เื่เกี่ยวกับน้องห้าของเขาผู้นี้ เจียงเฉิงเยว่ได้สอบถามอย่างละเอียดแล้วภายหลังย้ายจากวังมาที่เขาฉีหวน
มารดาขององค์ชายห้าหลี่อวิ๋นหังเป็นักพรตเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมาจากสำนักมีชื่อเสียง แต่ก็เป็เพียงนักพรตที่มีพร์ธรรมดา ทว่านักพรตสตรีที่มีพร์ธรรมดาผู้นี้ กลับมีสิ่งที่ผู้อื่นยากจะเทียบด้วยได้ นั่นคือรูปโฉม ว่ากันว่าิจงได้พบนางโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง แล้วตกตะลึงไปจนถึงเทพ์1
เื่ราวหลังจากนี้ล้าสมัยเป็อย่างยิ่ง สตรีผู้นี้ละทิ้งการบ่มเพาะแล้วเข้าวัง ่แรกนางค่อนข้างเป็ที่โปรดปรานของจักรพรรดิ
เดิมทีสตรีผู้นี้ไม่มีภูมิหลังครอบครัว ไม่มีความทะเยอทะยานในการเมือง แม้ว่าิจงจะโปรดปรานนาง แต่ก็ไม่ได้โปรดปรานจนถึงขั้นทำลายพระราชวัง ดังนั้นจึงไม่มีอิทธิพลต่อการปกครอง เดิมทีนางควรเป็เพียงนางสนมธรรมดา...ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ ในราชวงศ์ก่อนมีพระชายาปีศาจที่โด่งดังผู้หนึ่งซึ่งมีภูมิหลังคล้ายกันกับนาง ทว่ากลับก่อหายนะแก่บ้านเมืองและประชาชนจนทำให้เทพ์พิโรธ...ดังนั้น พระชายาผู้นี้ซึ่งเกิดเป็นักพรตในสำนักเต๋า ั้แ่เริ่มเข้าวังจึงได้รับการโจมตีจากทั้งในและนอกวังหลังอย่างเป็เอกฉันท์ ช่างไม่เป็ธรรมเลยจริงเชียว
เมื่อหลังคารั่ว ฝนจะตกไปอีกหลายคืน2 ในไม่ช้าสตรีผู้นี้ให้กำเนิดองค์ชายห้า โดยที่ปาจื้อขององค์ชายมีปัญหาเล็กน้อย กลับมีดวงชะตาที่เป็อริกับทั้งบิดาและมารดา...
สามปีต่อมา สตรีผู้นี้ก็หมดความโปรดปราน ได้เสียชีวิตอย่างโศกเศร้า ดูเหมือนจะยืนยันคำกล่าวที่ว่าเป็อริกับบิดาและมารดาได้เรียบร้อย
ดังนั้น ยามองค์ชายห้าอายุยังอายุไม่ถึงห้าปีจึงถูกเนรเทศออกจากพระราชวังก่อนกำหนด ถูกส่งไปยังวิหารหลิงเซียวเพื่อฝึกฝน ดูจากภายนอกกล่าวได้ว่าเป็การสวดภาวนาเพื่อประเทศอย่างสง่างามอะไรเทือกนั้น แต่ใครจะไม่เข้าใจบ้างว่าจักรพรรดิได้ละทิ้งบุตรชายที่เป็ลางร้ายนี้ไปเสียแล้ว
ยามนี้หลี่อวิ๋นหังอายุสิบเอ็ดปี ไม่เคยกลับไปที่วัง ยกเว้นไม่กี่ครั้งที่สักการะ์จักรพรรดิได้นำเหล่ารัฐมนตรีไปที่วิหารหลิงเซียวเพื่อพบปะจากระยะไกล หลี่อวิ๋นเฉินกับน้องชายผู้นี้ไม่เคยพบกันตามลำพังมาก่อน จึงเป็เหมือนคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง
เื่นี้ทำให้เจียงเฉิงเยว่มีเหตุผลที่จะทำตามอำเภอใจต่อหน้าหลี่อวิ๋นหัง ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่รู้ว่าเสด็จพี่ตัวจริงมีนิสัยอย่างไร เขาจึงทำตามนิสัยของตนเอง คิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
