะตามมาแก้แค้นเ้าในภายหลังหรือ” เยี่ยนอวิ๋นหวู่กล่าว
หลัวเลี่ยพูดเสียงดังว่า “ถ้าพวกเราสามารถกำจัดผู้ที่ไล่ตามทั้งหมด และกล้าที่จะสังหารองค์ชายทั้งสอง พวกเขาก็คงจะรู้แล้วว่าข้าไม่ใช่คนที่สมควรจะยุ่งด้วย แล้วก็คงไม่กล้าลงมือทำอะไรข้าอีก นอกจากนี้ข้ายังมีพี่หลิวจื่ออั๋งคอยช่วยเหลือ พวกเขาคงไม่กล้าทำอะไรข้าอีกต่อไป แต่ว่าเื่นี้อาจทำให้แคว้นเป่ยสุ่ยได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นพี่ปิงหนิงและองครักษ์ซู พวกเ้าก็เดินทางไปที่เมืองจินหลานกับเยี่ยนอวิ๋นหวู่ด้วยเถิด แล้วหลังจากที่เยี่ยนอวิ๋นหวู่จัดการทุกคนแล้ว พวกเ้าทั้งหมดก็เดินทางไปที่แคว้นเป่ยสุ่ย เพื่อปกป้องพี่หงเหยียนจากการแก้แค้นของแคว้นจินหลาน”
อันที่จริงเขาก็อยากให้เยี่ยนอวิ๋นหวู่ช่วยหลิวหงเหยียนแก้ปัญหาเื่ชงโหวหู่ แต่เมื่อเขานึกถึงสายสัมพันธ์ลึกลับระหว่างหลิวหงเหยียนและเผ่าั รวมถึงท่าทางของหลิวหงเหยียน เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ยุ่งกับเื่นี้อีก
แม้ว่าเสวี่ยปิงหนิงจะไม่เต็มใจ แต่นางก็ทำตามที่หลัวเลี่ยบอก นอกจากนี้นางก็คิดถึงหลิวหงเหยียนด้วยเช่นกัน เพราะพวกนางเป็เพื่อนที่ดีที่สุดที่เติบโตมาด้วยกัน
นอกจากนี้หลัวเลี่ยยังได้มอบตราราชันข่งเชวี่ยที่ข่งไท่โต้วมอบให้เขา ซึ่งยังเหลืออยู่อีกหนึ่งอันให้กับเสวี่ยปิงหนิง เอาไว้ใช้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
ดังนั้นพวกเขาจึงแยกกันที่ชายแดนของแคว้นจินหลาน
ซูชิวเชิงเป็ผู้บังคับรถม้าไล่ตามดวงจันทร์ ภายในรถม้ามีเยี่ยนอวิ๋นหวู่และเสวี่ยปิงหนิง รวมถึงแพนด้าน้อยปั้นที่อยู่ในแหวนปีศาจด้วย เพราะเยี่ยนอวิ๋นหวู่ยังต้องได้รับการรักษาจากแพนด้าน้อยปั้น พวกเขาทั้งหมดเดินทางย้อนกลับไปทางเดิม
ระหว่างทางพวกเขาได้พบกับหน่วยอินทรีดำทั้งสิบสามคนของชงโหวหู่ นักดาบทั้งเจ็ดจากตระกูลเลี่ย และปรมาจารย์คนอื่นอีกมากมาย
คนเหล่านี้ล้วนมีวรยุทธ์ไม่เลว อีกทั้งในกลุ่มพวกเขายังมีปรมาจารย์ซึ่งมีพลังอยู่ในระดับวังชะตาอีกสองคนที่องค์ชายสามส่งมาอีกด้วย
เยี่ยนอวิ๋นหวู่จัดการรวบรวมพลังและส่งพลังแห่งปักษาคลั่งออกไปด้วยมือเพียงข้างเดียว ผลลัพธ์ที่ได้คือภายในรัศมีสองลี้นี้ นอกจากรถม้าไล่ตามดวงจันทร์แล้ว ทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็ูเา แม่น้ำ ต้นไม้ หรือกลุ่มอินทรีดำทั้งสิบสามคน และปรมาจารย์คนอื่นๆ ต่างก็กลายเป็ฝุ่นผง
เมื่อเสวี่ยปิงหนิงและซูชิวเชิงได้เห็นฝ่ามือไร้เทียมทานนี้ พวกเขาต่างก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รถม้าไล่ตามดวงจันทร์ก็วิ่งกลับเข้าสู่เมืองหลวงของแคว้นจินหลาน
พวกเขารั้งรออยู่ที่แคว้นจินหลานครึ่งวัน จากนั้นก็เดินทางออกจากแคว้นจินหลาน
เหตุการณ์ที่หัวขององค์ชายสามและองค์ชายเก้าถูกแขวนอยู่บนประตูเมืองหลวงของแคว้นจินหลาน ทำให้ทุกฝ่ายหยุดชะงักการโจมตีหลัวเลี่ย และทำให้ผู้คนสงสัยว่าแท้จริงแล้วหลัวเลี่ยได้เข้าร่วมกับกองกำลังขนาดใหญ่อย่างลับๆ หรือไม่
เมื่อได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ แคว้นที่อยู่รอบแคว้นจินหลานต่างก็สั่นคลอน จนไม่มีผู้ใดกล้าออกความคิดเห็นในเื่ที่เกี่ยวกับหลัวเลี่ยไปสักพัก
วันเวลาล่วงเลยไปห้าสิบวัน ในที่สุดหลัวเลี่ยก็เดินทางมาถึงแคว้นเหยียนหลง
ใน่เวลาห้าสิบวันที่หลัวเลี่ยเดินทางนี้ เขาไม่เพียงแต่เดินทางและฝึกฝนวรยุทธ์เท่านั้น แต่เขายังเข้าไปในเรือนพเนจรที่อยู่ในภพจิตัเป็ครั้งคราว และอ่านหนังสือทั้งหมดในห้องหนังสือ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความรู้ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวะโ
หากกล่าวว่าความรู้ในอดีตของหลัวเลี่ยเกี่ยวกับดินแดนเหยียนหวงนั้นมีเพียงผิวเผิน เช่นนั้นตอนนี้เขาก็มั่นใจว่าความรู้ของเขาเกี่ยวกับดินแดนเหยียนหวงต้องมีมากกว่าศิษย์แนวหน้าของผู้ฝึกวรยุทธ์ระดับบรรพชนเป็แน่
