โม่ฮว่าเหวินลืมตาขึ้นเห็นบุตรสาวยกอาหารมาด้วยตนเองก็มองอย่างงุนงง สายตาเคลื่อนจากตัวนางมายังจานอาหารในมือ ชามหนึ่งเป็โจ๊กใสและยังมีแตงกวาดองกับไก่เจเปรี้ยวหวานอีกอย่างละหนึ่งจานเล็ก ทั้งหมดล้วนเป็อาหารที่เขาชอบทั้งสิ้น ดวงตาเลื่อนจากอาหารมาที่ใบหน้าของโม่เสวี่ยถงอีกครั้ง ความสลดหดหู่ซัดสาดในหัวใจ
ถงเอ๋อร์กับลั่วเสียหน้าตาคล้ายกันแท้ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทางยกจานอาหารเข้ามาแบบนี้ เมื่อหวนรำลึกถึงจึงพบว่าที่แท้สตรีที่ไม่อยู่แล้วผู้นั้นสลักอยู่ในเบื้องลึกของหัวใจลึกซึ้งเพียงใด หากหญิงสาวผู้นุ่มนวลอ่อนโยนผู้นั้นยังอยู่ ก็คงลงครัวทำอาหารด้วยตนเองมาให้แต่เช้าตรู่เยี่ยงนี้เช่นกัน
หลังจากซ่อนความคะนึงไว้ภายใต้ก้นบึ้งดวงตา โม่ฮว่าเหวินก็วางมือลงจากเอกสารแล้วทักถาม “ถงเอ๋อร์ มาได้อย่างไร พ่อมิได้เป็อันใดหรอก เพียงแค่กินไม่ลงเท่านั้น”
โม่เสวี่ยถงยิ้มพรายพร้อมเดินเข้ามา จัดการย้ายกองเอกสารของโม่ฮว่าเหวินออกไป แล้วยกชามอาหารตั้งโต๊ะ ส่งตะเกียบให้โม่ฮว่าเหวินพลางพูดจาออดอ้อนอย่างน่ารัก “ท่านพ่อไม่ยอมกินข้าว แล้วถงเอ๋อร์จะไม่มาได้อย่างไร ลองชิมอาหารฝีมือของถงเอ๋อร์สิเ้าคะ ว่าอร่อยหรือไม่”
“อาหารเหล่านี้ถงเอ๋อร์ทำเอง?” โม่ฮว่าเหวินไม่บ่ายเบี่ยง มือหนึ่งรับตะเกียบมา อีกมือก็ลูบศีรษะของโม่เสวี่ยถงอย่างรักใคร่ ถงเอ๋อร์ของเขาโตเป็ผู้ใหญ่แบบนี้ั้แ่เมื่อไรกัน ทั้งยังรู้ความอีกด้วย
“เ้าค่ะ ท่านพ่อรีบชิมเร็วๆ สิเ้าคะ เย็นแล้วเดี๋ยวไม่อร่อย” โม่เสวี่ยถงยิ้มพราย ลากเก้าอี้มานั่งเท้าคางจดจ้องอยู่ฝั่งตรงข้าม ปากก็คะยั้นคะยอไม่หยุด “ถงเอ๋อร์จะเฝ้าท่านพ่อกินข้าวอยู่ตรงนี้ อีกประเดี๋ยวบ่าวของท่านพ่อเข้ามาจะได้ไม่มาบ่นกับถงเอ๋อร์”
เมื่อเห็นรอยยิ้มพริ้มเพราน่ารักยิ่งของบุตรสาว ความอึดอัดในใจของโม่ฮว่าเหวินก็คลายลง ซดโจ๊กเข้าไปคำหนึ่งก่อนเอ่ยถามอย่างขำๆ
“บ่นอะไรหรือ”
โม่เสวี่ยถงทำมุ่ยปากยื่นออกมา เหลือบตามองโม่ฮว่าเหวินทีหนึ่ง ก่อนพูดอย่างกระเง้ากระงอด “บ่นว่ามีอาหารมาเพิ่มแต่ไม่มีใครกิน ลำบากเขาต้องมาช่วยจัดการอีก วุ่นวายจริงๆ เขาต้องต่อว่า คุณหนูสามฝีมือการทำอาหารย่ำแย่ แม้กระทั่งนายท่านก็ยังกินไม่ลง”
