่ระหว่างนี้ หลิวเต้าเซียงกับพี่สาวได้หิ้วซาลาเปากับเกี๊ยวแช่แข็งออกเดินทางไปหมู่บ้านห้าสิบลี้พร้อมกับหลิวซานกุ้ย
ขากลับก็ได้รับของกินห่อใหญ่จากเฉินซื่อกลับมาด้วย ด้านในมีทั้งเมล็ดทานตะวันคั่ว ต้มถั่วลิสง วอลนัทป่า แล้วก็องุ่นแห้ง
สำหรับอาหารเหล่านี้ ระหว่างเดินทางกลับนักชิมหลิวเต้าเซียงแทบไม่หยุดกินเลย
รุ่งเช้าวันที่ยี่สิบแปดค่ำ เดือนสิบสอง เมื่อเปิดประตูออกดู บนพื้นก็มีหิมะทับถมกันหนาเป็ชั้น
หลิวเต้าเซียงสวมเสื้อเหมียนอ๋าวผ้าฝ้ายอุ่นๆ และกางเกงผ้าฝ้ายหนาๆ ซุกตัวอยู่บนเตียงแล้วมองออกไปทางหน้าต่าง
นางเป็กังวลอยู่นานแต่กลับท่องอะไรออกมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว
เดิมทีนาง้าเลียนแบบน้องหลินในนวนิยาย ความฝันในหอแดง [1] ที่ร่ายบทกวีอย่างสวยงาม
คนอื่นเรียนอักษรโบราณได้ร่วมหนึ่งปี ไม่ว่าจะคัมภีร์ตรีอักษร คัมภีร์ร้อยตระกูล และคัมภีร์พันอักษรจนสามารถท่องย้อนหลังได้อย่างไหลลื่น
แต่ใครเล่าจะรู้ว่านางพยายามอยู่นานครึ่งค่อนวัน กลับท่องบทกวีออกมาได้เพียงกลอนเดียว
หลังจากที่คลานอยู่นาน ก็ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจของตนเองแล้วจึงเอ่ย “อา หิมะจ๋า ตกหนักเช่นนี้ อา ์ ช่างหนาวเหลือเกิน”
นางเพิ่งจะทอดถอนใจออกมา ขณะนั้นตรงประตูลานบ้านก็มีเสียงดังขึ้น
“ท่านพี่ ท่านพี่!”
หลิวเต้าเซียงะโไปทางด้านหลัง
“มีอะไรหรือ น้องรอง? เ้าบอกว่ายังขี้คร้านไม่อยากตื่นนี่นา!”
หลิวชิวเซียงคุ้นเคยกับน้องสาวที่มีนิสัยแปลกประหลาด ส่วนใหญ่จึงตามใจนางอยู่ตลอดเวลา
หลิวเต้าเซียงส่ายหัว “อากาศหนาวเกินไป พักเื่นี้ไว้ก่อน เมื่อครู่เหมือนข้าจะได้ยินเสียงป้ารอง”
“ข้าจะไปดู วันนี้ก็วันที่ยี่สิบแปดแล้ว วันมะรืนก็สามสิบ เวลานี้ครอบครัวลุงรองสมควรกลับมาแล้ว”
หลิวชิวเซียงพูดจบก็หันหลังออกไป ส่วนหลิวเต้าเซียงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่เหม่อลอย
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ส่งเสียงไม่อยากจะเชื่อออกมาจากผ้าห่ม “วันที่ยี่สิบแปดแล้วจริงหรือ?”
