หลินกุ้ยฮวากับหลินฉินดีใจเหมือนเจอญาติเมื่อเห็นสวีเทา พากันฟ้องคนละประโยค ทั้งคู่โดนหลินหวั่นชิวตบหน้า มุมปากมีคราบเื ใบหน้าบวมเล็กน้อย บวกกับทั้งคู่ปะแป้งทาปาก ปากจึงแดงจนไม่รู้จะแดงอย่างไร ทำเอาสวีเทาท้องไส้ปั่นป่วน
สายตาเขามองมาทางหลินหวั่นชิวอีกครั้ง ไล่จากใบหน้านางไปที่หน้าอก จากนั้นมองขนจิ้งจอกสีขาวในมือนาง
หน้าตาหลินหวั่นชิวงดงาม โดยเฉพาะดวงตาดอกท้อที่เป็ประกายมีชีวิตชีวา หางตาตวัดเหมือนตะขอ
แม้แววตาจะเ็า แต่ก็ด้วยแววตาเ็านี่แหละที่ทำให้เขายิ่งอยากกระโจนเข้าใส่…
หากบอกว่าหลินหวั่นชิวที่เมื่อก่อนขี้กลัวเอาแต่ก้มหน้าทำให้สวีเทาอยาก เช่นนั้นหลินหวั่นชิวที่ยืนตัวตรง มองทุกคนอย่างเ็าไม่เกรงกลัวตอนนี้คงทำให้สวีเทาอยากพิชิต
ขนจิ้งจอกเป็ขนจิ้งจอกสีขาวชั้นดี เจียงหงหย่วนไม่เอาไปขายแต่ให้หลินหวั่นชิวทำเป็เสื้อคลุม เห็นได้ชัดว่าบ้านเจียงร่ำรวยกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ส่วนที่เหตุใดเจียงหงหย่วนจึงเปิดเผยความมั่งคั่งอย่างฉับพลันนั้น…
สวีเทารู้สึกว่าสาเหตุคงเหมือนพวกที่ทุ่มเงินให้หญิงคณิกาในหอนางโลม ไม่มีกระไรไปมากกว่าการข้ามด่านบุปผางามไปไม่ได้
ดูท่ารสชาติบนเตียงของหลินหวั่นชิวคงยากจะลืมเลือน มิเช่นนั้น…เจียงหงหย่วนจะใจกว้างขนาดนี้หรือ?
สวีเทาเริ่มตั้งตาคอย คอยวันที่จะได้เห็นหลินหวั่นชิวตัวสั่นเทิ้มถอดเสื้อผ้าวิงวอนต่อหน้าตัวเอง
“หลินหวั่นชิว เ้าว่าอย่างไร?” สวีเทาถามหลินหวั่นชิวพร้อมกับยื่นมือมาจะคว้าเสื้อขนจิ้งจอก
แต่หลินหวั่นชิวกลับเลี่ยงมือเขา
นี่เป็เสื้อขนจิ้งจอกที่หย่วนเกอให้มา จะให้สวีเทาจับไม่ได้
“ง่ายมาก หากพวกนางบอกลักษณะพิเศษของเสื้อขนจิ้งจอกต่อหน้าลุงป้าน้าอาทุกท่านได้ก็เท่ากับเป็ของพวกนาง แต่หากบอกไม่ได้ก็เท่ากับโกหก! ขโมยเสื้อขนจิ้งจอกมีโทษอย่างไร ขอให้ท่านใต้เท้าตัดสินอย่างเป็ธรรม…อีกอย่าง ลุงป้าน้าอาหลายท่านก็เห็น ใต้เท้าทั้งหลายคงไม่เห็นแก่พรรคพวกตัวเองใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“แหมๆ เสี่ยวเหนียงจื่อคนนี้พูดจาฉะฉานยิ่งนัก” มือปราบคนหนึ่งพูดหยอกเย้าตามสวีเทา
สวีเทามองหลินหวั่นชิวอย่างลึกซึ้ง
ที่นี่มีคนมุงเยอะ พอหลินหวั่นชิวพูดเช่นนี้ ทุกคนต่างรู้สึกว่ามีเหตุผล
พากันสนับสนุนหลินหวั่นชิว
หลินฉินร้อนใจ นางแค่เห็นแบบคร่าวๆ แล้วหยิบมาเลย จะรู้ได้อย่าไรว่าเสื้อขนจิ้งจอกมีลักษณะพิเศษกระไร
หลินกุ้ยฮวาพูดว่า “นี่คือเสื้อขนจิ้งจอกขาว ไม่มีขนสีอื่นสักเส้น นี่ก็คือลักษณะพิเศษ!”นางเหลือบตามองหลินฉินอย่างดูถูก เด็กคนนี้โง่จริงๆ เสื้อขนจิ้งจอกอยู่ในมือหลินหวั่นชิว แค่หันไปมองก็รู้แล้ว
เมื่อหลินกุ้ยฮวาพูดเช่นนี้ ฝูงชนที่มามุงดูเกิดการตอบสนองทันที ไอ๊หยา จะมีลักษณะพิเศษกระไรได้ ลักษณะพิเศษก็คือสีขาวไม่ใช่หรือ?