พอคำพูดนี้กล่าวออกมา โม่ฮว่าเหวินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ะเิเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ ยกชามโจ๊กขึ้นมาพุ้ยเข้าปากอีกหลายคำ ทั้งยังกินแตงกวากับไก่เจอีกหลายชิ้น “อาหารที่ถงเอ๋อร์ทำจะไม่อร่อยได้อย่างไร นี่เป็กับข้าวที่อร่อยที่สุดเท่าที่พ่อเคยกินมาเลย”
“จริงหรือเ้าคะ” โม่เสวี่ยถงเหลือบมองแล้วค้อนควักอย่างไม่อยากเชื่อ ท่าทางน่ารักจนคนเห็นใจละลาย ยิ่งทำให้อารมณ์ดีขึ้นหลายส่วน
“แน่นอนที่สุด ในสายตาพ่ออาหารของถงเอ๋อร์ถูกปากที่สุดแล้ว” หัวใจของโม่ฮว่าเหวินเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูบุตรสาว ยามนี้ทั้งซดทั้งกินอาหารคำโต แสดงให้เห็นว่าโจ๊กและอาหารเหล่านี้ถูกปากเขาจริงๆ แต่ยามหยุดมองแตงกวาที่ทั้งกรอบและหวาน แววตากลับครึ้มลงเล็กน้อย ค่อยๆ วางมือลงแล้วเอ่ยถาม “ถงเอ๋อร์ทำโจ๊กและอาหารเหล่านี้เป็ั้แ่เมื่อไร”
อย่างน้อยยามที่เขาจากอวิ๋นเฉิงมา ถงเอ๋อร์ก็ยังเป็คุณหนูผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำอะไรไม่เป็สักอย่าง
“เมื่อก่อนเห็นท่านแม่ชอบทำกับข้าวสองอย่างนี้ให้ท่านพ่อ ต่อมาท่านแม่ล้มป่วยจึงไม่มีอารมณ์จะทำอีก ตอนที่ถงเอ๋อร์อยู่เมืองอวิ๋นเฉิงคนเดียว ยามที่คิดถึงท่านพ่อท่านแม่ ตอนค่ำก็จะแอบทำมานั่งกินคนเดียว ทุกครั้งที่ได้เห็นอาหารเหล่านี้ก็จะรู้สึกเหมือนว่าท่านพ่อท่านแม่อยู่ข้างกาย”
โม่เสวี่ยถงก้มหน้าลง น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือสะอึกสะอื้น แต่พอรู้สึกตัวก็สูดจมูก เงยหน้าขึ้นแย้มยิ้มผลิบานตระการตา “ก็เหมือนตอนนี้อย่างไรเล่า เห็นท่านพ่อกินโจ๊กที่ถงเอ๋อร์ทำก็รู้สึกมีความสุขมากแล้ว ไม่เสียใจสักนิดเ้าค่ะ”
แม้ปากจะเอ่ยว่าไม่เสียใจ แต่ดวงตากลับฟ้องถึงความขื่นขมในหัวใจอย่างชัดเจน
โม่ฮว่าเหวินหัวใจบีบรัด รู้สึกเ็ปราวกับถูกควักหัวใจ มือที่ถือชามข้าวอยู่บีบแน่นจนเห็นเส้นเืปรากฏออกมา บุตรสาวของเขาทั้งเฉลียวฉลาดและรู้ความถึงเพียงนี้ จะเป็เด็กจิตใจอำมหิตคิดเอาชีวิตคน ทำเื่บีบคั้นมารดารองให้ถึงที่ตายได้อย่างไร เื่ในตอนนั้นจะต้องมีคนสร้างสถานการณ์ให้ตนเองเข้าใจผิดว่าเป็ฝีมือของถงเอ๋อร์แน่
“ถงเอ๋อร์ เด็กดี ต่อไปพ่อจะไม่ทิ้งถงเอ๋อร์ไว้ที่ไหนคนเดียวอีกแล้ว” โม่ฮว่าเหวินวางชามลม ระงับความแคลงใจอย่างยิ่งยวดภายใต้เบื้องลึกของหัวใจไว้ ก่อนเอ่ยถ้อยคำอ่อนหวานปลอบโยนบุตรสาว
