หลังจากการระบุของจ้าวจือชิง พวกเขาถึงเพิ่งสังเกตเห็นที่มุมขวาล่างของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มีผีเสื้อสีฟ้าอ่อนหนึ่งตัว
นางเว่ยมองดูผ้าเช็ดหน้าอย่างตกตะลึง เป็นางจริงๆ ด้วย!
“นางเว่ย! เ้าจำสตรีผู้นี้ได้หรือไม่?”
“นางเว่ย?”
“นางเว่ย?”
หลังจากเรียกอยู่หลายครั้ง กว่านางเว่ยจะได้สติจากความสับสน
“ข้าน้อย…ข้าน้อย…” นางเว่ยลังเลเล็กน้อย ตอนนี้เว่ยอี้ตายแล้ว วันข้างหน้านางเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกลับไปพึ่งพิงต้นตระกูลของตน แต่คนที่ทำให้เว่ยอี้ตายและทำให้ตนเองไม่มีที่พึ่งพากลับเป็คนจากต้นตระกูลของนางเอง! คนที่ต้องแข่งทุกเื่กับนางั้แ่เด็ก ทั้งการกินการแต่งกาย กระทั่งแต่งงานก็ต้องแต่งกับคนที่ดีกว่าตนเอง!
ตอนนี้นางหมั้นหมายแล้ว แต่กลับเดินเที่ยวเล่นกับเว่ยอี้ท่ามกลางสายตาผู้คนบนท้องถนน! เื่อะไรนางต้องกลายเป็หญิงม่ายสามีตาย แต่นางคนนั้นกลับยังมีชีวิตที่ดีต่อไป
“ข้าน้อยทราบเ้าค่ะ!” นางเว่ยที่คิดกระจ่างแจ้งตอบเสียงดังฟังชัดอย่างผิดวิสัย “คนผู้นี้คือญาติผู้น้องของข้าน้อย ชื่อว่า หลานไฉ่เตี๋ย!”
เมื่อมีคำให้การจากนางเว่ย ศาลาว่าการจึงส่งคนไปจับกุม กลับพบว่าหลานไฉ่เตี๋ยได้ออกจากอำเภอเฉาไปนานแล้ว
“ชัดเจนว่านางชั้นต่ำคนนั้นวางแผนไว้แต่เนิ่นแล้ว!” นางเว่ยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ทั้งที่หมั้นหมายในอำเภอเฉาแล้วแท้ๆ แต่กลับหนีไปอีก
อย่าว่าแต่นางเว่ยที่รับไม่ได้ กระทั่งครอบครัวที่หลานไฉ่เตี๋ยหมั้นหมายด้วยก็ยอมรับไม่ได้ว่า สตรีที่หมั้นหมายกับครอบครัวของตนกลับมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับชายอื่นก่อนแต่งงาน ตอนนี้ยังเกี่ยวข้องกับเื่ฆาตกรรมและหนีไปอีก
ฉับพลันจึงยกเลิกการหมั้นหมายกับสกุลหลานทันที
......
ลั่วชีเหนียงได้รับการล้างความผิดที่ไม่ได้ก่อ แต่ก็รู้ว่ากิจการชานมเกรงว่าคงทำต่อไม่ได้ ขณะที่นางกำลังคิดหาช่องทางอื่น กลับได้รับคำเชิญจากตู้ิเจวียนให้ไปจวนสกุลหยาง
“ไฉนชีเหนียงจึงยังหน้านิ่วคิ้วขมวด ตอนนี้หลุดพ้นจากการถูกใส่ร้ายแล้วควรดีใจสิจึงจะถูก” ตู้ิเจวียนรู้ว่าจากความหลักแหลมของนาง เกรงว่าคงมีคนจงใจคิดใส่ร้ายคนสกุลลั่วอยู่เื้ัแน่
“ช่างเถอะ ข้าไม่เสียเวลาอ้อมค้อมกับเ้าแล้ว เ้าหลักแหลมเพียงนี้ เกรงว่าคงรู้แล้วว่ากิจการชานมของสกุลลั่วคงถูกเฉินเจ๋อิจับจ้องเข้าแล้ว”
เมื่อครู่ตอนที่สาวใช้รายงานว่าเห็นเฉินเจ๋อิ นางก็รู้แล้วว่าเื่ราวไม่สู้ดีนัก
“ข้ารู้สึกว่าถูกคนจับจ้องจริง แต่กลับไม่รู้ว่าเฉินเจ๋อิคือผู้ใด?”
เมื่อได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นเคย สิ่งเดียวที่ชีเหนียงนึกออกคือชายที่ปรากฏตัวในศาลกะทันหันและเงียบหายไป เขาคือคนที่ตู้ิเจวียนหมายถึงหรือ?