ฟู่เหรินน้อยนางนี้บ้าหรือไม่?
พวกสวีเทาหัวเราะเช่นกัน มีมือปราบพูดว่า “อีกฝ่ายบอกลักษณะพิเศษมาเร็ว รีบคืนให้เสีย”
“เสื้อขนจิ้งจอกเป็ของพวกนาง เ้าทั้งขโมยทั้งทำร้ายร่างกาย มากับพวกข้า!” สวีเทาพูด นึกไม่ถึงว่าโอกาสจะมาไวขนาดนี้ ส่งเหยื่อเข้าปากถึงที่โดยแท้!
“ช้าก่อน!” หลินหวั่นชิวหลบมือที่เอื้อมเข้ามาของสวีเทาอีกครั้ง
หวางฟู่กุ้ยเอาตัวมาบังหลินหวั่นชิว แม้จะกลัวแต่ก็ไม่ถอย
หลินหวั่นชิวเห็นทุกอย่างในสายตา จดจำน้ำใจของหวางฟู่กุ้ยไว้ในใจ
“เหตุใดเล่า เ้าคิดจะเฉไฉกระไรอีกหรือ?” หลินกุ้ยฮวาพูด “ข้ามีน้องสาวแบบเ้าได้อย่างไร ประพฤติตนไม่เหมาะสม ยั่วยวนพี่เขยตัวเองแล้วยังจะขโมยของของข้าอีก มือปราบสวี วันนี้ท่านต้องมอบความยุติธรรมให้พวกข้านะเ้าคะ!”
“วางใจเถิด ข้าจะตัดสินอย่างเป็ธรรมแน่!” สวีเทาพูดด้วยรอยยิ้ม แกะน้อยกำลังจะเข้าปาก ใจเขาเต้นระรัว
“ข้าย่อมวางใจกับการทำงานของพวกท่านอยู่แล้ว!” เสียงของหลินกุ้ยฮวานุ่มนวลขึ้นมา นางมองหลินหวั่นชิวอย่างกระยิ้มกระย่อง
แม้แต่ฝูงชนที่มุงดูก็รู้สึกว่าฟู่เหรินตัวน้อยนางนี้ซวยเสียแล้ว
ยังไร้เดียงสาเกินไป มิเช่นนั้นคงไม่ให้อีกฝ่ายบอกลักษณะพิเศษของเสื้อขนจิ้งจอก
ลักษณะพิเศษของเสื้อขนจิ้งจอกก็คือไม่มีขนสีอื่นปน ขาวดุจหิมะทั้งตัวไม่ใช่หรือ
“เอ้อร์เจี่ย ข้ามีนามว่ากระไร รบกวนท่านช่วยบอกทุกคนทีเถิด” หลินหวั่นชิวพูด
ทุกคนได้ยินดังนี้ก็คิดว่านางบ้ากันหมด เหตุใดจึงถามเช่นนี้
หลินกุ้ยฮวาหัวเราะ แต่นางยังไม่ทันพูด หลินฉินก็ชิงะโขึ้นก่อน “เหตุใดเล่า ขายหน้าแล้วยังอยากให้ทุกคนจำชื่อเสียงเรียงนามไว้หรือ เ้าชื่อหลินหวั่นชิว! ทุกท่านโปรดจำไว้ สตรีหน้าไม่อายนางนี้ชื่อหลินหวั่นชิว!”
