เฉินเทียนหยูหมดสติไปแล้ว แต่มู่หรงฉิงไม่มีเวลาชื่นชมยินดี ฝ่ามือของเขาชกจ้าวจื่อซินถึงกับกระอักเื ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าจ้าวจื่อซินได้รับาเ็ภายในอย่างแสนสาหัส!
เด็กสาวเดินไปยังด้านข้างจ้าวจื่อซินด้วยท่าทีอ่อนแรง ส่วนจ้าวจื่อซินก็นั่งขัดสมาธิด้วยท่าทางคล้ายกำลังสูดลมหายใจลึกเพื่อสงบความโกลาหล
มู่หรงฉิงไม่กล้ารบกวนจ้าวจื่อซิน นางเป็ผู้เรียนทักษะการต่อสู้เช่นเดียวกัน แม้ว่าหมัดของนางจะยังไม่ถึงระดับสูงขั้นนั้น แต่นางรับรู้ว่าในเวลานี้นางไม่ควรรบกวนจ้าวจื่อซิน เนื่องจากจ้าวจื่อซินมีแนวโน้มที่จะขาดสติสูงมาก
ไม่กล้ารบกวนจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงเลื่อนสายตาไปมองเฉินเทียนหยูที่นอนแผ่บนพื้น เฉินเทียนหยูไม่ได้มีลักษณะท่าทางเช่นคนโง่งมอย่างปกติ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้มีลักษณะที่น่ากลัวเช่นยามคลุ้มคลั่ง แม้เขาจะมีใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดา ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนลืมเลือนความดุร้ายอันน่าหวั่นกลัวของเขาได้
ฆ่าเขา! ใช้โอกาสในเวลานี้ฆ่าเขา ตราบใดที่ฆ่าเขา เ้าก็จะไม่ถูกคุกคามอีกต่อไป!
ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นมาในสมองของนาง และมู่หรงฉิงก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเริ่มเต้นแรง
ใช่แล้ว! มันเป็่เวลาที่ดีมาก ตราบใดที่ฆ่าเขา เ้าก็จะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างหวั่นกลัวอีกต่อไป และหลังจากเ้าฆ่าเขาและหลบหนี เ้าก็จะสามารถไปหาพี่ชายใหญ่ของเ้าได้
คิดได้ดังนั้นก็หันไปมองดาบยาวของจ้าวจื่อซินซึ่งวางอยู่บนพื้นด้านข้าง มู่หรงฉิงชักดาบออกมาคล้ายกับมีผีเข้าสิงโดยไม่รู้ตัว...
ดาบยาวเคลื่อนเข้าไปใกล้เฉินเทียนหยู แต่มู่หรงฉิงกลับหวนนึกถึงค่ำคืนที่นางรู้ความจริง
ในค่ำคืนนั้น ด้วยฤทธิ์ยาคลายร้อยพิษ ส่งผลให้กำลังภายในของนางเพิ่มขึ้นอย่างมาก เดิมทีนาง้าใช้โอกาสนี้จากไป แต่นางไม่คิดเลยว่า ด้านนอกจวนจะมีผู้มีวรยุทธ์สูงคอยเฝ้าปกป้องเป็จำนวนมาก
นางสรุปได้ว่าผู้มีวรยุทธ์สูงที่อยู่ในจวนเ่าั้เป็คนของอนุหนิง เหตุใดอนุหนิงถึงได้จัดแจงให้ผู้มีวรยุทธ์สูงเฝ้าอยู่ด้านนอกจวนจำนวนมากเช่นนั้น? เพื่อป้องกันไม่ให้นางหลบหนี? หรือว่าเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครบุกรุกเข้าไปในจวน?
แม้นางจะมีทักษะการต่อสู้แต่ด้วยทักษะการต่อสู้ของนาง อนุหนิงคงไม่ถึงกับต้องให้ความสำคัญเช่นนั้น ความเป็ไปได้ที่เหลือคือการป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาในจวน
ทว่าสำหรับพื้นที่ในเขตเมืองหลวง อนุหนิงจำต้องป้องกันตัวจากใครกัน? ใน่เวลานั้นมีความเป็ไปได้ว่าผู้ใดจะเข้าไปในจวนกระนั้นหรือ?