รูปโฉมของหลี่อวิ๋นหังควรได้รับการสืบทอดจากมารดาของเขามากกว่า ถึงอย่างไรเจียงเฉิงเยว่กลับมองไปที่ ‘เสด็จพ่อ’ ผู้นั้นซึ่งมาเยี่ยมเขาหลายครั้งภายหลังออกจากวัง โดยเห็นว่าดูไม่เหมือนกันเท่าไรนัก แม้ว่า ‘เสด็จพ่อ’ ของเขาจะนับได้ว่าองอาจ แต่กลับไม่เหมือนกับเด็กตรงหน้าผู้นี้ อีกฝ่ายงดงามเป็อย่างยิ่ง ภายนอกช่างดูดื้อรั้น คิ้วยาวจรดขมับ ดวงตากลมโตราวเมล็ดซิ่งจื่อ ใบหน้าบอบบางน่ารัก น่าเสียดายนักที่เผยสีหน้าเ็าั้แ่อายุยังน้อย เมื่อนึกถึงประสบการณ์ชีวิตของอีกฝ่าย เจียงเฉิงเยว่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจกับเด็กที่มีท่าทีเหมือนผู้ใหญ่คนนี้
หลี่อวิ๋นหังเบิกตากว้างโดยไม่คำนึงถึงมารยาท แววตาสั่นไหวมองไปที่ใบหน้าของเจียงเฉิงเยว่ เจียงเฉิงเยว่ก้มตัวเล็กน้อยด้วยมือทั้งสองข้างซึ่งใช้ยันหัวเข่า นำใบหน้ามาอยู่ในตําแหน่งที่มีความสูงเท่ากับอีกฝ่ายแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ผลซิ่งจื่อเ่าั้เมื่อครู่นี้ อาหังเก็บด้วยตนเองหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังตกตะลึงเป็เวลานาน เขาไม่ได้ตอบกลับ
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง จึงยิ้มสดใสขึ้นเล็กน้อย “หืม?”
เวลาผ่านไปนาน หลี่อวิ๋นหังดูเหมือนจะกลับมามีสติอีกครั้ง เขามีใบหน้าที่สับสน หลังจากครุ่นคิดแล้วจึงค่อยๆ ทำความเคารพโดยกล่าวด้วยเสียงต่ำ “เสด็จพี่”
เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้ม “เ้าเก็บผลซิ่งจื่อจากที่ใด? พาข้าไปดูได้หรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังกล่าวด้วยความเคารพ “ขอรับ”
หลี่อวิ๋นหังหมุนตัวไปที่ด้านข้างเพื่อนำเจียงเฉิงเยว่ไป แต่เมื่อคำนึงถึงมารยาทแล้ว เขาต้องเดินตามหลังองค์รัชทายาท
เจียงเฉิงเยว่เดินหน้าไปตามที่้า
ข้าราชบริพารเ่าั้สองสามคนที่อยู่ด้านหลังรีบไล่ตามมา โดยขันทีชุดสีม่วงรีบขัดจังหวะด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าา...เพิ่งเข้าวังหลิงเซียววันนี้ การเดินทางก็ลำบาก ฝ่าาทรงประชวรอยู่ แม้ว่ายามนี้พระองค์จะดีขึ้นแล้ว อาจไม่เหมาะที่จะเดินทางให้เหนื่อยเกินไป...ค่อยไปวันอื่นดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เจียงเฉิงเยว่ปิดกั้นความคิดนั้นด้วยประโยคเดียว “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เ้าหรือที่บอกว่าข้ากินมากแล้วอาหารอาจไม่ย่อย? ทำไมตอนนี้จะย่อยอาหารไม่ได้กัน? วิหารหลิงเซียวไม่ใหญ่นัก...ข้าเพิ่งเข้ามาอาศัย ให้องค์ชายห้าซึ่งรู้ทางเป็อย่างดีนำเถิด” เขากล่าวโดยไม่สนใจเหล่าข้าราชบริพารที่น่าหนวกหูอีก หันมาหาหลี่อวิ๋นหังด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไปกันเถอะ”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้าเล็กน้อย “ขอรับ”
