บทที่ 26 คุณชายยอดเขาอสูร กับถ้ำเทพศาสตราวุธชั้นสี่
เวลาล่วงเลยไปสิบวัน
เด็กหนุ่มก้าวเข้าสู่ถ้ำเทพศาสตรา ภายในดวงตาของเขาสะท้อนแสงเย็นเยียบจากถ้ำ พร้อมเกิดประกายความเฉียบคมวูบไหวขึ้นชั่วขณะ
“โอ้ ศิษย์สายตรงหลี่ มาแล้ว”
“ศิษย์น้องมู่หรงเซียว เพิ่งจะถามหาเ้าเมื่อเช้านี้เอง”
“โธ่เอ๊ย! ศิษย์น้องหลี่ ฝึกฝนร่างกายทุกวันเช่นนี้ คงมีสภาพร่างกายพิเศษเช่นเดียวกับศิษย์น้องมู่หรงเซียวเป็แน่”
ใน่หลายวันที่ผ่านมา ศิษย์แห่งยอดเขาเทพศาสตราต่างก็คุ้นเคยกับหลี่โม่ไม่มากก็น้อย เป็เพราะศิษย์สายตรงหลี่ผู้นี้ไม่มีท่าทีถือตัวเลยแม้แต่น้อย ปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมและอ่อนโยนดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ครั้งก่อนมีคนาเ็ หากไม่ใช่เพราะศิษย์สายตรงหลี่นำยาแก้ปวดออกมาได้ทันท่วงที เกรงว่ามือของศิษย์ชั้นในผู้นั้นคงต้องพิการไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ เพียงสิบวันสั้นๆ เมื่อผู้อื่นมองมา พวกเขากลับคิดว่าหลี่โม่ต่างหากที่เป็ศิษย์สายตรงแห่งยอดเขาเทพศาสตรา
หลังจากทักทายกับทุกคนแล้ว หลี่โม่ก็เดินผ่านระเบียงเข้าสู่ถ้ำเทพศาสตราชั้นสอง เขาไม่ได้ใช้เคล็ดวิชากายาศาสตราสังหาร ทว่าก็ไม่รู้สึกไม่สบายกายแต่อย่างใด
【ชื่อ: หลี่โม่】
【อายุ: 16 ปี】
【รากฐานกระดูก: กายาเซียนกำเนิดลึกล้ำ】
【ระดับ: ปราณโลหิตแปดเส้นชีพจร】
【ลิขิตฟ้า: ??】
【คำวิจารณ์: มีกายาเซียนติดตัว ลิขิตฟ้าซับซ้อน ยากจะหยั่งรู้ถึงอนาคต】
【เหตุการณ์ล่าสุด: ภายในถ้ำเทพศาสตรา ได้หล่อหลอมโลหิตร่างกายจนถึงจุดสูงสุดของอาวุธสามัญ หากก้าวหน้าไปอีกขั้น ก็จะบรรลุถึงขั้นของอาวุธเฉียบคม】
“หากร่างกายแข็งแกร่งดุจอาวุธเฉียบคม ก็จะสามารถลงไปสำรวจชั้นสี่ได้แล้ว”
“หากยังไม่ได้ผลจริงๆ ก็จะใช้ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ให้เคล็ดวิชาก้าวสู่ขั้นสมบูรณ์”
สิบวันนี้ เขาสะสมความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ได้เจ็ดสิบหกปี ไม่ต้องกล่าวถึงขั้นสมบูรณ์เลย หากทุ่มเททั้งหมดลงในกายาศาสตราสังหาร ก็อาจผลักดันให้บรรลุถึงขั้นเปลี่ยนแปลงกายได้เลยทีเดียว ทว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็ การฝึกฝนร่างกายอย่างหนักนั้นเน้นที่คำว่า ‘ฝึกฝน’ หาก้าความก้าวหน้า ก็ต้องหมั่นขัดเกลาตนเองวันแล้ววันเล่า มิเช่นนั้นไม่ว่าทฤษฎีจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็เป็เพียงแค่ทฤษฎีเท่านั้น ต่างจากวิชาดาบที่แค่ก้าวหน้าเพียงเล็กน้อย ก็จะเพิ่มพลังอำนาจได้อีกส่วนหนึ่ง