หลังผนวกกับสิ่งที่นางค้นพบในค่ำคืนนั้น มู่หรงฉิงก็เชื่อมโยงเื่ราวถึงคนที่เป็ลมหมดสติอยู่ตรงหน้า ส่งผลให้ดาบยาวในมือของนางหยุดชะงักอย่างกะทันหันทั้งที่อยู่ในระยะห่างจากเฉินเทียนหยูเพียงแค่นิ้วเดียว
เฉินเทียนหยูถูกทำร้ายจากการร่วมมือกันของอนุหนิงและแม่รองเฉิน อนุหนิงจะต้องกังวลถึงเฉินเทียนหยู หรือกังวลว่าจ้าวจื่อซินจะไปหานางที่จวนเพื่อสอบถาม นั่นเป็สาเหตุให้อนุหนิงจัดแจงผู้มีวรยุทธ์สูงจำนวนมากมาคอยคุ้มกัน!
แม้วรยุทธ์ของเฉินเทียนหยูจะสูง แต่เขาก็สามารถเผยวรยุทธ์ที่ลึกซึ้งได้ก็ต่อเมื่อเขาคลุ้มคลั่งเท่านั้น และแม้จ้าวจื่อซินจะมีวรยุทธ์ไม่สูงเท่าเฉินเทียนหยู แต่ถ้าจำเป็ต้องเข้าไปในจวนเพื่อสืบสวน ย่อมต้องส่งจ้าวจื่อซินเข้าไป ด้วยสาเหตุดังกล่าวก็จำต้องจัดแจงคนเ่าั้เพื่อขัดขวางจ้าวจื่อซิน
ความคิดเ่าั้ส่งผลให้มู่หรงฉิงก็กล้าจินตนาการว่า อนุหนิงเป็พวกเดียวกันกับแม่รองเฉิน แม้นางจะไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของจ้าวจื่อซิน แต่กระนั้นเขาก็อยู่เคียงข้างเฉินเทียนหยูในจวนเฉิน และแม่รองเฉินก็ค่อนข้างหวาดระแวงจ้าวจื่อซิน
พวกอนุหนิงหวาดระแวงจ้าวจื่อซิน พวกนางย่อมต้องหวั่นกลัวเฉินเทียนหยูขณะคลุ้มคลั่งเป็อย่างมาก นั่นก็หมายความว่า นางสามารถใช้เฉินเทียนหยูให้เป็ประโยชน์ได้
“ทำไม่ได้?”
ในขณะที่ความคิดของมู่หรงฉิงหมุนเวียนเป็ร้อยตลบ เสียงอันเ็าก็ดังขึ้นข้างใบหูของนาง
นางกะพริบตาไม่กี่หนก็เห็นจ้าวจื่อซินอยู่ในระยะประชิด จึงเป็สาเหตุให้นางเผลอปล่อยมือด้วยความใ และทันใดนั้นดาบก็ตกลงไป จะพูดว่าสายเกินไปก็ไม่ใช่ เมื่อเห็นว่าดาบกำลังจะทิ่มแทงคอของเฉินเทียนหยู จ้าวจื่อซินจึงยกมือขึ้นและคว้าดาบเก็บเข้าไปในฝัก การเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็ไปอย่างราบรื่นและลื่นไหล โดยเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงหายใจเข้าออก
จ้าวจื่อซินยังมีท่าทีเ็าแต่สิ่งที่เขาพูดทำให้มู่หรงฉิงสั่นเทา “ถ้าดาบของเ้าเข้าใกล้เขาเพียงเล็กน้อย ข้าจะปลิดชีพเ้า!”
ได้ยินหรือไม่ น้ำเสียงเยียบเย็นอะไรเช่นนั้น คำพูดก็ช่างเ็าเสียนี่กระไร
มู่หรงฉิงรู้สึกโชคดีที่เมื่อหลายอึดใจก่อน นางคิดไตร่ตรองมากมาย นางถึงไม่ได้กลายเป็ศพเนื่องจากความคิดเพียงชั่ววูบ
“เ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจที่สามารถหนีจากเตียงไปที่ประตูได้” เมื่อจ้าวจื่อซินยกเฉินเทียนหยูขึ้นจากพื้นแล้ววางลงบนเตียง เขาได้พูดประโยคดังกล่าวด้วยท่าทีไม่จริงจัง
มู่หรงฉิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเขาจะมีประสบการณ์เช่นนี้มามากแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีใครเสียชีวิตบนเตียงนี้มาก่อนหรือไม่?
