“เขียนความประสงค์น่ะ จะหวังสูงเกินตัวไม่ได้นะ เธอต้องอยู่กับความเป็จริง จะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยไหนมันขึ้นอยู่กับว่าสอบได้คะแนนเท่าไร...”
เกาเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงของผู้มีประสบการณ์ตรง เซี่ยเสี่ยวหลานจึงพยักหน้าเออออไปกับเธอ จนเธอพูดจบแล้วถึงได้ทำสีหน้าร้อนรนออกมา “ตายแล้วตายแล้ว ฉันสอบได้ 616 คะแนน ห่างจากคะแนนเต็มอีกตั้ง 70 กว่าคะแนน เลือกมหาวิทยาลัยหัวชิงจะตกอันดับหรือเปล่านะ!”
เกาเฟยรู้สึกว่าตนได้ยินไม่ชัดเจน “เธอสอบได้เท่าไรนะ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานตอบกลับเสียงค่อย ท่าทางกระดากอายเหลือเกิน
“616 คะแนนน่ะค่ะ”
“เป็ไปไม่ได้!”
เกาเฟยโพล่งคำปฏิเสธออกมาทันที เซี่ยเสี่ยวหลานแค่ยิ้มเท่านั้น ชั่วพริบตาเดียวหลังจากรอยยิ้มนี้ ความกระวนกระวายและเอียงอายบนใบหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานก็สลายหายไปหมดสิ้น เธอมองเกาเฟยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณเชื่อหรือไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันด้วย คุณคิดว่าตัวเองเป็หนึ่งในครอบครัวของผู้บัญชาการใหญ่คนไหนกัน ฉันต้องประจบประแจงคุณเพื่ออนาคตโจวเฉิงของฉันรึ? อย่าหน้าด้านขนาดนั้นสิ กินในชามแล้วยังมองในหม้ออีก [1] อยู่ให้ห่างจากผู้ชายของฉันหน่อยนะ!”
เสียงของเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นไม่เบาเลย เกาเฟยโดนต่อว่าจนหน้าขึ้นสีแดงก่ำ อารมณ์โกรธและอับอายระคนปนกัน นิ้วมือสั่นเทาชี้ไปยังเซี่ยเสี่ยวหลานโดยพูดอะไรไม่ออก
เซี่ยเสี่ยวหลานปัดมือของเกาเฟยทิ้งดังเพียะ
เหล่าฟางที่เห็นดังนั้นก็โมโหจัด “โจวเฉิง ที่แฟนนายพูดหมายความว่าอะไร?!”
โจวเฉิงจับมือของเซี่ยเสี่ยวหลานแน่น “เจตนาของเธอก็คือเจตนาของผม! ฟางซื่อจง ผมทนคุณมานานมากแล้วเหมือนกัน ถ้าคุณไม่ยอมรับที่ผมเลื่อนขั้นไวก็ไปพยายามสร้างผลงานเองเสียสิ เอาแต่ยุ่งกับผมทั้งวันไม่หยุดเพื่ออะไร? คุณกระแนะกระแหนผม ผมเห็นว่าคุณาุโงานนานหลายปีถึงไม่ถือสา แต่พวกคุณสองคนยังลามมาเหน็บแนมแฟนของผมอีก ขอบอกพวกคุณไว้อย่างชัดเจน คนรักของผมเก่งกว่าใครทั้งนั้น 616 คะแนน ที่หนึ่งของมณฑลอวี้หนานในปีนี้—ในอนาคตเธอจำเป็ต้องพึ่งผมจัดการเื่งานให้เธอหรือ? เสี่ยวหลานของผมพูดถูก คนบางคนอย่าเทียวไปเทียวมาใกล้ผมบ่อยๆ โดยไม่อายเพียงเพราะถือว่าตัวเองเป็ผู้หญิงเลย!”
อย่าว่าแต่คนที่เหน็บแนมเซี่ยเสี่ยวหลานในวันนี้คือเกาเฟย ต่อให้เป็สมาชิกในครอบครัวของผู้บังคับบัญชาระดับสูงสักคนจริง โจวเฉิงก็ปล่อยให้เซี่ยเสี่ยวหลานถูกกระทำไม่ได้เช่นกัน!