ทั้งสองคนเดินไปจนสุดทางป่าผลซิ่งจื่อบริเวณรอบนอกวิหารหลิงเซียว หลี่อวิ๋นหังเดินตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ทุกครั้งที่มีทางแยกจะเตือนด้วยโทนเสียงต่ำว่าต้องไปทางไหนด้วยท่าทีที่เคารพและห่างเหินนัก
เจียงเฉิงเยว่เป็บุตรชายคนเดียวยามที่ยังมีชีวิต เขาไม่เคยเกิดในราชวงศ์จึงไม่รู้ว่าพี่น้องในวังจะเข้ากันได้อย่างไร จำได้ว่า่ที่ต้องจากวังมา บรรดาองค์ชายที่อยู่ในวังต่างมาเยี่ยมเยียนตามมารยาท ล้วนยืนอยู่ไกลๆ ถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่าข้าราชบริพารพร้อมกล่าวถ้อยคำเยินยอ
เวลาไม่นานทั้งสองคนมาถึงป่าผลซิ่งจื่อ ่เวลานี้ต้นซิ่งจื่อในป่าเพิ่งปลูกได้ไม่นาน จึงเพิ่งสูงเท่าร่างมนุษย์ กิ่งก้านมีผลซิ่งจื่อสีเขียวกับสีเหลืองห้อยอยู่หลายลูก ผลที่ดูดีถูกหลี่อวิ๋นหังเก็บไปหมดก่อนหน้านี้แล้ว
เจียงเฉิงเยว่เดินรอบต้นไม้เ่าั้สองรอบด้วยรอยยิ้ม “ผ่านไปหลายปี ต้นไม้เหล่านี้จะเติบโตขึ้น...ฤดูร้อนของทุกปีรับประกันได้ว่าจะมีผลซิ่งจื่อให้กินอย่างไม่รู้จบ”
บริเวณด้านหลัง หลี่อวิ๋นหังไม่ได้ส่งเสียง เจียงเฉิงเยว่จึงหันกลับมาสบตา หลี่อวิ๋นหังก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าซาลาเปาที่สวยงามมีความตื่นตระหนกและอึดอัดใจเล็กน้อย
เจียงเฉิงเยว่ขอให้เขาพาไปรอบวิหารหลิงเซียว เมื่อไปรอบๆ แล้ว ทั้งสองจึงกลับไปที่ศาลาก่อนหน้านี้
ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกันที่โต๊ะหินในศาลา เจียงเฉิงเยว่ะโบอกเกี่ยวกับผลซิ่งจื่อ เหล่าข้าราชบริพารไม่มีทางเลือก พวกเขาทำได้เพียงนำจานเคลือบมาวางบนโต๊ะ
เจียงเฉิงเยว่ผู้แสร้งทำเป็องค์รัชทายาทไม่ชอบที่เหล่าข้าราชบริพารติดตามเลยเสียจริง ประการแรกคือถูกเปิดเผยตัวตนง่าย ประการที่สองคือฝืนใจจริงเชียว หลังจากเห็นว่าผลซิ่งจื่อส่งมาถึงแล้ว จึงไล่พวกเขาให้ไปรอนอกศาลา
ก่อนที่เจียงเฉิงเยว่จะเคลื่อนไหว หลี่อวิ๋นหังกลับยื่นมือไปหยิบผลซิ่งจื่อสีเหลืองทองลูกหนึ่งในจานใส่เข้าปากแล้วกัดเบาๆ
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงเล็กน้อยก่อนระบายยิ้ม แล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งลูก จากนั้นกัดไปคำหนึ่งแล้วถอนหายใจ “โอ้ ค่อนข้างหวาน” จากนั้นกวาดสายตาไปโดยรอบ เห็นข้าราชบริพารที่รออยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวก็เปะปาก “ช่างวุ่นวายเสียจริง นี่ก็ไม่อนุญาต นั่นไม่อนุญาต อยากจะกินผลซิ่งจื่อยังต้องไปเดินเล่นก่อน...”