“ในบรรดาอนุแปดคนก่อนหน้า มีสองคนเสียชีวิตบนเตียงในคืนแต่งงาน” หลังจากพูดจบ จ้าวจื่อซินก็หันศีรษะไปมองมู่หรงฉิงด้วยใบหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม เดิมทีสีหน้าของเด็กสาวก็ซีดขาวอยู่แล้ว ประโยคนั้นจึงส่งผลให้ใบหน้าของนางซีดเผือดมากขึ้น “แต่... ไม่ใช่บนเตียงนี้!”
เ้าสารเลว!
ความเมตตาที่เขาช่วยนางเมื่อครู่ก่อน กลับกลายเป็ความหงุดหงิดซึ่งพวยพุ่งขึ้นมาอีกหนเพราะการล้อเล่นของจ้าวจื่อซิน
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เลวเช่นนี้? จะต้องเห็นนางหน้าซีดอย่างหวาดกลัวถึงจะมีความสุขใช่หรือไม่?
มู่หรงฉิงก่นด่าในใจ แต่จ้าวจื่อซินกลับทรุดตัวลงนั่งข้างโต๊ะก่อนรินน้ำหนึ่งแก้ว และดื่มครึ่งหนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดต่อ “เฉินเทียนหยูเป็อัจฉริยะ ไม่ว่าจะในด้านทักษะการต่อสู้หรือในแวดวงการค้า เขาก็ไม่เคยทำให้ขาดทุน ทักษะการต่อสู้ครึ่งหนึ่งของเขามาจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง และอีกครึ่งหนึ่งมาจากสมองอันเฉลียวฉลาดมีไหวพริบของเขา
“เฉินเทียนหยูชอบเที่ยวเตร่ไปทั่ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง เป็หญิงที่มีความคิดคล้ายๆ กัน และพวกเขาก็ได้สาบานว่าจะรักกันตลอดไปตราบเท่าขุนเขาและทะเลยังคงอยู่ภายในระยะเวลาอันสั้น
“ในคืนก่อนที่เฉินเทียนหยูจะพาผู้หญิงคนนั้นกลับจวนเฉินเพื่อเตรียมงานแต่งงานอันยิ่งใหญ่ เฉินเทียนหยูได้หายตัวไปโดยปราศจากร่องรอย จนกระทั่งสามวันถัดมาก็พบว่าเฉินเทียนหยูอยู่ในวัดผุพังแห่งหนึ่ง
“ทว่าเฉินเทียนหยูผู้ซึ่งเพิ่งถูกค้นพบคนนั้น ไม่มีสมองอันฉลาดอีกต่อไป คุณชายผู้มีพร์อันหยิ่งผยองกลายเป็คนโง่งมที่รู้แค่ยิ้มโง่ๆ เท่านั้น!”
“ั้แ่นั้นมาจวนเฉินก็ตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่ในวันที่สิบของการค้นพบเฉินเทียนหยู ผู้หญิงที่เคยสาบานว่าจะมีชีวิตอยู่และตายพร้อมกับเฉินเทียนหยู กลับหันไปตกหลุมรักเฉินเทียนฉี พี่ชายแท้ๆ ของเฉินเทียนหยู”
“เหอะ เหลือเชื่อใช่หรือไม่?” สีหน้าของมู่หรงฉิงแสดงออกถึงความใ ทว่าจ้าวจื่อซินยังคงมองนางด้วยรอยยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “นี่คือความรักที่สาบานกันว่าจะปกป้องจวบจวนวันตาย นี่คือความรักที่ชาวโลกบอกว่าจะไม่เปลี่ยนใจจนชั่วฟ้าดินสลาย”
เมื่อต้องเผชิญกับคำประชดประชันในความรักของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงกลับไม่มีคำพูดใดๆ
ใช่แล้ว ความรักหรือ? แท้ที่จริงแล้ว ความรักคืออะไรกัน? ท่านย่าบอกว่าท่านแม่ของนางได้ตัดขาดสายสัมพันธ์กับครอบครัวที่ให้กำเนิดเพื่อท่านพ่อ แต่แล้วท่านพ่อล่ะ? แต่แล้วท่านพ่อของนางกลับหลอกใช้ท่านแม่มาั้แ่แรก!
