ยามอู่ รถม้าของพวกเขาหยุดอยู่ที่ชายป่า
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบหม้อ ข้าวสาร เกลือที่ซื้อมาจากร้านของชำเมื่อเช้าลงจากรถม้า
เหลียนเซวียนตั้งเตาเสร็จ ก็ไปเก็บฟืนมาก่อไฟ
"หมู่บ้านที่ผ่านมาก่อนหน้านี้มีร้านอาหารที่หน้าปากทางเข้าชัดๆ ท่านกลับไม่ยอมหยุด อากาศร้อนเช่นนี้ ต้องมาก่อไฟทำอาหารเองให้ได้"
เซวียเสี่ยวหรั่นย้ายของมาพลางบ่นพึมพำ
แม้ว่าจะตั้งเตาใต้ร่มไม้ แต่เที่ยงวันแดดเปรี้ยงอากาศอบอ้าว ซ้ำยังต้องมานั่งอยู่ข้างกองไฟ ไม่ร้อนสิถึงจะแปลก
เหลียนเซวียนยิ้มแต่ไม่พูด หยิบถุงน้ำที่เพิ่งซื้อมาใหม่ไปตักน้ำที่ริมธารไม่ไกลนัก
เซวียเสี่ยวหรั่นมองแผ่นหลังของเขาพลางขมวดคิ้ว มักรู้สึกว่าพฤติกรรมของเขาใน่สองวันนี้แลดูชอบกล
วันนี้ก็เช่นกัน รถม้าเคลื่อนที่ไปอย่างเอ้อระเหยดูเหมือนไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย
เธอถาม แต่เขาบอกว่ารีบร้อนไปก็เปล่าประโยชน์ พวกเขาอ้อมเขามาไกล หาก้าย้อนกลับไปยังจุดพักขบวนรถต้องกินเวลาสองสามวัน
แต่ถ้าย้อนกลับไปตอนนี้ ไม่แน่ว่าระหว่างทางอาจถูกซุ่มโจมตีจากคนชุดดำ
ดังนั้นการเดินทางจะรีบร้อนไม่ได้ เขาสงบนิ่งสงวนท่าทีเหมือนอย่างที่เคยเป็
ยังให้นางนั่งลงด้านข้าง บอกว่าจะสอนบังคับม้าให้
เซวียเสี่ยวหรั่นพอใจอย่างมาก ทั้งไม่มีความพะว้าพะวัง นั่งลงข้างกายเขาอย่างตื่นเต้น เธอมักไม่พลาดที่จะเรียนรู้ทักษะอื่นเพิ่มเติมอยู่แล้ว
หลังจากฟังคำอธิบาย เขาก็ให้เธอลองฝึกบังคับรถในระยะสั้นๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกแปลกใหม่ ทั้งสองใช้เวลาตลอด่เช้ากับการสอน และฝึกบังคับรถม้าอย่างมีความสุข
รถม้าขับเคลื่อนอย่างเอ้อระเหยไปได้ไม่ไกลนัก แต่ทั้งสองกลับคุยกันอย่างสนิทสนมตลอดทาง
เหลียนเซวียนกลับมาพร้อมถุงน้ำ เซวียเสี่ยวหรั่นซาวข้าวเสร็จก็ยกหม้อขึ้นตั้งไฟ
อากาศร้อนอบอ้าว แน่นอนว่าต้องต้มข้าวต้ม
พวกเขาไม่ได้ซื้อเนื้อสัตว์ ซื้อแต่ข้าวสารมาเล็กน้อย ที่สำคัญคืออากาศร้อนยิ่งนัก เซวียเสี่ยวหรั่นไม่อยากทำอาหารเอง
ริมทางไม่ไกลนักมีเพิงน้ำชาและร้านอาหาร อย่างน้อยก็ต้องมีของกินง่ายๆ เช่นซาลาเปา หม่านโถว ใครจะอยากหุงหาทำกับข้าวท่ามกลางแดดจัดเช่นนี้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเส้นประสาทส่วนไหนผิดปรกติ จะหุงข้าวกินเองให้ได้
แม้เซวียเสี่ยวหรั่นจะแอบบ่นในใจ แต่สิ่งใดที่ควรทำก็ยังต้องทำ