นอกจากนี้พลังวรยุทธ์ของหลัวเลี่ยยังเพิ่มขึ้นทุกวัน จนตอนนี้เขาค่อยๆ เข้าใกล้จุดสูงสุดของผู้ฝึกตนระดับที่สิบแล้ว
เหตุผลที่ทำให้พลังวรยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น นอกเหนือจากการฝึกฝนวรยุทธ์อย่างหนักในห้าสิบวันนี้แล้ว สาเหตุหลักนั้นมาจากการที่เขากำจัดบุปผางามอาบพิษทั้งสามที่อยู่ในโลกเื้ัได้ ซึ่งหลังจากที่เขากำจัดบุปผางามอาบพิษทั้งสามแล้ว พวกมันก็ได้ทิ้งแก่นพลังของตนเองไว้ หลังจากที่เขาซึมซับแก่นพลังนั้นมา ก็ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก
และเพราะพลังของหลัวเลี่ยกำลังเข้าใกล้ระดับหยินหยางมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงกระตือรือร้นในการตามหาเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมมากขึ้นด้วย
วันนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่แคว้นเหยียนหลงแล้ว
แคว้นเหยียนหลงถือได้ว่าเป็หนึ่งในแคว้นที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในบรรดาแปดร้อยแคว้น โดยอาณาเขตของแคว้นเหยียนหลงนั้นกว้างขวางกว่าอาณาเขตของแคว้นเป่ยสุ่ยถึงสามสิบเท่า
เมื่อมาถึงแคว้นเหยียนหลงแล้ว หลัวเลี่ยก็รีบเดินทางไปยังเมืองหลวงของแคว้น แล้วออกตามหาตระกูลอู เพื่อหวังว่าจะพบเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม
ทุกวันนี้ เขายังติดต่อกับเย่เิหลงและข่งไท่โต้วผ่านเรือนพเนจรที่อยู่ในภพจิตั ทั้งสองเองก็พยายามค้นหาเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมอย่างเต็มที่ และตอนนี้พวกเขาก็ได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมแล้ว แต่พวกเขาก็ยังต้องใช้เวลาตรวจสอบให้แน่ชัดอีกสักระยะ
เจ็ดวันต่อมา หลังจากที่หลัวเลี่ยได้เดินทางข้ามอาณาเขตครึ่งหนึ่งของแคว้นเหยียนหลงมาแล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใกล้เมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลง
ตอนนี้เนื้อตัวของเขาเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินจากการเดินทาง เขายืนอยู่บนยอดต้นไม้ซึ่งห่างจากเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงมาสามสิบจั้ง เพื่อสังเกตการณ์สถานการณ์ก่อน
สภาพแวดล้อมของแคว้นเหยียนหลงเหมือนกับเื่เล่าที่เขาได้ยินมาไม่มีผิด ภูมิประเทศของแคว้นเหยียนหลงนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะพื้นที่ทั้งหมดมีความร้อนรุนแรง กำแพงเมืองถูกสร้างมาจากหินิญญาไฟ ที่มีลักษณะพิเศษคือสามารถทำให้อุณหภูมิภายในเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงสูงมาก นอกจากนี้รอบๆ กำแพงเมืองยังมีไอความร้อนแผ่ออกมาจนเห็นได้ชัด
และเขายังเห็นเงาัปรากฏขึ้นเหนือเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงอีกด้วย ซึ่งเงาันี้ก็เป็เหตุผลหลักที่ทำให้เกิดแคว้นเหยียนหลง และเมืองหลวงของแคว้นเยียนหลงก็ถูกสร้างเป็รูปัด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าในแคว้นเหยียนหลงมีสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งที่มีต้นกำเนิดไม่ธรรมดา เพราะสมบัติวิเศษนั้นจะทำให้มีไฟัปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในทุกๆ เที่ยงวัน
สายตาที่เฉียบแหลมของหลัวเลี่ยยังเห็นอีกว่า ในเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงนี้ นอกจากผู้คนจะคึกคักและบ้านเรือนที่ประดับประดาด้วยโคมไฟอย่างงดงามแล้ว เขายังสังเกตเห็นว่ามีคนมาจากทุกทิศทุกทาง และคนเหล่านี้ล้วนมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา
ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งที่สำคัญกำลังจะเกิดขึ้นภายในแคว้นเหยียนหลง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้