“แล้วเกิดอะไรขึ้นในภายหลังหรือ? จวนเฉินย่อมไม่เห็นด้วยกับการให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่กับพี่ชายใหญ่ของเขาใช่หรือไม่?” มู่หรงฉิงไม่้าสนทนาในประเด็นตึงเครียดเ่าั้ จึงเปลี่ยนเข้าประเด็นสำคัญอีกหน
“แน่นอนว่าไม่เห็นด้วย แต่เฉินเทียนฉีคนโง่คนนั้นกลับใช้ความตายมาข่มขู่” มู่หรงฉิงฉีกยิ้มอีกหน นางรู้สึกว่าจ้าวจื่อซินมีความเหมือนกันกับนางที่ไม่เชื่อในความรัก นางทำเพื่อท่านแม่ของนางแล้วเขาล่ะ? “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
“แต่เดิมความโง่เขลาของเฉินเทียนหยูก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ท้อแท้และสิ้นหวัง มิหนำซ้ำ เฉินเทียนฉียังมาข่มขู่ว่าจะฆ่าตัวตายอีก เขาย่อมได้รับในสิ่งที่เขาปรารถนา แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าในวันแต่งงานระหว่างเฉินเทียนฉีกับผู้หญิงคนนั้น เฉินเทียนหยูเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา ท่าทางคลุ้มคลั่งของเขาคล้าย้าจะปลิดชีพผู้หญิงคนนั้นกับเฉินเทียนฉี วันงานมงคลเกือบจะกลายเป็งานศพ ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าเฉินเทียนหยูไม่อาจทนเห็นหญิงผู้เป็ที่รักแต่งงานกับคนอื่น จึงมีอาการคลุ้มคลั่ง เฉินเทียนฉีจนปัญญาถึงได้หอบข้าวหอบของจับมือผู้หญิงคนนั้นย้ายออกจากเมืองหลวงไปที่จงโจว”
“จงโจวหรือ?” มู่หรงฉิงเปล่งเสียงถามขึ้นโดยไม่รู้ตัว “เป็เพราะบ้านของผู้หญิงคนนั้นอยู่ในจงโจวใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว” ผู้พูดชายตามองมู่หรงฉิงอย่างชื่นชม จ้าวจื่อซินพบว่ามู่หรงฉิงฉลาดหลักแหลมจริงๆ นางสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้มาก คล้ายกับยิงนกหนึ่งตัวได้นกถึงสามตัว
มู่หรงฉิงเงียบนิ่ง หลังจากได้รับคำยืนยัน
ทั้งหมดนี้เป็เื่บังเอิญหรือไม่? หรือเป็แผนการร้าย?
ท่านแม่ประสบเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อสามปีที่แล้ว และเฉินเทียนหยูก็ประสบเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อสามปีก่อนเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดีผู้หญิงคนนั้นก็เป็ชาวจงโจว!
จงโจวเป็บ้านเกิดของอนุหนิง!
มู่หรงฉิงเงียบ แต่ความเงียบนิ่งของนางทำให้ดวงตาของจ้าวจื่อซินซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเป็ประกาย
“นั่นคือผลไม้อะไรหรือ?” หลังจากเงียบนิ่งไปนาน มู่หรงฉิงก็เอ่ยคำถามออกมาในท้ายที่สุด
ถ้าเป็เมื่อก่อน มู่หรงฉิงคงไม่อาจรับรองได้ว่าผลไม้นั้นมีพิรุธ ทว่าในเวลานี้นางมั่นใจว่าผลไม้ชนิดนั้นต้องมีพิรุธ แต่อย่างไรก็ตามนางไม่อาจรับรองได้ว่าผลไม้นั้นมีปัญหาอะไร
“ผลไม้นิรนาม!” จ้าวจื่อซินรินน้ำชา การเคลื่อนไหวของเขาคล้ายว่าเขากำลังระบำดาบ มู่หรงฉิงมองจ้าวจื่อซินและความสงสัยของนางก็ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น
จ้าวจื่อซินไม่ใช่ยามเฝ้าบ้านธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน และมากไปกว่านั้นเขาไม่ใช่คนใช้ จวนของขุนนางระดับสูงย่อมมีองครักษ์จากฮ่องเต้คอยปกป้องอยู่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่จวนของสามัญชนผู้ร่ำรวยธรรมดาทั่วไปย่อมทำได้เพียงเชิญผู้มีทักษะยุทธ์มาอารักขาเท่านั้น สังเกตจากรูปร่างหน้าตาของจ้าวจื่อซิน ดวงตาอันเ็า ใบหน้าไม่แยแส โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีที่ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อื่นเช่นนั้น เหมือนกับยามอารักขาทั่วไปเสียที่ไหน
มู่หรงฉิงรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า นางจะต้องระวังตัวจากจ้าวจื่อซินให้มากขึ้นถึงจะถูก
“ผลไม้นิรนามหรือ?” หลังจากเก็บความคิดเ่าั้ มู่หรงฉิงก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “มันคืออะไรหรือ?”