หลี่อวิ๋นหังหลุบตาลงเล็กน้อย บอกด้วยเสียงต่ำ “เสด็จพี่ไม่จำเป็ต้องตำหนิ พวกเขาแค่...กลัวว่าจะมีพิษเท่านั้น”
“หืม?” เจียงเฉิงเยว่ไม่เข้าใจอยู่ชั่วครู่ หลังจากครุ่นคิดภายในใจกลับรู้สึกปวดร้าว
อย่างที่คาดคิด หลังจากที่หลี่อวิ๋นหังกินเข้าไปหนึ่งลูกก็ไม่เคลื่อนไหวอีกเลย บนใบหน้าซาลาเปาเล็กมีความอ้างว้างอยู่
หากกลัวว่าจะมีพิษก็มักจะต้องทำการตรวจสอบก่อน แต่ก็ไม่เหมาะที่จะทำต่อหน้าหลี่อวิ๋นหัง เช่นนั้นจึงต้องหาข้ออ้าง
คนหนึ่งคือองค์รัชทายาทซึ่งเป็โอรสโดยชอบด้วยกฎหมายของจักรพรรดินี อีกคนหนึ่งคือองค์ชายห้าของมารดาผู้เป็นางสนมซึ่งมีฐานะต่ำต้อยและถูกทอดทิ้ง...แม้ว่าจะเป็พี่น้อง มีสายเืของราชวงศ์เหมือนกัน แต่สถานะกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หลี่อวิ๋นหังซึ่งถูกทอดทิ้งมายังที่แห่งนี้อาจเกิดความรู้สึก ‘เกลียดชัง’ อยู่ภายในใจ...ควรระวังตัว หากคำนึงถึงเื่นี้ ย่อมไม่มีอะไรผิดปกติกับสิ่งที่เหล่าข้าราชบริพารกระทำ ยามที่เขาอยู่ในวัง...หากหลี่อวิ๋นเฉินไม่ระมัดระวังเช่นนี้ อาจไม่มีชีวิตอยู่ถึงยามที่ถูกตนร่าง
ราชวงศ์กับขุนนาง ชีวิตที่หรูหรา ยิ่งสูงกลับยิ่งเหน็บหนาว สิ่งที่เรียกว่า ‘สายสัมพันธ์ในครอบครัว’ ไม่ถูกแยแส
ดังนั้น การแสดงออกที่โดดเดี่ยวบนใบหน้าของเด็กน้อยในวันนั้น ภายในปีนั้น และอีกหลายปีหลังจากนั้น ทำให้เจียงเฉิงเยว่รู้สึกปวดร้าวทุกครั้งที่นึกถึง
หลายวันหลังจากนั้น เจียงเฉิงเยว่ยังคง ‘พักฟื้น’ โดยไม่มีอะไรทำ เมื่ออาหารมาถึงก็เปิดปากและยื่นมือออกไป หลี่อวิ๋นหังยังคงฝึกฝนกับอาจารย์ผู้เป็ราชครูของประเทศจงซานทุกวัน ทำเหมือนว่าหลี่อวิ๋นเฉินไม่ได้อยู่ด้วย เมื่อพบกันเป็ครั้งคราวก็ก้มศีรษะและพยักหน้า เอ่ยเรียกด้วยความเคารพคำหนึ่ง “เสด็จพี่”
เื่นี้ทำให้เจียงเฉิงเยว่เริ่มสงสัย หากไม่ใช่เพราะมารยาท อีกฝ่ายอาจไม่มา ‘ขอพบ’ ในวันนั้น และเกรงว่าจะหลบซ่อนอยู่ห่างไกลเสียแล้ว มาคิดดูอีกทีก็ไม่มีอะไรแปลก ชื่อเรียกอย่าง ‘พี่น้อง’ ที่ความจริงแล้วเป็คนแปลกหน้ากัน เขาจะหวังให้เด็กคนนั้นมาสนิทสนมกับตนได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพี่ชายที่ ‘ป่วยและอ่อนแอ’ ผู้ซึ่งมีฐานะเป็องค์รัชทายาท หากไปกระทบหรือััตรงไหนเข้า เช่นนั้นอาจเกิดเื่ราวใหญ่โตกระทั่งคนจำนวนมากหันกลับมามอง เจียงเฉิงเยว่คิดว่าหากเขาเป็หลี่อวิ๋นหัง คงเลือกหลบหนีออกไปให้ไกลสักหน่อย...
อย่างไรก็ตามภายในวิหารหลิงเซียวนี้ นอกจากราชครูกับหลี่อวิ๋นหัง มีศิษย์ผู้ฝึกฝนจำนวนไม่มาก มีเพียงเจียงเฉิงเยว่และข้าราชบริพารหรือ ‘ผู้ดูแลคนป่วย’ เท่านั้น นี่มันช่าง...น่าเบื่อมากเสียจริง!