“จริงครับ!” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดใช้โอกาสนี้ออกมาสร้างความมีตัวตน
“ฉันไม่ได้ถามนาย แล้วก็ ทำไมนายไม่เตือนฉัน โอ๊ย ไก่ของฉัน ไข่ของฉัน ฉันยังขายได้เงินไม่มากพอเลย”
หลิวเต้าเซียงนึกเสียใจ เหตุใดจึงลืมเื่ที่สำคัญที่สุดไปได้
“ไม่ต้องเตือนครับ เซียงเซียงที่รัก หรือไม่ คุณเอาไก่สี่ร้อยตัวนั้นพร้อมกับไข่ที่เหลือแลกกับผม ผมจะส่งมอบให้แล้วจะได้แลกเป็ที่ดินเพิ่มหนึ่งผืน”
เนื่องจากอากาศที่หนาวเกินไป ทั้งหลิวซานกุ้ยและจางกุ้ยฮัวจึงไม่อนุญาตให้นางออกจากบ้าน เดือนนี้หลิวเต้าเซียงจึงไม่ได้เอาไข่ไปขายที่ตำบล
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดจึงแอบดีใจ ในที่สุดเขาก็มีโอกาสเสียที
หลิวเต้าเซียงเป็คนที่มองภาพตามจริง ของเหล่านี้ปล่อยไว้ก็เปล่าประโยชน์ นางจึงยอมยกธงขาวแก่สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ด
ในมือยังมีเงินอยู่สองร้อยกว่าตำลึง นางเองก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินที่ใช้จ่าย
นางกับสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดบรรลุข้อตกลง
หลิวชิวเซียงกลับเข้ามาในบ้านด้วยอาการหนาวสั่น
หลิวเต้าเซียงถามนางด้วยน้ำเสียงบ่นว่า “หิมะตกแล้ว เหตุใดท่านพี่ไม่สวมหมวกบังหน่อย”
“ครอบครัวลุงรองกลับมาแล้วเห็นข้า จึงเรียกข้าไปช่วย” หลิวชิวเซียงปัดหิมะที่อยู่บนตัวแล้วเอ่ย “ป้ารองเองก็กลับมาด้วย”
“วันมะรืนก็ปีใหม่แล้ว ตอนนี้เพิ่งจะกลับมา สิ่งที่ควรทำก็เตรียมหมดแล้ว นางคงคำนวณเวลามาดีแล้วนั่นแล!”
ตำบลเหลียนซานอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านสามสิบลี้ ทั้งที่หลิวซุนซื่อรู้ว่าในบ้านค่อนข้างยุ่ง แต่กลับรอจนถึงวันที่ยี่สิบแปดจึงจะกลับมา ชัดเจนว่าไม่อยากทำงาน
หลิวเต้าเซียงคิดได้ดังนั้นจึงยิ้มอย่างเ็าและเอ่ย “ท่านพี่ ก่อนหน้านี้ท่านไปหัดปักลายใหม่กับป้าหลี่ไม่ใช่หรือ รีบเอามาให้ข้าดูเร็วเข้า”
หลิวชิวเซียงวางมือเล็กๆ ของนางไว้ที่ปากแล้วเป่าลมอุ่น จากนั้นก็เอื้อมไปวางบนหน้าผากของหลิวเต้าเซียง พร้อมกับด่าไปยิ้มไป “เ้าไม่ได้สนใจงานเย็บปัก แล้วยังชอบทำท่าเหมือนรู้เื่อีก”
เพราะว่าทุกครั้งที่หลิวเต้าเซียงเห็นนางเย็บปัก ก็มักจะชี้แนะประหนึ่งผู้รู้
“ท่านพี่ ข้าพูดผิดอย่างนั้นหรือ?”
สำหรับการเทียบสีรวมถึงการเล่นแสงและเงาเหล่านี้ หลิวเต้าเซียงกล้าพนันได้ว่า นางมีความเข้าใจมากกว่าบรรดาช่างเย็บปักในตำบลเหลียนซานแน่นอน
“รู้ว่าเ้าร้ายกาจ ไม่รู้ว่าในสมองของเ้าใส่อะไรไว้บ้าง”
หลิวชิวเซียงยิ้มแย้มและนำงานเย็บปักของตนมาปรึกษาหลิวเต้าเซียง
สำหรับครอบครัวหลิวเหรินกุ้ย พวกนางไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
หลิวเหรินกุ้ยเห็นว่าถึงบ้านแล้วก็สะกดความดีใจไว้ มารดาบอกกับเขาครั้งที่แล้วว่า รอตรุษจีนจะหาโอกาสให้เขากับชุ่ยหลิวได้ต้มข้าวสารให้เป็ข้าวสุก
เมื่อนึกถึงรูปร่างสะโอดสะองและท่วงท่าจริตจะก้านนั้นแล้ว หลิวเหรินกุ้ยก็อารมณ์ดีขึ้นเป็สองเท่า
เขารู้สึกว่าไม่เสียแรงที่หลิวฉีซื่อคือมารดาของตนเอง ช่างเอ็นดูบุตรชายอย่างเขายิ่งนัก
เขาใช้หางตาเหลือบมองไปทางซุนซื่อและแสดงความรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
ชุ่ยหลิวเป็ดั่งสาวแรกแย้มที่สวยเพริศพริ้งละมุน
ส่วนซุนซื่อคือดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาไปตามวัยและหม่นหมอง
ขอเป็เพียงผู้ชายก็คงรู้ว่าสมควรเลือกอย่างไร!