“ไม่รู้” มู่หรงฉิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดสองคำของจ้าวจื่อซิน เขาหมายความว่าอย่างไร? เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แต่ทำไมเขาถึงให้เฉินเทียนหยูด้วยความวางใจเช่นนั้น?
“ั้แ่ผู้หญิงคนนั้นออกจากเมืองหลวง เฉินเทียนหยูก็คลุ้มคลั่งเป็ครั้งคราว ถ้าเขามีสติ ทักษะของข้าก็ไม่ต่างจากเขามากนัก แต่เมื่อเขาคลุ้มคลั่ง ทักษะของเขาก็คล้ายะเิออกมาทั้งหมด ข้าหยุดเขาได้เพียงครั้งเดียว แต่เป็เื่ยากที่จะหยุดเขาในครั้งที่สอง กระทั่งในที่สุดเมื่อเขาคลุ้มคลั่ง เขาก็พรวดพราดออกจากจวนเฉินและวิ่งเข้าไปในป่าลึก ่ที่พวกเรากำลังตามหาเขา จู่ๆ ก็พบว่าเขากำลังเก็บผลไม้ในป่าและกินมันอย่างมีความสุข ด้วยเหตุการณ์ในคราวนั้น ทำให้ค้นพบว่าตราบเท่าที่มีผลไม้ชนิดนี้ เขาก็สามารถสงบสติลงได้”
“แต่ทำไมเขาถึงได้คลุ้มคลั่งรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เมื่อได้กลิ่นผลไม้นั่น?” มู่หรงฉิงได้ฟังก็ประหลาดใจ ไม่นึกไม่ฝันว่าในใต้หล้ายังมีสิ่งเ่าั้อยู่ด้วย
“เนื่องจากไม่เคยเห็นผลไม้นั้นมาก่อน นายท่านเฉินไม่กลัวว่าผลไม้นั่นจะมีปัญหาหรือ?”
“ต้นของผลไม้นั่นซ่อนอยู่ในป่าลึก มีคนจำนวนน้อยมากที่จะไปที่นั่น หลังจากนายท่านรู้ถึงผลไม้ชนิดนั้น นายท่านก็ลองกินด้วยตัวเอง และยังขอให้หมอผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวงศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลไม้ชนิดนั้นด้วย หลังจากยืนยันว่าผลไม้ไม่มีปัญหา นายท่านก็ส่งคนสนิทไปดูแลต้นของมัน รับรองได้ว่าคุณชายรองจะสามารถกินผลไม้นั้นได้สี่ฤดูตลอดทั้งปี”
“สี่ฤดูตลอดทั้งปีหรือ?” มู่หรงฉิงประหลาดใจอีกหน “ผลไม้อะไรกัน สามารถให้ผลได้ถึงสี่ฤดูตลอดทั้งปี?”
“และนี่ก็เป็เอกลักษณ์เฉพาะของผลไม้นิรนาม” จ้าวจื่อซินหันไปหาเฉินเทียนหยูที่นอนราบอยู่บนเตียง และความเศร้าโศกในดวงตาของเขาก็ส่องประกาย “ฮูหยินเฉินกล่าวว่า นั่นเป็เพราะเหล่าทวยเทพบน์รักและเวทนาสิ่งที่เฉินเทียนหยูพบเจอ จึงตั้งใจปลูกผลไม้นี้เพื่อปลอบโยนเฉินเทียนหยู”
เหอะ! ตลกสิ้นดี ถ้ามีเหล่าทวยเทพจริงๆ เหตุใดนางจะต้องประสบกับเหตุการณ์เ่าั้ด้วย?