ต้มข้าวต้มหม้อเล็กใช้เวลาไม่นานนัก ต้มเสร็จตั้งไว้จนเย็น เหลียนเซวียนก็หิ้วปลากลับมาสองตัว
"ท่านยังไปจับปลาอีกหรือ" มิน่าถึงไปริมธารนานนัก
"อื้อ ตอนเ้าอยู่ในป่า ก็โหยหาแต่ปลาในแม่น้ำมิใช่หรือ" เหลียนเซวียนทำเพิงสามขาข้างเตาหิน เอาปลาขึ้นไปวางแล้วค่อยๆ ย่างไฟ
"ตอนนั้นเพราะอดๆ อยากๆ ไม่มีอะไรจะกิน ก็เลยรู้สึกโหยอยากกินเนื้อ แต่ตอนนี้ไม่ได้โหยหาขนาดนั้นแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นร้องปาว
"แล้วเ้าไม่ชอบกินปลารึ" เหลียนเซวียนมองนาง จมูกที่ชนถูกเมื่อวานไม่บวมแล้ว แต่ยังมีรอยแดงจางๆ อยู่ เนื่องจากอากาศร้อน จึงมีหยาดเหงื่อผุดพรายที่ปลายจมูก
"ชอบสิ แต่ข้าชอบปลาหม่าล่า ปลาต้มพริก ปลาราดพริก" เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มตาหยี
ล้วนแต่เป็อาหารรสเผ็ด เหลียนเซวียนเห็นนางยิ้มไปถึงดวงตา ก็อดยิ้มตามไม่ได้
"เ้าจะเอาพริกน้ำพ่นใส่ปลาย่างสักหน่อยไหมล่ะ ปลาย่างจะได้เผ็ดขึ้น"
เขายิ้มอย่างมีเลศนัย
แน่นอนว่าได้รับการกลอกตากลับมาทันที
"พริกน้ำนั่นใส่เอาไว้นานแล้ว ท่านอยากให้ข้าต้องพิษตายหรืออย่างไร" เธอตัดพ้อ
เหลียนเซวียนพลันหน้าง้ำ ตำหนิเสียงเบา "ห้ามพูดส่งเดช"
พอเห็นเขาทำสีหน้าเคร่งขรึม เซวียเสี่ยวหรั่นก็แลบลิ้น
เหลียนเซวียนจนใจอยู่บ้าง เห็นดวงหน้าเล็กจ้อยเต็มไปด้วยเหงื่อ ก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
"ผ้าเช็ดหน้าเล่า?" เขายื่นมือออกมา
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ถามว่าเขาจะเอาผ้าเช็ดหน้าไปทำอะไร ก็ค้นออกมาจากกระเป๋าสะพายส่งให้
เหลียนเซวียนรับของก่อนเดินเข้ามาซับผ้าเช็ดหน้าที่จมูกของนางเบาๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นมองตาปริบๆ เห็นเขาอยู่ใกล้แค่คืบ
เขาถามจะเอาผ้าเช็ดหน้าเพื่อมาเช็ดเหงื่อให้เธอเอง?
เซวียเสี่ยวหรั่นมองเคราของเขาที่ไม่ได้ตัดมาสองสามวันเริ่มยาวขึ้นมาบ้างแล้ว หัวใจพลันอ่อนยวบและวูบไหว
เขาดีต่อเธอเกินไปหรือเปล่า?
ทั้งปลายปลูก คาง หน้าผาก กระทั่งลำคอ เขาล้วนเช็ดให้อย่างพิถีพิถันใส่ใจ
พอช้อนตาขึ้นมองอีกครา เขาพบว่าสายตาของนางที่จดจ้องอยู่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ทั้งเปล่งประกาย ละมุนละไม และเจือแววสับสนอยู่บ้าง
เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ ในที่สุดความพยายามของเขาก็ไม่สูญเปล่า อย่างน้อยก็ได้รับความประหลาดใจกลับมาบ้าง
เขาเอื้อมมือไปเก็บปอยผมทัดหลังหูให้นาง
"เป็อะไร?"