หลิวฉีซื่อได้ยินความเคลื่อนไหวจึงรีบพุ่งออกมา
“ลูกแม่ อากาศหนาวเช่นนี้คงเดินทางไม่สะดวก เ้าคงเหนื่อยมากสินะ มาให้ข้าดูหน่อย”
ถึงอย่างไรก็เป็เืเนื้อของตนเอง หลิวฉีซื่อยังรักและเอ็นดูหลิวเหรินกุ้ยไม่น้อย
สำหรับหลิวซุนซื่อที่กล่าวทักทายอยู่ข้างๆ กลับถูกนางเมินเฉยไปอย่างนั้น
“ชุ่ยหลิว รีบไปต้มชาขิงใส่น้ำตาลในห้องครัวมาให้บุตรชายข้าได้อบอุ่นร่างกายหน่อย”
ในที่สุดหลิวเหรินกุ้ยก็ได้เห็นโฉมงามที่คะนึงหา ดวงตานั้นอยากตะครุบเข้าหาร่างของนางยิ่งนัก
ตอนนี้ในสมองของเขานึกเพียงว่าจะใช้่เวลาสุขสำราญกับชุ่ยหลิวอย่างไรดี
ฝีเท้าของเขานั้นคล้อยตามการเคลื่อนไหวของชุ่ยหลิวอย่างควบคุมไม่ได้
“พ่อของลูก เ้าจะไปไหนนั่น?”
หลิวซุนซื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่นางก็ไม่ได้คิดมาก
“ข้ากระหายน้ำ อยากไปรอดื่มน้ำชาในห้องครัว เ้าไปเอาของที่เรานำมาให้ท่านแม่เร็วเข้า”
เหตุผลที่หลิวเหรินกุ้ยพูดมานั้นสมเหตุสมผลมาก
หลิวซุนซื่อมองตามเงาด้านหลังของชุ่ยหลิวเหมือนจิ้งจอกผู้ระแวง น่าหน่ายใจที่จุดยืนของนางในตระกูลหลิวไม่ได้มั่นคงเช่นแต่ก่อนแล้ว
“ท่านแม่ ด้านนอกหนาว เราเข้าไปคุยกันด้านในเถิด เหรินกุ้ยนั้นนึกถึงท่านแม่อยู่เสมอ แล้วยังซื้อปิ่นปักผมอย่างดีมาให้ท่านแม่ด้วย”
หลิวฉีซื่อนั้นชอบความกตเวทีของบุตรชายยิ่งนัก
เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเดินตามหลิวซุนซื่อเข้าห้องโถงไป
หลิวซุนซื่อหยิบของออกมาจากในห้องแล้วพูดคุยกับหลิวฉีซื่ออยู่สักครู่ เมื่อยังไม่เห็นหลิวเหรินกุ้ยกลับเข้ามา ในใจจึงเริ่มเกิดความผิดปกติ ขณะกำลังคิดจะให้บุตรสาวไปดู เขาก็ปรากฏตัวอยู่หน้าประตูแล้ว
สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงคลานอยู่ตรงขอบหน้าต่างในห้องปีกตะวันตกและแอบซุบซิบกัน
“น้องรอง เมื่อครู่ลุงรองได้ยกปิ่นปักผมทองให้ชุ่ยหลิวจริงๆ หรือ!” หลิวชิวเซียงทำหน้าราวกับเห็นผี
หลิวเต้าเซียงคิดในใจว่าเด็กสาวตรงหน้าช่างน่าสงสาร อายุยังน้อยแต่ทัศนคติสามด้านกลับถูกทำลายหมดสิ้น
“ถูกต้อง!”
“แต่ชุ่ยหลิว...” หลิวชิวเซียงชี้ไปที่ห้องด้านเหนือของปีกตะวันตก นางรู้สึกละอายใจมากที่จะพูดออกมา
นี่มันจะยุ่งเหยิงเพียงใด?
หลิวเต้าเซียงเกาท้ายทอย แล้วเช่นนี้นางจะทำให้เด็กคนนี้ลบล้างทัศนคติสามด้านแย่ๆ เหล่านี้ได้อย่างไร?