“ถงเอ๋อร์ทราบแล้วเ้าค่ะว่าท่านพ่อรักถงเอ๋อร์ที่สุด” โม่เสวี่ยถงหยิบผ้าแพรขึ้นมาซับน้ำตา แล้วเงยหน้าขึ้น ใบหน้าพริ้มเพราไร้เดียงสาหยักยกมุมปากขึ้นยิ้ม ลุกขึ้นเดินมายืนอยู่ข้างกายโม่ฮว่าเหวิน จับแขนเสื้อของเขาแล้วกล่าวทักท้วง “วันนั้นท่านพ่อสัญญาไว้ว่าจะไปส่งถงเอ๋อร์ที่บ้านท่านตา ห้ามคืนคำนะเ้าคะ”
“เอาล่ะๆ รอครั้งหน้าเ้าไปบ้านท่านตา พ่อจะไปส่งแน่นอน” โม่ฮว่าเหวินใจอ่อนยวบ ยื่นมือไปลูบศีรษะของบุตรสาว รู้สึกเพียงว่ายามนี้ต่อให้นาง้าพระจันทร์ที่อยู่บนท้องฟ้า ตนเองก็จะไปเด็ดลงมาให้
ขณะที่คุยกันโม่ฮว่าเหวินก็กินโจ๊กไปเกือบหมดแล้ว เมื่อวางชามลง บ่าวรับใช้ก็วิ่งเข้ามารายงาน “นายท่าน มีบ่าวชายคนหนึ่งแอบหนีออกไปทางประตูหลังขอรับ”
“หนีไปั้แ่เมื่อไร” โม่ฮว่าเหวินตกตะลึงลุกขึ้นทันที สีหน้าย่ำแย่ในพริบตา
“ั้แ่เช้ามืดขอรับ ได้ยินว่าสาวใช้สองคนที่เฝ้าประตูทะเลาะกันด้วยเื่เล็กน้อย จนไม่ได้สังเกตว่ามีคนลอบออกไปจากจวน บังเอิญท่านพ่อบ้านมีธุระจะออกไปข้างนอกพอดี เห็นเขาทำท่าทางลับๆ ล่อๆ วิ่งออกไป เื่จึงแดงขึ้นมาขอรับ”
“แล้วคนล่ะ”
“ได้ยินว่าพ่อบ้านรวบรวมคนออกไปตามหาแล้วขอรับ แต่คนหายตัวไปนานแล้ว”
“ตามต่อไป ส่งคนไปจับตัวกลับมาให้ข้า” โม่ฮว่าเหวินโกรธจัดหายใจฟึดฟัด นั่นเป็เื่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยามนี้ผู้จัดการควบคุมภายในจวนไม่ใช่ฟางอี๋เหนียง ฉิงอี๋เหนียงกับโม่อี๋เหนียงเป็สตรีนุ่มนวล ไม่มีความเด็ดขาดในการจัดการบ่าวไพร่ชายหญิง เมื่อคืนเกิดเื่แบบนี้ขึ้น เช้ามาตนเองกำลังเตรียมตัวไปปิดข่าวเื่นี้ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนลอบหนีออกไปแล้ว แล้วจะไม่ให้โม่ฮว่าเหวินคิดมากได้อย่างไร
“ท่านพ่อ...” โม่เสวี่ยถงสีหน้าตื่นตระหนกไม่รู้จะทำอย่างไร ดวงตางดงามได้แต่จ้องบิดาอย่างอึ้งงัน
“ถงเอ๋อร์ เ้ากลับไปที่เรือนก่อน พ่อยังมีธุระต้องไปจัดการ” ยามนี้โม่ฮว่าเหวินไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรทั้งสิ้น เมื่อคืนโม่เสวี่ยิ่มีเื่ในวังหลวง จะให้คนนอกรู้ไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าเมื่อคืนผู้ที่รู้เื่จะมีจำนวนไม่น้อย แต่เช้าตรู่เยี่ยงนี้ ตนเองยังไม่ตื่น บ่าวรับใช้ในจวนส่วนใหญ่ก็ตื่นแล้ว หากอยากรู้เื่ก็ไม่นับว่าเป็เื่ยากเกินไป