ฟางซื่อจงเป็ใครกันเล่า ตำแหน่งงานก็เทียบเทียมกับเขามิใช่หรือ โจวเฉิงฉีกหน้าฟางซื่อจงทันที
โจวเฉิงเย้ยหยันอย่างไม่รักษาน้ำใจแม้แต่น้อย ทำเอาแก้มที่แดงก่ำจากการกลั้นอารมณ์ของเกาเฟยสั่นสะท้าน ในแววตาของฟางซื่อจงมีความสงสัยปนอยู่ เกาเฟยมักเทียวไปเทียวมาต่อหน้าโจวเฉิงบ่อยครั้งจริงๆ เ้าหนุ่มโจวเฉิงนี่หน้าตาดีเหลือเกิน... ไม่ทันได้ไตร่ตรองให้ดี เกาเฟยก็ปิดหน้าและร้องไห้ออกมา
“เหล่าฟาง เธอพูดจาเหลวไหล!”
พูดเหลวไหลหรือไม่ ฟางซื่อจงทำได้เพียงพิจารณาด้วยตนเอง พวกเขาปะทะคารมกันต่อหน้าคนอื่นๆ เสียด้วย ฟางซื่อจงจะยอมให้ผู้คนหัวเราะเยาะไม่ได้เด็ดขาด เขากำหมัดแน่นเพื่อจะพุ่งเข้าไปต่อยโจวเฉิง ทว่าโจวเฉิงไม่หลบเลยด้วยซ้ำ
คนอื่นๆ ปล่อยให้ฟางซื่อจงลงมือกับโจวเฉิงไม่ได้แน่นอน พวกเขาจึงเข้าไปรัดตัวฟางซื่อจงไว้แน่น
“โจวเฉิง แกมันไอ้ชั่ว ฉัน X แก... อุ๊บ...”
คนของฟางซื่อจงปิดปากของเขาได้อย่างทันท่วงที ในหน่วยแต่ละหน่วยค่อนข้างหยาบคายกันเป็ธรรมดา บางครั้งการด่าคำหยาบแสดงถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิด แต่จะด่าคนอื่นในเวลาแบบนี้ไม่ได้ ถ้าทั้งสองวางมวย คนส่วนใหญ่ในหน่วยงานจะพากันครหา
เซี่ยเสี่ยวหลานดึงมือของโจวเฉิงไว้
“ช่างเถอะ ครั้งนี้โฉมหน้าจริงของพวกเขาเผยออกมาแล้ว เราไม่ควรไล่ต้อนศัตรูที่จนตรอก! เธอดูสิ ยิ่งพวกเขาตอบโต้แรง ยิ่งยืนยันว่าพวกเขาร้อนตัว คนอย่างพวกเขาสองคนนี้ จะต้องรักใคร่ปรองดองกันตลอดไปแน่นอน”
เซี่ยเสี่ยวหลานปากร้ายไม่ใช่ย่อยจริงๆ เกาเฟยมิอาจอยู่ตรงนี้ได้อีกต่อไปแล้ว เธอปิดหน้าปิดตาร้องไห้ก่อนจะวิ่งหนีไป
ฟางซื่อจงร้องเอะอะโวยวายจะไปหาผู้บังคับบัญชาหน่วยเพื่อพิพาทกับโจวเฉิง เื่นี้ยังไม่ถือว่าสิ้นสุดสำหรับพวกเขา!
ตอนแรกโจวเฉิงรู้สึกโกรธ ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจับจุดปฏิกิริยาของสองคนนั้นได้ถูกต้องทั้งหมด โจวเฉิงจึงรู้สึกขำขันเพราะเซี่ยเสี่ยวหลาน
เซี่ยเสี่ยวหลานมาที่หน่วยงานของโจวเฉิงสองครั้ง และมีเื่เอิกเกริกทั้งสองครั้ง!
ครั้งแรก พี่สะใภ้คนนี้ใจกว้างยิ่งนัก อีกทั้งสวยและเป็มิตร
ครั้งที่สอง พี่สะใภ้คนนี้ฝีปากสุดยอดเสียจริงๆ ทำเอาภรรยาของหัวหน้าฟางร้องไห้ได้ภายในไม่กี่ประโยค
แต่คนส่วนใหญ่ในหน่วยงานกลับไม่ชังเซี่ยเสี่ยวหลานเสียนี่
มีคนเห็นสถานการณ์ ณ ตอนนั้นมากมาย เกาเฟยช่างน่ารำคาญยิ่งนัก พล่ามไร้แก่นสารไม่มีจบสิ้น โดยใช้ข้ออ้างว่าห่วงใย ความจริงแล้วก็แค่ใช้ประโยชน์ที่ตนเองเป็คนท้องถิ่นของปักกิ่ง เป็นักศึกษามหาวิทยาลัย ถึงมีหน้าที่การงานจริงจังได้ไม่ใช่หรือ? มาหน่วยงานเมื่อไรก็วนเวียนรอบตัวหัวหน้าโจว หยิ่งยโสต่อคนธรรมดาในสังกัด ท่าทางไม่เคารพใครทั้งสิ้น
และในคราวนี้ โดนคนรักของโจวเฉิงฉีกหน้าจนเจ็บแล้วสินะ!