“เฉินเจ๋อิผู้นี้เ้าเล่ห์เพทุบาย ชอบทำเื่ยึดครองบ้านและทรัพย์สินผู้อื่น ครั้งนี้หากมิใช่เขาปรากฏตัวที่อำเภอเฉา ข้าเองคงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรงพนันสือวานคือ กิจการของเขา”
น้ำเสียงของตู้ิเจวียนแฝงด้วยความรังเกียจ “คนแบบไหนมีลูกน้องแบบนั้นจริงๆ ตนเองไม่ใช่คนดี ลูกสมุนแต่ละคนก็ล้วนเป็หนูโสโครก”
ชีเหนียงรับรู้เื่ราวของเฉินเจ๋อิจากตู้ิเจวียน คนผู้นี้มีนายท่านเฉินอยู่เื้ั มีอำนาจใหญ่โตในเมืองหลวง เื่ราวในวันนี้ขอเพียงเกิดขึ้นอีกครั้ง สกุลลั่วต้องเจ็บหนักเป็แน่
“ชีเหนียงวางใจได้ มีข้าตู้ิเจวียนอยู่ กิจการชานมของเ้าจะสามารถทำต่อไปได้เรื่อยๆ!” ตู้ิเจวียนให้สาวใช้นำโฉนดร้านค้ามาหนึ่งใบ
“เราไม่เพียงจะทำต่อ ยังต้องทำให้ยิ่งใหญ่! ข้าไม่เชื่อว่าเฉินเจ๋อิจะบังฟ้าได้ด้วยมือเดียว!” ตระกูลตู้เคยถูกตระกูลเฉินกดขี่ ไม่ว่าจะในราชสำนักหรือในการทำมาค้าขาย ทั้งสองตระกูลไม่ถูกกันมาโดยตลอด
ด้วยเหตุนี้ที่ตู้ิเจวียนกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแค่เพื่อชีเหนียง แต่ยังทำเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลตนเองด้วย
“คุณหนู ลั่วชีเหนียงจะตกลงหรือเ้าคะ?”
หลังจากชีเหนียงจากไป สาวใช้ก็เอ่ยถาม ตู้ิเจวียนเม้มปากและส่ายหน้า
ครั้งนี้นางอาศัยวิกฤติของผู้อื่นให้เป็โอกาส เพียงแต่สำหรับชีเหนียงแล้ว นับว่าทั้งได้ทั้งเสีย ซึ่งต้องดูว่านางจะเลือกอย่างไร
“เป็อะไรไป?”
เมื่อเห็นชีเหนียงออกจากจวนสกุลหยางโดยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลิงชางไห่จึงเอ่ยถาม แต่ทุกคนก็ไม่ได้รับคำตอบ ยังดีที่มีจ้าวจือชิงลากชีเหนียงและอุ้มนางขึ้นเกวียน
“อย่าเพิ่งถามเลย กลับบ้านก่อนค่อยว่ากัน”
ไม่ว่าคนอื่นจะคิดเช่นไร จ้าวจือชิงผลักวัวให้เดินไปทั้งอย่างนั้น โดยไม่สนว่าลั่วจิ่งเฉินกับที่เหลือที่อยู่ด้านหลังจะกลับอย่างไร
ไม่ง่ายดายกว่าจะกลับถึงบ้าน ชีเหนียงกลับเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ทุกคนทั้งผู้ใหญ่และเด็กในบ้านต่างก็จ้องตากันในห้องโถง ไม่มีผู้ใดกล้าออกตัว
ใครจะรู้ว่าจ้าวจือชิงกลับมาก็ดักไว้หน้าห้องโถง ไม่อนุญาตให้พวกเขารบกวนชีเหนียง เพียงเพราะชีเหนียงบอกว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน”
“ท่านลุงจ้าวเองก็เหนื่อยทั้งวันแล้ว ควรไปพักผ่อนให้ดี ส่วนนาง ย่อมมีพวกข้าพี่น้องคุ้มกันเอง”
เหมือน้าให้คล้อยไปกับคำพูดของลั่วจิ่งเฉิน ทั้งลั่วจิ่งซีและลั่วจิ่งไหลจึงพากันยืดอกหลังตรง
“นาง?” ทั้งที่เป็แค่คำพูดแ่เบาหนึ่งคำ แต่จ้าวจือชิงกลับฟังออกถึงความประชดประชันที่อยู่ในนั้น
“นางคือใคร? กระทั่งแม่ยังไม่อาจเอ่ยปากเรียกได้ ยังจะเรียนตำราอะไรอีก?” ในสายตาของจ้าวจือชิงเผยความดูแคลนอย่างแจ่มแจ้ง “คนที่พวกเ้าเห็นว่าเป็คนมีความสามารถคือแบบนี้หรือ? เช่นนั้นคงไม่จำเป็”
“นี่คือเื่ของครอบครัวเรา เ้าไม่ยุ่งเกินขอบเขตไปหรือ!”