หากเื่นี้แพร่งพรายออกไปภายนอก ชื่อเสียงของโม่เสวี่ยิ่คงไม่เหลือแล้ว
แม้ว่าโม่ฮว่าเหวินจะโกรธบุตรสาวคนโตเพียงใด ก็ไม่ปรารถนาให้นางต้องถูกทิ้งร้างอยู่ในสำนักนางชี สวดมนต์ไหว้พระใต้แสงตะเกียงหม่นด้วยความระทมไปชั่วชีวิต
“เช่นนั้นลูกขออำลากลับก่อนเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงหันไปสั่งให้โม่อวี้เข้ามาเก็บชามและตะเกียบ แล้วเดินออกจากห้องหนังสือไป
โม่ฮว่าเหวินเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ หลังจากวนอยู่สองสามรอบก็หยุดเท้าหันมาถามบ่าวรับใช้ที่อยู่เบื้องหน้า “บ่าวที่หนีไปมีความเกี่ยวข้องอันใดกับคุณหนูใหญ่หรือไม่”
หากไม่ใช่ ไม่น่าจะหนีออกไปในเวลาแบบนี้ บ่าวที่หนีออกจากจวนหากถูกจับได้จะต้องถูกลงโทษขั้นรุนแรง ถึงขั้นกล้าฝ่าฝืนกฎร้ายแรงหนีออกไปข้างนอกเช่นนี้ แสดงว่าต้องมีเื่ใหญ่เกิดขึ้น และเมื่อคืนก็มีเพียงเื่ของโม่เสวี่ยิ่เท่านั้น
“คนผู้นั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ... แม่นางโม่จิ่นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูใหญ่ขอรับ” บ่าวชายหวาดกลัวจนเหงื่อไหลท่วมศีรษะ แต่จำเป็ต้องพูด เื่นี้แม้ไม่มีมูลความจริง แต่ในกลุ่มบ่าวไพร่ก็เล่ากันมาเช่นนั้น ได้ยินว่าทั้งสองคนมีใจให้กัน เล่นหูเล่นตากันมาหลายหนแล้ว
“โม่จิ่น? สาวใช้ที่ครั้งนี้ไม่ได้กลับมาด้วยน่ะหรือ” พอโม่ฮว่าเหวินนึกถึงสาวใช้ประจำตัวของโม่เสวี่ยิ่ ก็กระทืบเท้าด้วยความโมโห ฟางอี๋เหนียงดูแลเรือนชั้นในอย่างไร แม้แต่สาวใช้ประจำตัวของบุตรสาวลักลอบทำเื่ชู้สาวก็ยังไม่รู้เื่ ครานี้โม่ฮว่าเหวินโกรธฟางอี๋เหนียงจนแทบกระอักทีเดียว
“ใช่ขอรับ นายท่าน” บ่าวชายตอบด้วยความหวาดกลัว
“ไป! ตามไปจับตัวมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ใครจับบ่าวที่หนีไปได้ให้รางวัลยี่สิบตำลึงเงิน ตีให้ตายได้สิบห้าตำลึงเงิน” โม่ฮว่าเหวินแววตาดุร้ายฉายชัด รู้ว่าครั้งนี้ใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด
หากเกี่ยวข้องกับโม่จิ่น เื่นี้จะใจดีไม่ได้เด็ดขาด เมื่อคืนโม่จิ่นไม่ได้กลับมาด้วย โม่เสวี่ยิ่บอกว่าโม่จิ่นตายเพราะทรยศนาย แล้วก็ไม่เอ่ยถึงเื่อื่นๆ อีก ตอนนั้นเขามัวแต่โมโหเื่ของบุตรสาว จึงไม่คิดสอบถามให้ชัดแจ้ง บัดนี้จึงรู้ว่าสาวใช้ผู้นั้นยังมีบิดามารดาที่ตนเองต้องบอกกล่าวให้รู้