มีเพียงเธอที่เป็นักศึกษารึ?
คนรักของหัวหน้าโจวก็เป็นักศึกษาเหมือนกัน และคนเขายังเป็ถึงบัณฑิตเกาเข่าเสียด้วย ทั้งยังจะศึกษาในมหาวิทยาลัยหัวชิง ไม่เห็นวางมาดทะนงตนขนาดนั้นดั่งเช่นเกาเฟยเลย
ด่าได้ดี ด่าได้น่าประทับใจ สุดยอดฝีปากที่ต้องสรรเสริญ!
แน่นอน เมื่อมีคนรักก็ย่อมมีคนเกลียดชัง มีคนกลุ่มน้อยที่ไม่ยอมรับการถูกเลื่อนตำแหน่งั้แ่ยังหนุ่มของโจวเฉิงเช่นกัน คนกลุ่มนี้ย่อมอาศัยโอกาสนินทาโจวเฉิงกับเซี่ยเสี่ยวหลานว่าวางอำนาจ... จะพูดก็พูดไปเถอะ ทั้งสองคนไม่ได้ยินอยู่ดี
และต่อให้เข้าหูเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ใส่ใจ จะทำให้ทุกคนบนโลกใบนี้พึงพอใจได้หรือ เธอไม่ใช่ต้าถวนเจี๋ยเสียด้วย ที่ทุกคนล้วนชื่นชอบ
กลับมาที่ห้องแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานถึงรู้สึกผิด
“ฉันเห็นเขาพูดเยิ่นเย้อแล้วมันน่าหงุดหงิดมาก ด่าเขาไปแบบนี้จะทำให้เธอเดือดร้อนหรือเปล่า?”
โจวเฉิงตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ “จะเกิดปัญหาอะไรได้ ต่อให้เธอไม่ด่า ฉันก็ทนไม่ไหวหรอก!”
ทางหน่วยงานจะเรียกเขาไปตำหนิบ้างอย่างแน่นอน แต่โจวเฉิงไม่สนโดยสิ้นเชิง ฟางซื่อจงไม่เพียงไม่เก่งกาจทว่าจิตใจยังคับแคบอีกด้วย โจวเฉิงไม่อยากทำงานร่วมกับเขามาตั้งนานแล้ว ปัจจุบันทั้งสองมีตำแหน่งเทียบเท่ากัน ทว่าจะไม่เทียบเท่ากันตลอดไปแน่นอน และโจวเฉิงมีความมั่นใจว่าอีกสักสองปีเขาก็สามารถทิ้งฟางซื่อจงไว้ข้างหลังได้
ไล่คนน่ารำคาญไปแล้ว โจวเฉิงเองก็รู้สึกปลอดโปร่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือภรรยาของเขาอยู่ตรงหน้านี้ โจวเฉิงเคยฝ่าขุนเขาแห่งคมดาบและทะเลเพลิงมาแล้วด้วยซ้ำ ถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิไม่กี่ประโยคจะเป็อะไรไป
“เสี่ยวหลาน จู่ๆ เธอก็โผล่มา เธอไม่รู้หรอกว่าฉันดีใจมากขนาดไหน วันนี้เป็วันเกิดของเธอ ฉันไปอยู่กับเธอไม่ได้ แถมยังให้เธอมาหาฉันอีก... เธอดีกับฉันเหลือเกิน!”
เซี่ยเสี่ยวหลานยุ่งเพียงใด โจวเฉิงรู้ดี
ความยุ่งนี้มีสาเหตุมาจากเขาครึ่งหนึ่ง เพื่อเขา เซี่ยเสี่ยวหลานถึงยื่นเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหัวชิง ในขณะที่ธุรกิจกลับอยู่ในเผิงเฉิง เห็นได้ชัดว่า้าจัดการธุระที่เผิงเฉิงให้เรียบร้อยก่อนเปิดเรียนไม่ใช่หรือ
ทั้งที่ยุ่งมากขนาดนี้ เสี่ยวหลานก็ยังมาถึงปักกิ่ง ภรรยาที่รักต้องคิดถึงเขาเหมือนกันแน่ๆ
โจวเฉิงจะจับมือของภรรยา เซี่ยเสี่ยวหลานชักมือขวากลับโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ และส่งมือซ้ายให้โจวเฉิงกุมแทน
“ฉันยังไม่ได้จัดการเธอเลยนะ บอกแล้วไม่ใช่รึว่าห้ามให้ของขวัญราคาแพง ทว่าเธอกลับให้คังเหว่ยพาฉันไปเลือกรถ!”