“ชุ่ยหลิวเป็คนของท่านย่า นางตามท่านย่ากลับมาวันนั้น ข้าก็รู้สึกตะหงิดๆ อยู่แล้วเชียว เพราะนางสะสวยเกินไป ไม่เหมาะสมที่จะเป็สาวรับใช้”
“เ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลิวชิวเซียงยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ
หลิวเต้าเซียงยิ้มและตอบว่า “ชุ่ยหลิวสวยเกินไป อันที่จริง ต่อไปนางแค่ต้องรับผิดชอบทำตัวเองให้สวยมีเสน่ห์ก็เพียงพอ”
ส่วนหลิววั่งกุ้ยกับหลิวเหรินกุ้ย ต่อไปก็รับผิดชอบหาเงินเพียงอย่างเดียว
“น้องรอง เ้ากําลังพูดถึงอะไรกันแน่?”
หลิวเต้าเซียงเหลือบมองไปที่หลิวชิวเซียง เมื่อเห็นนางทำสีหน้าสงสัย หลิวเต้าเซียงจึงตัดสินใจว่าต้องรีบแก้ทัศนคติสามด้านของพี่สาวตนเองให้กลับมาอยู่ในทำนองคลองธรรม
“ชุ่ยหลิวเป็ชนชั้นต่ำ อืม นางคงเป็คนประเภทที่ปีนขึ้นเตียงเ้านายดังที่กล่าวขานกันในตระกูลใหญ่ เกิดมารูปโฉมงดงามแต่ชะตากรรมกลับไม่ดี ด้วยเหตุนี้จึงไม่ชอบอยู่อย่างสงบ เมื่อไม่อยู่อย่างสงบจึงชอบก่อปัญหา เช่นนี้หลังบ้านจึงไม่สงบ ที่สำคัญคือ ท่านพี่ก็เห็นว่าลุงรองกับอาสี่เราก็เริ่มหวั่นไหวแล้ว”
หลิวชิวเซียงเป็คนที่อยู่แต่ดั้งเดิมมา ความคิดจึงแตกต่างกับหลิวเต้าเซียงพอสมควร ความตระหนักรู้จึงไม่ได้มีสูงนัก
“หากเป็เช่นนี้ ก็เท่ากับสร้างความบาดหมางระหว่างพี่น้องไม่ใช่หรือ? ลุงรองกับอาสี่ต่อไปคงมองหน้ากันไม่ติด”
เมื่อเห็นว่านางจะไปบอกกล่าวเื่นี้กับหลิวฉีซื่อ หลิวเต้าเซียงก็ยื่นมือออกไปห้าม “มองหน้ากันไม่ติดแล้วอย่างไร มองหน้ากันติดแล้วอย่างไร? เื่เหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวกับครอบครัวฝั่งเราแม้แต่น้อย”
หลิวเต้าเซียงใจแข็งยิ่งนัก!
บนหนทางสู่การแยกบ้าน ไม่ว่าจะพระโพธิสัตว์หรือเทพเซียนหน้าไหน หากมาขวางทางก็จะจัดการให้หมด
“แต่ลุงรองกับอาสี่และครอบครัวเรา เป็ครอบครัวเดียวกัน” หลิวชิวเซียงยังคงใสซื่อบริสุทธิ์ไม่น้อย
หลิวเต้าเซียงหัวเราะอย่างเ็า “ครอบครัวเดียวกันหรือ? ท่านพี่ลืมไปแล้วหรือ? ลุงรองกับอาสี่นั้นมองครอบครัวฝั่งเราเป็เช่นไร แล้วหลอกล่อท่านย่าให้เรียกใช้งานครอบครัวเราเหมือนบ่าวรับใช้อย่างไร?”