“ขอรับ นายท่าน” บ่าวชายรู้ว่านี่เป็เื่เร่งด่วน จึงลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปอย่างรีบร้อน
…
เรือนหลีหวา
ฟางอี๋เหนียงสีหน้าเขียวคล้ำ ขว้างปาแจกันกระเบื้องเคลือบล้ำค่าลงพื้นไปหลายชิ้น ร้อนใจจนทนไม่ไหววิ่งออกมาจากเรือน แต่ถูกหลี่มามากอดรั้งตัวไว้อย่างเอาเป็เอาตาย
“อี๋เหนียงไปไม่ได้นะเ้าคะ หากท่านออกไปโวยวาย ชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่คงไม่เหลือแล้วจริงๆ”
“ไม่ได้ ิ่เอ๋อร์เกิดเื่แบบนี้ขึ้น ไม่ว่าอย่างไรข้าต้องไปดูนาง ไปถามนายท่านให้รู้เื่ว่าจะจัดการอย่างไร ไม่ว่าคนที่นังแพศยานั่นแอบลักลอบคบกันอยู่ หรือแม้แต่บิดามารดาของนางก็สมควรจับตัวมาให้หมด” ฟางอี๋เหนียงโมโหจนตาถลน แต่ก็รู้ดีว่าตนเองไม่อาจบุ่มบ่ามออกไป จึงได้แต่ด่าทอด้วยความฉุนเฉียว
“อี๋เหนียง นายท่านต้องช่วยคุณหนูใหญ่แน่เ้าค่ะ คุณหนูใหญ่เป็ดั่งดวงใจ นายท่านจะปล่อยให้นางเกิดข้อผิดพลาดได้อย่างไร” หลี่มามาพยายามเกลี้ยกล่อม แต่หัวใจกลับรู้สึกขื่นขม เมื่อก่อนคุณหนูใหญ่เป็แก้วตาดวงใจของนายท่านจริงๆ ทว่านับั้แ่คุณหนูสามกลับมา บุตรสาวผู้เป็ที่โปรดปรานที่สุดในจวนก็ไม่ใช่คุณหนูใหญ่อีกต่อไป
แต่ตอนนี้ไม่เกลี้ยกล่อมคงไม่ได้ หากฟางอี๋เหนียงออกไปก่อเื่อะไรขึ้นจริงๆ ผลสุดท้ายคนที่ต้องรับโทษย่อมเป็ตนเอง
“ครั้งนี้ิ่เอ๋อร์คิดอย่างไรกันแน่ ไฉนจึงไปเกี่ยวข้องกับวังหลวงได้ มิหนำซ้ำยังถูกฮองเฮาตัดหางปล่อยวัดอีก บอกนางว่าอย่ากระทำการบุ่มบ่าม มีอะไรให้รอคนสกุลอวี้เข้ามาเมืองหลวงก่อนค่อยว่ากัน ก็รอไม่ไหวไปล่วงเกินฉู่อ๋อง ตอนนี้เป็อย่างไร แม้แต่ชื่อเสียงก็ถูกทำลายหมดแล้ว” ฟางอี๋เหนียงแค้นใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็เหล็กกล้าดั่งใจหมาย
เมื่อคืนนางถูกโม่ฮว่าเหวินลากไปนั่งคุกเข่าพร้อมกับโม่เสวี่ยิ่ ถูกด่าสาดเสียเทเสียจนเืสุนัขท่วมศีรษะ ฟังโม่ฮว่าเหวินถ่ายทอดเื่ราวต่อมาจากขันที จึงพอรู้เื่นี้โดยคร่าวๆ ตอนนั้นน้ำท่วมปากพูดไม่ได้ ยามนี้รู้สึกหวาดหวั่นจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว สับสนว้าวุ่นไปหมด