เมื่อก้าวเข้าสู่ชั้นสาม หลี่โม่เดินไปจนสุดทาง แล้วรับประทานยาชำระจิตหนึ่งเม็ด ก่อนจะนั่งขัดสมาธิลง
ณ ทางเข้าถ้ำเทพศาสตรา
“ชื่อ”
ผู้ดูแลศิษย์ชั้นใน เมื่อรู้สึกว่ามีคนเข้าใกล้ ก็เอ่ยปากถามโดยไม่เงยหน้าขึ้น
“อินหัวเฉิง”
ผู้มาใหม่กล่าวชื่อของตนอย่างเรียบเฉย
ผู้ดูแลศิษย์ชั้นในถึงกับใ รีบลุกขึ้นยืนในทันที เบื้องหน้าเขาคือชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง รูปร่างผอมบาง ราวกับเสื้อคลุมยาวลายเมฆสีขาวนั้นใหญ่เกินตัวไปเล็กน้อย ใบหน้าเขางดงามทว่ากลับขาวซีดจนดูผิดปกติ ไฝสีดำกลางคิ้วยิ่งทำให้เขามีสีหน้าหม่นหมองลงมาก
แน่นอนว่าการที่ผู้ดูแลศิษย์ชั้นในแสดงท่าทีเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะสถานะศิษย์สายตรงของอินหัวเฉิงเท่านั้น หากแต่ยังเป็เพราะเ้าสำนักยอดเขาอสูรคนปัจจุบันก็แซ่อินเช่นกัน
“อ๋อ เป็ศิษย์สายตรงอินนี่เอง ไม่ได้พบท่านเสียนาน ท่านเ้าสำนักอินยังสบายดีหรือขอรับ?”
“หึ... ขอบคุณที่อุตส่าห์เป็ห่วง”
อินหัวเฉิงกล่าวอย่างเรียบเฉย โดยไม่แสดงอารมณ์ใดเป็พิเศษ ทว่า เมื่อรับป้ายประจำตัวมา ผู้ดูแลก็ยังคงรีบลงบันทึกข้อมูลอย่างรวดเร็ว
“ไม่ทราบว่าศิษย์สายตรงอินเข้ามาในถ้ำเทพศาสตราเพื่อ...”
“ฝึกฝนร่างกาย, และเลือกศาสตราวุธ”
【อินหัวเฉิง, ศิษย์สายตรงแห่งยอดเขาอสูร】
【เข้าสู่ถ้ำเทพศาสตรา, เพื่อหล่อหลอมโลหิตกาย, และเลือกศาสตราวุธ】
หลังจากบันทึกแล้ว อินหัวเฉิงก็เก็บป้ายประจำตัวคืน แล้วก้าวเข้าสู่ถ้ำเทพศาสตรา
“ศิษย์สายตรงอิน? เขาไม่ได้มาที่นี่เสียนานแล้วไม่ใช่หรือ”
“น่าจะเพิ่งออกจากด่านฝึกมาเมื่อเร็วๆ นี้กระมัง เขาอาจหล่อหลอมโลหิตสำเร็จจนก้าวเข้าสู่ขั้นปราณญาณเทพแล้วก็เป็ได้?”
“เฮือก... พูดยาก”
“หากศิษย์สายตรงอินจะมาฝึกฝนร่างกาย ก็คงไปที่ชั้นสามเหมือนกัน”
“ฮ่าฮ่า ถ้าอย่างนั้นก็คงได้เจอศิษย์สายตรงหลี่น่ะสิ”
ผู้คนในถ้ำเทพศาสตราชั้นหนึ่งอดไม่ได้ที่จะซุบซิบกัน แต่พูดได้สองสามประโยค อินหัวเฉิงก็หันกลับมา พลันเสียงกระซิบกระซาบได้หยุดลง สายตาเขากวาดมองศิษย์แห่งยอดเขาเทพศาสตราทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ไม่รู้เป็เพราะเหตุใด เมื่อถูกเขามอง ผู้คนต่างรู้สึกราวกับถูกอสูรจ้องมอง
อินหัวเฉิงหรี่ตาลง
“เมื่อใดในสำนักถึงมีศิษย์สายตรงหลี่เพิ่มขึ้นมาอีกคน?”