ไม่ต้องรอให้ถึงหนึ่งเดือน เจียงเฉิงเยว่ใกล้จะสติแตกเต็มที
สิ่งแรกที่ทำให้เขาสติแตกคือการถูกติดตามโดยข้าราชบริพารเ่าั้สิบสองชั่วยามต่อวัน
เพื่อที่จะสลัดพวกเขาออก เจียงเฉิงเยว่จึงตัดสินใจครั้งสำคัญ องค์รัชทายาททรงมีความคิดบางอย่างหลังเสด็จเข้าวิหารหลิงเซียว เขารู้สึกคิดว่าการเร้นกายฝึกฝนเป็ประโยชน์มากที่สุดสำหรับอาการของตนเอง จึงเขียนจดหมายกลับไปยังพระราชวัง กราบทูลฝ่าาให้มีพระราชโองการ พร้อมกราบราชครูเป็อาจารย์ ดังนั้นในฐานะศิษย์ จึงย้ายไปยังเรือนรับรองซึ่งมีกลุ่มลูกศิษย์ผู้ฝึกฝนอาศัยอยู่ เช่นนี้ย่อมไม่สะดวกอีกต่อไปที่จะให้เหล่าข้าราชบริพารมารวมตัวกันเพื่อปรนนิบัติพัดวีตนเองอีก
หลี่อวิ๋นหังผู้น่าสงสารต้องละทิ้งห้องที่รับแสงได้ดีที่สุดที่ตนเคยอยู่ ย้ายไปที่ห้องข้างๆ
เมื่อประสบความสำเร็จในการสลัดข้าราชบริพารกลุ่มนั้นที่คอยดูแลอาการป่วยของตนแล้ว องค์รัชทายาทซึ่งมีฐานะเป็ผู้ฝึกฝนจึงได้พบกับน้องห้าของเขาในวันนี้ หลี่อวิ๋นหังเว้นระยะอย่างมีมารยาท ก่อนเปิดปากเรียกเขาว่า “เสด็จพี่” อยู่หนึ่งคำ
เจียงเฉิงเยว่พูดติดตลก “อา อาหัง แม้ว่าข้าจะเป็เสด็จพี่ของเ้า แต่กลับเข้าสำนักช้ากว่าเ้า เช่นนั้นข้าต้องเรียกเ้าว่า ‘ศิษย์พี่’ หรือไม่?”
ใบหน้าของหลี่อวิ๋นหังที่ถูกบังคับให้แสร้งนอบน้อมตามมารยาทในที่สุดก็ปรากฏรอยร้าว ราวกับมองความไม่สะทกสะท้านของคนโง่เง่า ด้านหลังอีกฝ่ายมีศิษย์อีกคนอยู่ ซึ่งเทียบเท่ากับสหายขององค์ชายผู้เกิดในตระกูลขุนนางนามว่าอิ้นไป่ที่ถูกส่งมาฝึกฝน เมื่ออิ้นไป่เห็นเ้านายของตนไม่สุภาพจึงรีบหัวเราะแล้วกล่าว “ฝ่าาทรงล้อเล่นเสียแล้ว...ฝ่าามีฐานะเป็องค์รัชทายาท สถานะล้ำค่าเพียงใด ย่อมทำให้พวกเรารับไว้ไม่ได้หรอก”
นอกจากทั้งสามคนแล้วที่แห่งนี้ไม่มีใครอื่นอยู่ด้วย ดูเหมือนว่าหลี่อวิ๋นหังไม่้าเสแสร้งอีกต่อไป เขาจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
อิ้นไป่ที่อยู่ด้านหลังขวางไว้ไม่ทัน จึงขออภัยอย่างมีมารยาทต่อเจียงเฉิงเยว่แทน เจียงเฉิงเยว่เกาศีรษะด้วยความลำบากใจ ไม่คาดคิดว่าจะทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา
เื่ตลกที่น่าอึดอัดใจในครั้งนี้ทำให้เจียงเฉิงเยว่รู้ถึงท่าทีที่แท้จริงของหลี่อวิ๋นหังที่มีต่อเขา หลังจากวางมารยาทเ่าั้และละทิ้งสถานะภูมิหลัง เด็กคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่สนิทสนม เกรงว่าจะยิ่งโกรธแค้นอยู่หลายส่วน...ภายหลังครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว เขาคิดว่าที่อีกฝ่ายโกรธแค้นนั้น...ช่างมีเหตุผลยิ่ง การถูกทอดทิ้งไม่ว่าใครก็ไม่สามารถรับได้ นับประสาอะไรกับเด็กกัน