หลิวชิวเซียงได้ยินดังนั้นจึงนั่งลงอย่างกลัดกลุ้ม “มันคนละเื่กัน ข้าแค่ไม่้าให้ตระกูลหลิวของเรามีเื่ไม่ดีเผยออกไป มันทำให้ครอบครัวฝั่งเราเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย ข้าเคยแอบได้ยินคนในหมู่บ้านบอกว่า หากเื่เช่นนี้ถูกรู้เข้า หญิงสาวในบ้านนั้นก็จะพูดคุยเื่หมั้นหมายได้ยาก”
เื่สกปรกเหล่านี้เป็เื่ที่พบเห็นได้ธรรมดาในบ้านตระกูลใหญ่ ไม่ได้มีบ้านไหนบริสุทธิ์
หลิวเต้าเซียงลืมไปว่าที่นี่คือหมู่บ้านสามสิบลี้ แม้ว่าชาวบ้านจะมีบางส่วนที่ทำเื่ส่วนตัวลับหลังบ้าง แต่ประเพณีวัฒนธรรมส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างเรียบง่าย
ก่อนหน้านี้นางรู้สึกรําคาญเล็กน้อยที่หลิวชิวเซียงอยากเป็คนดี แต่ตอนนี้กลับรู้สึกละอายใจต่อนางอยู่บ้าง
คําพูดของหลิวชิวเซียงมีเหตุผลที่เหมาะสม
“ท่านพี่ เื่มาถึงเช่นนี้แล้ว เรารอดูไปก่อน หากว่าปล่อยไว้ไม่ได้จริงๆ เราค่อยหาวิธีบอกกับท่านย่า”
หลิวเต้าเซียงเชื่อว่าหลิวฉีซื่อพาผู้หญิงคนนี้ออกมาจากจวนตระกูลใหญ่หลังจากที่มีเื่แปดเปื้อน ต้องไม่ยอมปล่อยให้เื่เช่นนี้เกิดขึ้นในตระกูลหลิวแน่นอน
พี่น้องต่อสู้แย่งชิงกันเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียว นี่เป็การตบหน้าหลิวฉีซื่ออย่างแรง
ขณะที่สองพี่น้องกำลังคุยกัน ห้องข้างๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งสองคนสบตากัน แล้วแอบย่องไปทางกำแพงด้านทิศเหนือพร้อมกันโดยไม่ต้องบอก
“คุณชายสี่อยู่หรือไม่?”
เสียงที่ละเอียดอ่อนของชุ่ยหลิวดังขึ้นนอกประตู
“ประตูไม่ได้ปิด เข้ามาได้!”
หลิววั่งกุ้ยภูมิใจในการเป็บัณฑิตของตนเอง ย่อมไม่มีทางทำเื่ราวให้ผู้อื่นจับได้อยู่แล้ว
ทุกครั้งที่ได้แตะเนื้อต้องตัวกัน ชุ่ยหลิวจะเป็คนที่มาถึงที่ก่อนเสมอ
หลิวเต้าเซียงได้ยินเสียงประตูถูกผลักออกแล้วปิดลงอีกครั้ง
“คุณชายสี่ นายท่านรองพานายหญิงรองกลับมาเมื่อครู่ ฮูหยินให้ข้าต้มน้ำขิง บ่าวจึงคิดว่าคุณชายสี่คงอ่านตำราจนถึงดึกดื่น จึงยกมาให้คุณชายดื่มให้ร่างกายอบอุ่นเ้าค่ะ”
หลิววั่งกุ้ยวางตำราในมือลง จากนั้นลุกไปรับน้ำขิงมา เพียงแต่หลังจากที่รับมา ก็แอบลูบััมือของนางเล็กน้อย
เสียงร้องที่อ่อนหวานทำให้คนฟังขนลุกซู่
แต่กลับเป็ผลกับใครบางคนยิ่งนัก หลิววั่งกุ้ยรู้สึกว่ากระดูกนั้นอ่อนระทวย อยากโอบนางมาไว้ในอ้อมกอดเสียให้ได้
แต่เขาก็กลัวว่าจะทำให้โฉมงามตื่นใ
“พี่รองข้ากลับมาแล้วหรือ?”
เสียงของหลิววั่งกุ้ยดังขึ้นเป็ระลอก
“คุณชาย ร้อนมือเ้าค่ะ”
หลิวเต้าเซียงแอบฟังอยู่หลังกําแพง จินตนาการท่าทีเขินอายของชุ่ยหลิวได้ไม่ยาก
นางทอดถอนใจ ชุ่ยหลิวเป็ผู้เชี่ยวชาญด้านการตกผู้ชายเสียจริง
จากนั้นด้านหลังกำแพงก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ไม่รู้ว่าหลิววั่งกุ้ยปลอบชุ่ยหลิวด้วยวิธีอย่างไร
-----
เชิงอรรถ
[1] ความฝันในหอแดง 红楼梦(Hónglóumèng หงโหลวเมิ่ง) เป็หนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนร่วมกับสามก๊ก, ไซอิ๋ว และซ้องกั๋ง (108 วีรบุรุษเขาเหลียงซาน) เป็เื่ราวความรักของหนุ่มสาวในตระกูลมั่งคั่งในระบบสังคมศักดินา เป็นิยายแนว “สัจจนิยม” (Realism) ที่มุ่งสะท้อนความฟอนเฟะของระบบสังคมศักดินา เปิดโปงชีวิตฟุ้งเฟ้อของชนชั้นสูง จึงเป็หนังสือต้องห้ามในยุคนั้น ซึ่งมีตัวเอกชื่อ หลินไต้อวี้ เก่งกาจบทกวี