เสียงทุ้มต่ำของบุรุษลอยเข้าไปในหูของเซวียเสี่ยวหรั่น ติ่งหูที่สวมต่างหูไข่มุกอยู่แดงระเรื่ออย่างช้าๆ
่นี้เขามักจะทำอะไรสนิทชิดเชื้อกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
"เอาผ้าเช็ดหน้าให้ข้า" ดวงตาของเซวียเสี่ยวหรั่นทอประกายวาววับ แบมือออกมา
"เดี๋ยวค่อยให้" เหลียนเซวียนกลับไม่คืนให้ทันที กลับยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ริมธาร
ยามกลับมาอีกครั้ง ผ้าเช็ดหน้าก็เปียกน้ำแล้ว
"เช็ดหน้าสิ" เขาวางผ้าเช็ดหน้าในมือนาง
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นไรผมของเขาเปียกชื้น ก่อนมองผ้าเช็ดหน้าของตนเอง หูพลันพลันแดงระเรื่อ
เขาต้องเอาผ้าเช็ดหน้าของเธอไปเช็ดหน้าแน่ๆ
"ข้าจะเอาไปซักที่ริมธาร" เซวียเสี่ยวหรั่นเบะปาก ก่อนลุกขึ้นเดินไปริมธาร
ริมธารอยู่ไม่ไกลจากชายป่า เซวียเสี่ยวหรั่นเอาผ้าไปจุ่มน้ำแล้วเช็ดทำความสะอาดใบหน้าและมือ ในที่สุดเหงื่อที่เหนียวเหนอะหนะก็สะอาดสดชื่น
เธอหันกลับไปมองบุรุษที่กำลังย่างปลาอย่างจริงจังอยู่ชายป่า แววตาเหม่อลอยไปชั่วขณะ
่นี้เขาแสดงความรู้สึกที่มีต่อเธอชัดเจนมาก
ในความเผด็จการกลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและสนิทชิดเชื้อ
เซวียเสี่ยวหรั่นหาใช่คนเบาปัญญา
แต่ไม่กล้าเข้าใกล้เขา
เธอกลัว
ชายหญิงสถานะแตกต่างกัน แม้สองฝ่ายจะมีใจให้กัน แต่มิอาจครองคู่อย่างมีความสุขไปได้ตลอดรอดฝั่ง เื่นี้ล้วนเป็ปัญหาไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม
ยุคสมัยที่แบ่งแยกชนชั้นเช่นนี้ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
เขาบ่ายเบี่ยงที่จะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับสถานะของตนเองมาโดยตลอด
ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ ว่าต้องเป็ตระกูลผู้มีอำนาจ ยถฐาบรรดาศักดิ์ และมีกิจการใหญ่โตเป็แน่
แต่เธอเป็แค่หญิงสาวธรรมดาที่ไม่มีแม้แต่สถานะ
ใช่ว่าเธอดูถูกตนเอง หรือประเมินตนเองต่ำ แต่สถานะที่แตกต่างกันเกินไป เป็ตัวกำหนดอุปสรรคขวากหนามในวันข้างหน้า
เธอไม่มีความกล้าพอที่จะบินเข้ากองไฟ ดังนั้นจึงละล้าละลังไม่ก้าวไปข้างหน้าตลอดมา
แต่เขายืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสูงใหญ่ราวกับเรืองแสงเจิดจรัสดึงดูดสายตาเธออยู่ทุกวี่ทุกวัน
ยิ่งหลายวันมานี้ เขาไม่เพียงแต่เปล่งประกาย ยังเพิ่มกลิ่นอายความหอมหวานล่อลวงเธอไม่ขาดสาย
ยิ่งเธอขัดขืน ยิ่งถูกเขาตามตอแย
บุรุษผู้นี้ราวกับปิศาจแมงมุม ที่ชักใยมหึมาเตรียมไว้รอให้เธอไปติดร่างแห
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกว่าตนเองเป็ดั่งแมลงเม่าไร้หัวคิด ต่อให้บินไปแห่งหนใด ช้าเร็วก็ต้องพาตนเองไปติดร่างแหของเขา
เธอควรจะทำอย่างไรดีหนอ? เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกมึนงง และอับจนหนทาง