เจียงเฉิงเยว่ไม่พยายามตีสนิทกับอีกฝ่ายอีกต่อไป ทั้งสองคนยังคงรักษาระยะห่างอย่างสุภาพจนกระทั่ง...่คืนเดือนดับ หลังจากที่เจียงเฉิงเยว่ย้ายเข้าไปในเรือนรับรองเป็ครั้งแรก
สำหรับสาเหตุว่าทำไมเจียงเฉิงเยว่ถึงย้ายเข้าวิหารหลิงเซียวตามคำแนะนำของหนีเสวียนเฮ่อ นอกเหนือจากพลังิญญาที่อุดมสมบูรณ์ สถานที่เงียบสงบเหมาะสำหรับการพักฟื้นของเขาฉีหวนแล้ว กลับเป็เพราะความสามารถอันยิ่งใหญ่ของราชครูแห่งประเทศจงซานคนปัจจุบัน ด้านนอกวิหารหลิงเซียวมีเขตอาคมอยู่ชั้นหนึ่ง หากมีเขาอยู่ ความชั่วร้ายมิอาจย่างกรายเข้ามาได้ นับว่าเป็การป้องกันเสริมที่ดี
อย่างไรก็ตาม ่คืนเดือนดับของทุกเดือน แสงจันทร์จะอ่อนลง พลังิญญาจำนวนมากที่เกิดจากแสงจันทร์ย่อมอ่อนแอตามไปด้วย ซึ่งนับเป็เวลาที่ิญญาชั่วร้ายปรากฏตัวได้ง่ายที่สุด เวลานี้เขตอาคมที่พึ่งพิงพลังิญญานอกวิหารหลิงเซียวจึงอ่อนแอลงเช่นกัน จนกระทั่งพลังหยินบุกเข้ามา แม้จะไม่ถึงขั้นที่สิ่งชั่วร้ายทำลายเขตอาคมได้ แต่ท้ายที่สุดพลังหยินเข้ามาแทนที่พลังิญญา ซึ่งเป็อันตรายและไม่เป็ประโยชน์ต่อผู้คนนัก
คนธรรมดาอาจไม่เป็อะไร แต่ร่างกายของหลี่อวิ๋นเฉินที่ถูกประทับตราคำสาปร้อยผีกลืนหัวใจกลับดึงดูดิญญาชั่วร้ายเป็อย่างยิ่ง ทว่าเมื่อมีหยกคู่เพลิงสุวรรณอยู่ในมือ เจียงเฉิงเยว่จึงไม่กังวลแม้แต่น้อย แต่ร่างกายมนุษย์ที่อ่อนแอนี้ ท้ายที่สุดแล้วยังคงได้รับผลกระทบอยู่ ่คืนเดือนดับจึงมักจะนอนกระสับกระส่ายในตอนกลางคืน
เขาพลิกตัวไปมาอย่างยากที่จะหลับ ่กลางดึกกลับได้ยินเสียงหอบหายใจหนักหน่วงที่อดกลั้นของหลี่อวิ๋นหังที่อยู่ห้องข้างๆ อย่างคลุมเครือ ราวกับว่าอดทนกับความเ็ปบางอย่างอยู่ เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงเป็เวลานาน แล้วอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุมเดินไปเคาะประตูเบาๆ เรียกอีกฝ่ายสองสามครั้ง
หลี่อวิ๋นหังที่อยู่ในห้องไม่ตอบ
เจียงเฉิงเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าว “เสียมารยาทแล้ว” พร้อมผลักประตูเข้าไป
------------------------
[1] ตกตะลึงไปจนถึงเทพ์ เป็สำนวน หมายถึง ตะลึงกับความงามจนสั่นะเืไปทั่วฟ้าดิน
[2] เมื่อหลังคารั่ว ฝนจะตกไปอีกหลายคืน เป็สำนวน หมายถึง สถานการณ์ในตอนนี้แย่พออยู่แล้ว แต่กลับมีปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิมเพิ่มเข้ามา