แม้ว่าลั่วจิ่งเฉินจะผอมบางอ่อนแอ แต่กลับมีแรงกดดันอย่างแรงกล้า ซึ่งไม่ได้ด้อยกว่าพลังที่แผ่ออกมาจากตัวจ้าวจือชิงเลย
“ช้าเร็วต้องยุ่งสักวัน แค่วันสองวันคงไม่ต่าง”
“เ้าคิดไม่ซื่อดั่งที่คาดจริงด้วย!”
ทั้งสองปะทะฝีปากกันไปมา ไหลไหลน้อยหวาดกลัวและซุกเข้าหาอ้อมกอดของหลิงชางไห่
“ท่านปู่หลิง เหตุใดท่านลุงจ้าวถึงเปลี่ยนไปร้ายกาจเช่นนี้? เขาสติไม่ดีไม่ใช่หรือ?”
สติไม่ดี? หลิงชางไห่ส่ายหน้า “น่าจะยังสติไม่ดีอยู่นะ”
หากสติดีจะกล้าเผยความคิดไม่ซื่อกับมารดาของเด็กทั้งสามต่อหน้าเช่นนี้หรือ นี่ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ
“ข้าเองก็คิดว่าลุงจ้าวผู้นี้ไม่เหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิมตรงไหนก็บอกไม่ถูก”
ลั่วจิ่งซีลูบศีรษะ มักจะรู้สึกเหมือนว่าตนละเลยอะไรไป
หลิงชางไห่มองดูลั่วจิ่งซีที่โง่เขลา คนโง่อย่างเ้า ต่อให้มีสิบคนก็เดาความคิดจ้าวจือชิงไม่ออกหรอก
“นางคือแม่ข้า ต่อไปไม่ว่าจะชีวิตความเป็อยู่หรือเลี้ยงดูยามแก่เฒ่าและจัดงานศพ ย่อมเป็เื่สกุลลั่วของพวกข้า ท่านลุงจ้าวพักฟื้นพอสมควรแล้ว สมควรกลับบ้านไปตอบแทนคุณพ่อแม่ของตนได้แล้ว” ลั่วจิ่งเฉินแทบอยากจะให้จ้าวจือชิงกลับไปให้ได้เดี๋ยวนี้เวลานี้
“พักฟื้นหายดีแล้วหรือ? เหมือนจะไม่นะ ข้ายังปวดหน้าอกอย่างรุนแรง เกรงว่าคงต้องรักษาอีกสามปีห้าปี”
ตอนที่พูดประโยคนี้ หลิงชางไห่รู้สึกเหมือนถูกใครบางคนจ้องแวบหนึ่ง พอเงยหน้าก็เห็นสายตากดดันของจ้าวจือชิง แล้วนึกถึงคำพูดของเขา
นี่รู้เื่พิษในร่างกายตัวเองแล้วสินะ
“แค่กๆ!” หลิงชางไห่ลุกขึ้น เ้าหนุ่มคนนี้กำลังขู่ตนอยู่ เหมือนว่าเขารู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย “จ้าวจือชิง หากเ้าไม่มีอะไรก็รีบไปพักผ่อน เป็ผู้ชายร่างโตมายืนเฝ้าหน้าประตูหญิงสาวใช้ได้ที่ไหน”
จ้าวจือชิงคิดไว้อยู่แล้วว่าหลิงชางไห่ไม่มีทางยืนข้างตนเอง จึงยื่นมือไปเปิดม่านห้องโถง
“ชีเหนียง เ้าอย่านับญาติกับหลิงชางไห่เด็ดขาด คนผู้นี้…” ไม่ทันรอให้พูดจบ ก็รับรู้ถึงเรี่ยวแรงที่กดลงมาที่ริมฝีปาก
“แม่หนู เ้าอย่าไปฟังเ้าทึ่มร่างโตนี่ เขาทำเพื่อให้ได้อยู่ต่อ ไม่ว่าคำพูดบ้าคลั่งอะไรก็พูดออกมาได้! เ้าอย่าเชื่อเด็ดขาด!”
เดิมทีชีเหนียงอยู่ในห้องและกำลังไตร่ตรองเื่ที่จะตอบตกลงเื่ร่วมงานกับตู้ิเจวียนหรือไม่ ยังไม่ทันได้จัดแจงความคิด ในบ้านก็วุ่นวายอีกแล้ว
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเื่อื่นแค่คำพูดไม่กี่คำของลูกชายคนโตเกือบทำให้นางโมโห แล้วไหนจะจ้าวจือชิงต่อว่าแทนนางราวกับเป็พ่อ พอสองคนนี้เพิ่งจะหยุดทะเลาะกันลง หลิงชางไห่ก็เข้ามาร่วมด้วยอีกคน
“ดึกๆ ดื่นๆ พวกเ้าก็ยังไม่หยุด วันรุ่งขึ้นไม่ต้องใช้ชีวิตแล้วหรือ?”
แม้ว่าชีเหนียงจะพร่ำบ่น แต่ดีที่ได้ฟังพวกเขาโต้เถียงกัน จึงทำให้ในใจของนางเลิกพะวักพะวนได้เสียที
-----