จริงอยู่ที่การซื้อรถเป็เื่ดี เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็อยากซื้อรถเช่นกัน แต่รถส่วนตัวยังไม่ใช่ความจำเป็อันดับหนึ่งในตอนนี้ เธอไม่ได้เกลียดที่โจวเฉิงดีต่อเธอมาก ทว่าเธอทั้งปลาบปลื้มและรู้สึกเป็กังวล
หากเธอขับรถที่โจวเฉิงซื้อให้ไปเตร็ดเตร่ในปักกิ่ง คนในครอบครัวโจวเฉิงจะมองเธออย่างไร อันที่จริงดูจากทัศนคติของลูกพี่ลูกน้องโจวเฉิงก็พออธิบายทัศนคติของคนอื่นในครอบครัวโจวเฉิงได้ เซี่ยเสี่ยวหลานยินดีซื้อนาฬิกาข้อมือราคาหลักพันให้โจวเฉิง แต่ไม่้ารับของขวัญมูลค่าสูงจากโจวเฉิง เธอแค่มีความรัก ทว่ายังต้องถูกคนอื่นเหยียดหยามว่าเธอไม่คู่ควรกับโจวเฉิงอีก เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าช่างเป็เื่น่าละเหี่ยใจไม่น้อย
เมื่อครู่เกาเฟยโชคร้ายเอง ‘ความขุ่นเคือง’ ต่อโจวเฉิงของเซี่ยเสี่ยวหลาน มากกว่าครึ่งหนึ่งนั้นถูกสาดใส่อีกฝ่ายเสียแล้ว
โจวเฉิงด่าคังเหว่ยในใจเป็ร้อยรอบ เขารู้อยู่แล้วว่านี่เป็ความคิดที่ไม่เข้าท่า
“ฉันแค่เห็นว่าเธอเดินทางไปที่ไหนก็ไม่สะดวกหากไม่มีรถ แต่ถ้าเธอไม่ชอบเราก็ไม่ซื้อ ส่วนเงินสำหรับซื้อรถฉันจะเก็บไว้เฉยๆ ให้เธอตลอด ตกลงไหม! ของขวัญที่ฉันเลือกให้เธออยู่ตรงนี้แล้วล่ะ”
โจวเฉิงเปิดลิ้นชัก ก่อนที่จะหยิบกล่องใบหนึ่งออกมา
“เป็ของขวัญวันเกิดของเธอ และแสดงความยินดีที่เธอสอบติดมหาวิทยาลัยหัวชิงล่วงหน้าด้วย!”
ปากกาหมึกซึมมงต์บลอง [2] สีขาวหนึ่งด้ามนอนนิ่งอยู่ภายในกล่อง ของสิ่งนี้ราคาไม่ย่อมเยาเช่นกัน ทวเซี่ยเสี่ยวหลานกลับดีใจมาก แรกเห็นสีก็รู้ทันทีว่าเลือกให้หญิงสาว นี่ไม่ใช่การกระทำอวดร่ำรวยไร้สาระเฉกเช่นให้คังเหว่ยพาเธอไปซื้อรถ แต่คือสิ่งที่โจวเฉิงตระเตรียมไว้เป็อย่างดีั้แ่แรก และเลือกด้วยความพิถีพิถัน
เห็นเซี่ยเสี่ยวหลานถือปากกาไว้ในมือไม่ยอมปล่อย โจวเฉิงดีใจไม่น้อยไปกว่ากัน
“เสี่ยวหลาน ฉันอยากพาเธอกลับไปที่บ้าน กินข้าวสักมื้อกับพ่อแม่ฉัน แนะนำเธอกับพวกท่านสักหน่อย เธอจะยินดีไหม?”
เชิงอรรถ
[1]吃着碗里的看着锅里的 กินในชาม มองในหม้อ หมายถึง โลภมาก
[2]万宝龙 มงต์บลอง คือ แบรนด์ผู้ผลิตสินค้าชั้นสูงจากเยอรมนี แรกเริ่มก่อตั้งผลิตสินค้าประเภทเครื่องเขียน นาฬิกาข้อมือ เครื่องหนัง ภายหลังขยายประเภทของสินค้าไปยังน้ำหอม เครื่องประดับสตรี โดยปากกาหมึกซึมคือสินค้าสร้างชื่อที่สุดของมงต์บลอง