“เอ้อร์เจี่ย?” หลินหวั่นชิวไม่สนใจหลินฉิน ตามองแค่หลินกุ้ยฮวา
หลินกุ้ยฮวารีบตอบ “หลินหวั่นชิว เ้าชื่อหลินหวั่นชิว โถ่เอ้ยหวั่นชิว เราต่างก็แซ่หลินเช่นเดียวกัน เ้าเป็น้องสาวข้า เดิมทีข้าไม่อยากให้เื่ราวบานปลายใหญ่โตขนาดนี้ แต่ทั้งหมดเป็เพราะเ้าบีบบังคับเองไม่ใช่หรือ? ฟังพี่นะ วันหน้าอย่าละโมบอีก ละโมบเกินไปเจอจุดจบไม่ดีเช่นนี้!”
“เอ้อร์เจี่ยช่างเป็คนเข้าใจเหตุผล” หลินหวั่นชิวพูด เสียก็แต่ชอบทำเื่ไม่ถูกต้อง
“เช่นนั้นเอ้อร์เจี่ย ท่านทราบหรือไม่ว่าสามีข้ามีนามว่ากระไร?”
หลินกุ้ยฮวาตอบอย่างเย้ยหยัน “เจียงหงหย่วนไงเล่า นายพรานที่หน้าเสียโฉม ที่บ้านมีตัวขี้โรค…แต่เ้าจะขโมยของของผู้อื่นเพราะครอบครัวลำบากไม่ได้นะ…”
หลินหวั่นชิวหันไปถามฝูงชนที่มามุงดู “ทุกท่าน ไม่ทราบว่ามีผู้ใดรู้หนังสือบ้าง? รบกวนช่วยก้าวออกมาหน่อยเ้าค่ะ”
ทุกคนสับสน คิดจะทำกระไรอีก?
กระนั้นก็มีคนตอบ “ข้ารู้!”
“ข้าก็รู้หนังสือเช่นกัน!”
“ข้าเป็ถงเซิง[1]!”
ดูเื่สนุกทั้งที ยิ่งบานปลายสิยิ่งดี ไม่ว่าฟู่เหรินน้อยคนนี้จะมีจุดประสงค์กระไร พวกเขาก็ยินดีเข้าร่วม
“เช่นนั้นรบกวนทุกท่านช่วยเหลือข้าหน่อยเ้าค่ะ” หลินหวั่นชิวพูด
สวีเทาขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าหลินหวั่นชิวทำเช่นนี้…อาจทำให้ความปรารถนาเขาดับสูญ
แต่สติปัญญาของเขาคาดไม่ถึงว่าหลินหวั่นชิวจะเล่นละครกระไร พูดอย่างรำคาญใจว่า “หลินหวั่นชิว เลิกถ่วงเวลาได้แล้ว เปล่าประโยชน์ มากับข้าเสีย!”
หลินหวั่นชิวพูดถากถาง “เหตุใดมือปราบสวีรีบร้อนถึงเพียงนี้…กลัวข้าจะนำหลักฐานออกมาพิสูจน์ว่าเสื้อขนจิ้งจอกตัวนี้เป็ของข้าหรือ? หรือมือปราบสวีจะเป็พวกเดียวกับพวกนาง?”
“เหลวไหล!” สวีเทาทำตาเขม็งใส่หลินหวั่นชิว โต้กลับตามสัญชาตญาณ
หลินหวั่นชิวพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้มือปราบสวีช่วยรออีกประเดี๋ยว ใช้เวลาไม่นานนัก”
เชิงอรรถ
[1] ถงเซิง(童生) ชื่อเรียกของปัญญาชนที่สอบชิงตำแหน่งซิ่วไฉ (ระดับของผู้ที่สอบผ่านระดับท้องถิ่น)