“อี๋เหนียงอย่าร้อนใจไปเลย สกุลอวี้จะเข้าเมืองหลวงมาวันสองวันนี้แล้ว อี๋เหนียงสามารถขอผ่อนผันจากนายท่านออกไปต้อนรับขับสู้ได้ พี่สาวของอี๋เหนียงก็มา จะได้ช่วยออกความคิด สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ถึงเวลาอี๋เหนียงก็เชิญพวกเขามาช่วยกันคิด แต่ตอนนี้อี๋เหนียงยังถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนหลีหวาออกไปไม่ได้ ร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์”
“พวกเขาจะมาถึงเมื่อไร” ฟางอี๋เหนียงค่อยสงบใจได้
“ได้ยินว่าระยะทางอยู่ห่างจากที่นี่อย่างมากก็ใช้เวลาสองวันเ้าค่ะ และยังเดินทางมาพร้อมกับสกุลฉิน อำนาจของทั้งสองสกุลรวมกันยังสูงกว่านายท่าน ถึงเวลานายท่านย่อมถูกกดดันจนต้องปล่อยอี๋เหนียงออกไปแน่ ด้วยสติปัญญาของอี๋เหนียง ไม่แน่ว่าอาจยังมีทางพลิกสถานการณ์ได้” หลี่มามาออกความคิดเห็น
“เดี๋ยวเ้าออกไปดูทางคุณหนูใหญ่ ข้ากลัวว่าิ่เอ๋อร์จะทนรับเื่ราวครั้งนี้ไม่ไหว หากมีอะไรเกิดขึ้น เ้าต้องรีบมารายงานข้าทันที” ฟางอี๋เหนียงค่อยสงบลงมา แต่ยังไม่วางใจ
หลี่มามารับคำสั่งแล้วยังดูสถานการณ์ที่เรือนฝูฉิง
โม่ฮว่าเหวินส่งคนออกมาช้าเกินไป ไม่ถึงครึ่งวัน ภายนอกก็มีข่าวลือแพร่ออกไปทั่วว่าคุณหนูใหญ่จวนโม่ก่อเื่ไร้ยางอายคิดปีนเตียงฉู่อ๋อง ผู้คนซุบซิบนินทาอย่างออกรสราวกับตนเองอยู่ในเหตุการณ์ขณะที่คุณหนูใหญ่กับฉู่อ๋องแอบพลอดรักกัน นอกจากนี้ยังมีคนขุดคุ้ยเื่เก่าขึ้นมาแฉว่า คุณหนูใหญ่ผู้นี้เคยแอบนัดพบเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อที่วัดเป้าเอิน
เมื่อมีคนกล่าวเื่นี้ขึ้น ก็มีคนมาสนับสนุนว่าสาวใช้ที่เป็ผู้ส่งถุงหอมวันรุ่งขึ้นก็เสียชีวิตอยู่ในห้อง แม้บอกว่าเป็การฆ่าตัวตาย แต่ใครเล่าจะเชื่อ!
กว่าโม่เสวี่ยิ่จะได้ยินข่าวนี้ก็เป็ยามมะเมียแล้ว ทันทีที่ได้ยินโม่ซิ่วเอ่ยถึงก็ตัวเย็นเฉียบ วิ่งไปที่หน้าประตูเรือน ยืนเหม่อคล้ายสติหลุดลอยไปอยู่เป็เวลานาน รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
โม่ซิ่วกลัวว่านางจะไม่สบาย จึงเดินเข้าไปกระซิบ “คุณหนู กลับไปพักผ่อนก่อนเถิดเ้าค่ะ นายท่านต้องช่วยคุณหนูจัดการเื่นี้แน่”
กล่าวจบก็เข้ามาประคองผู้เป็นาย จึงพบว่าตัวนางร้อนจี๋ อารามร้อนใจฉวยมือของนางขึ้นมาจับ กลับพบว่ามือของนางเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้