“เอ่อ... ก็คือศิษย์ที่เพิ่งเข้าสู่สำนักชิงเยวียนในพิธีรับศิษย์รุ่นนี้แหละขอรับ”
ในวินาทีต่อมา เขาพลันขนลุกชัน ร่างของอินหัวเฉิงหายวับไปจากที่เดิม และไปปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอย่างกะทันหัน ดวงตาคู่ที่จ้องมองเขานั้น ราวกับกลายเป็รูม่านตาของอสูร?
“ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนัก กล้าเข้าถ้ำเทพศาสตราชั้นสาม เ้ากำลังล้อเล่นกับข้ากระนั้นหรือ?”
“ไม่... ข้าจะกล้าได้อย่างไร!”
ศิษย์ชั้นในผู้นั้นกลืนน้ำลายลงคอ “ทุกคนต่างทราบดีว่าศิษย์สายตรงหลี่มาที่นี่ทุกวัน และทำเช่นนี้เสมอ วันแรกที่เขามาถึง ยังทำให้ผู้าุโหานเฮ่อต้องลงไปตามหาเขา แต่ผลคือเขาไม่เป็อะไรเลย”
ผู้คนรอบข้างต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างต่อเนื่อง อินหัวเฉิงกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย ดวงตาฉายแววโกรธเคือง เขายืนนิ่งอยู่สองสามวินาที ก่อนจะแค่นเสียงอย่างเ็าแล้วหันหลังเดินจากไป
ผู้คนต่างรู้สึกว่าแรงกดดันที่ทำให้หน้าอกอึดอัดได้หายไปแล้ว จึงถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน รอจนกระทั่งเงาร่างเขาหายลับไปอย่างสิ้นเชิง จึงมีคนสบถเบาๆ
“ศิษย์สายตรงอินผู้นี้คงคบค้าอยู่กับอสูรที่ยอดเขาอสูรมากเกินไป จนจิตใจมีปัญหาแล้วกระมัง”
“อย่าได้พูดพล่อยๆ ไปนะ หากเขาบรรลุถึงขั้นปราณญาณเทพแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้ยินเข้าก็ได้”
“ศิษย์สายตรงหลี่ยังดีกว่ามาก ยังเชิญพวกเราดื่มสุราด้วยซ้ำไป”
“หึ... นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว”
ถ้ำเทพศาสตราชั้นสอง
ขณะเดินอยู่ในถ้ำเทพศาสตราชั้นสอง อินหัวเฉิงรู้สึกอารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย เขาต้องจ่ายราคาที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้ เพื่อให้ร่างกายบรรลุถึงขั้นนี้ สุดท้ายจึงสามารถเข้าสู่ชั้นสามเพื่อฝึกฝนร่างกาย แต่ตอนนี้ จู่ๆ กลับมีคนบอกว่าศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักคนหนึ่งทำได้เช่นกันหรือ? นี่มิได้หมายความว่าความพยายามทั้งหมดของเขา กลายเป็เื่ตลกหรอกหรือ?
“มู่หรงเซียวจะมีสายเืครึ่งอสูรก็แล้วไปเถิด”
“แล้วศิษย์สายตรงหลี่นั่น โผล่มาจากไหนกัน?”
“หรือว่า... เขาก็มีสายเือสูรบางชนิดเช่นกัน?”
ย่ำเท้า—
อินหัวเฉิงก้าวเข้าสู่ชั้นสาม เนื้อหนังบนร่างเขาพลันเริ่มบิดเบี้ยวอย่างผิดปกติ ร่างกายที่ผอมบางพองขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับถูกเติมลม ิัปรากฏขนเส้นเล็กๆ หนาแน่นขึ้น แขนทั้งสองข้างยาวขึ้นในทันที ส่วนต่างๆ บนร่างกายกลับมีลักษณะของสัตว์เดรัจฉานปรากฏให้เห็นอย่างเลือนราง ดูประหลาดพิกลยิ่ง
“เคล็ดวิชาหลอมโลหิตร้อยอสูรของข้า ขาดอีกเพียงไม่กี่รูปแบบก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว!”
“เมื่อถึงเวลานั้น จะต้องเป็วิชาที่เหนือชั้นอย่างแท้จริง ฮ่าฮ่าฮ่า...”
เมื่อััได้ถึงพลังที่ไร้ขีดจำกัด อินหัวเฉิงหัวเราะเบาๆแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จิตสังหารอันแหลมคมพุ่งเข้าปะทะร่างกายเขา แต่กลับถูกขนคล้ายเหล็กกล้าที่ขึ้นปกคลุมร่างเขาสกัดกั้นไว้ทั้งหมด
สิบนาทีต่อมา เขาหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน เบื้องหน้าไม่ไกลนัก มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิ รอบกายเขามีศาสตราวุธหลากหลายชนิดนับสิบหรือนับร้อยชิ้นรายล้อม ซึ่งล้วนแต่เป็อาวุธลี้ลับ! นี่อาจเป็อาวุธลี้ลับกว่าครึ่งที่อยู่ในถ้ำเทพศาสตราชั้นสามเลยก็เป็ได้
ดวงตาอินหัวเฉิงพลันฉายแววแดงก่ำ รูม่านตาแนวตั้งเบิกกว้าง
ถ้ำเทพศาสตราชั้นสาม
“หืม?”
เมื่อััได้ถึงแรงสั่นะเืจากพื้นดิน หลี่โม่ก็ลืมตาขึ้น แล้วหันกลับไปมอง เมื่อหันกลับไปมอง เขาถึงกับใ นั่นคือสิ่งใดกัน? มิใช่คนเป็แน่กระมัง?
“ไม่มีใครบอกว่าในถ้ำเทพศาสตรามีสัตว์ประหลาดนี่นา...”
“อืม... อย่างไรเสียร่างกายข้าก็แข็งแกร่งเทียบเท่าอาวุธเฉียบคมแล้ว สามารถลองไปชั้นสี่ได้แล้ว”
หลี่โม่ลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก็ลุกขึ้นยืน ฉวยโอกาสที่สัตว์ประหลาดนั่นยังไม่ทันรู้ตัว เขาปัดก้นที่เปื้อนฝุ่น ไม่แม้แต่จะชายตามองอาวุธลี้ลับที่รายล้อมรอบกาย แล้วก้าวเข้าสู่ชั้นสี่ไป
และเมื่อเขาจากไป อาวุธลี้ลับเ่าั้ก็ต่างกลับไปยังที่เดิมของมันอย่างเป็ระเบียบ
แกร๊ก...
ในใจอินหัวเฉิงราวกับมีบางสิ่งแตกสลายไปแล้ว นั่นคือจิตใจแห่งเต๋าอันบอบบางที่พังทลายลง เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะอาวุธลี้ลับ แต่คนผู้นั้นกลับไม่แม้แต่จะชายตามองมัน เขาฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก ผ่านการทดลองนับร้อยนับพันครั้ง ถึงกับยอมกลายเป็สัตว์ประหลาด ทว่าจนบัดนี้ก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ถ้ำเทพศาสตราชั้นสี่ คนผู้นั้นเพิ่งจะเข้าสำนัก แต่จุดเริ่มต้นของเขากลับเป็จุดสิ้นสุดที่ตนเองใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต
อินหัวเฉิง บุตรชายของเ้าสำนักยอดเขาอสูร ผู้ถือกำเนิดมาพร้อมกับช้อนทองคำ จิตใจเขาถึงกับพังทลายลงในพริบตา
“ทำไม? ทำไมไม่เลือกข้า!”
“เขาดีเด่นกว่าข้าได้อย่างไรกัน?!”
เนื้อหนังบนร่างเขาเริ่มบิดเบี้ยวอีกครั้ง ราวกับควบคุมตัวเองไม่ได้ อินหัวเฉิงทุบตีทำลายข้าวของอย่างบ้าคลั่ง เพื่อระบายความไม่พอใจในใจ แต่... นี่ล้วนเป็อาวุธลี้ลับ มีจิติญญา ไม่ใช่ของอ้างที่ไร้สาระแต่อย่างใด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้