อูิโยวตามพี่สาวกลับไป่เย่าถัง ฝั่งหลิ่วไป๋เจ๋อกว่าจะถึงชิงหลิ่วถังก็บ่ายคล้อยแล้ว ทันทีที่เดินเข้าคฤหาสน์ หลิ่วเฉิงเฟิงก็ออกมาขวางหน้า
“ท่านทิ้งข้าออกไปคนเดียวอีกแล้ว”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่อยากเถียงกับเขา จึงเดินผ่านไปยังสวนหลังเรือน
“พี่จิ่วฟางเป็อย่างไรบ้าง”
เมื่อเห็นใบหน้าหม่นหมองของหลิ่วไป๋เจ๋อ หลิ่วเฉิงเฟิงจึงไม่ต่อปากต่อคำอีก
“เขาเพิ่งกินข้าวเที่ยงและกินยา ตอนนี้นอนหลับไปแล้ว”
ขณะที่หลิ่วไป๋เจ๋อกำลังจะเปิดประตู คนอายุน้อยกว่าพลันเข้ามาขวางไว้
“เดี๋ยวก่อน มีอีกเื่ที่ข้ายังไม่ได้บอก”
“เื่อะไร”
“เมื่อยามซื่อ [1] มีชายคนหนึ่งมาที่นี่ บอกว่าเป็คนของตระกูลหลาน มาพบหลานหุ่ยผู้ดูแลตระกูลหลานแล้วกลับไปพร้อมกัน ก่อนจะไปได้ขอให้ข้าบอกท่านพ่อและท่านว่า หลายวันที่ผ่านมาต้องขอโทษที่รบกวน จากนั้นข้าก็ออกไปส่งและนำชาเขียวคุณภาพดีสองสามห่อจากห้องชงชาของท่านพ่อมอบให้ ขอให้พวกเขามอบแก่ท่านผู้นำตระกูลหลาน ถือเป็ของขวัญต้อนรับสำหรับการเดินทางมายังเมืองหลวง นอกจากนั้น ข้า…”
หลิ่วเฉิงเฟิงก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเหมาะสมแล้วหรือไม่
หลิ่วไป๋เจ๋อเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมบนศีรษะอีกฝ่าย เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เ้าทำได้ดีมาก ดีกว่าที่ข้าคิดเสียอีก!”
“จริงหรือ”
หลิ่วเฉิงเฟิงเงยหน้าทันที ดวงตาเป็ประกายระยิบระยับ
“ใช่ ในภายภาคหน้าเ้าสามารถสืบทอดชิงหลิ่วถังได้ ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่พี่เชื่อในตัวเ้า”
หลิ่วเฉิงเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิ่วไป๋เจ๋อถึงเอ่ยออกมาเช่นนั้น ทั้งที่เห็นอยู่ว่าตนเองเป็บุตรชายคนโตของตระกูล ความสามารถในทุกๆ ด้านก็เด่นกว่าเขาเป็ไหนๆ
“หลิ่ว… หลิ่วไป๋เจ๋อ ข้ารู้ว่าท่านแค่ให้ความหวัง แต่ข้าก็ยังอยากพูด ไม่ว่าจะตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิ่วหรือโอกาสที่จะได้เป็ศิษย์สำนักิเก๋อ ในภายภาคหน้าข้าไม่มีทางยอมแพ้และไม่ได้คาดหวังให้มอบมันให้ เพียง้าแข่งกับท่านอย่างยุติธรรม”
หลิ่วไป๋เจ๋อขมวดคิ้วจนเป็ปม ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร หลิ่วเฉิงเฟิงก็หันหลังวิ่งหนีไปจากสวนหลังเรือน
เขาถอนหายใจอย่างอับจน เปิดประตูเดินเข้าไปและยืนข้างเตียงที่จิ่วฟางเทียนฉีนอนอยู่ อีกฝ่ายมองผู้มาเยือนด้วยความเห็นใจโดยไม่รู้เลยว่าคนผู้นั้นเมินเฉยต่อความรู้สึกตน
“ตอนเด็กข้าเคยอ้อนวอนท่านพ่อให้มีน้องชายให้ ข้าจะได้ไม่ต้องเล่นคนเดียวและไม่โดดเดี่ยวอีก แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ข้าดีใจจริงๆ ที่ตระกูลจิ่วฟางมีข้าเป็บุตรเพียงคนเดียว”
“เ้าระรื่นดีใจอะไรกัน” หลิ่วไป๋เจ๋อนั่งลง ก่อนจะโยนกล่องผ้าใบหนึ่งให้จิ่วฟางเทียนฉี “ท่านผู้นำตระกูลหลานฝากของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มามอบให้”
ผู้รับโยนกล่องนั้นไปด้านข้างและเอ่ยขึ้น “ข้าดีใจที่ไม่มีคนมาคอยแข่งขันแย่งชิงกับข้า ช่างดีเหลือเกิน”
“เพื่อความปรองดอง หากไม่ต่อสู้ไม่แข่งขันก็คงดี ทว่าหากไม่เป็เช่นนั้นก็ไม่เป็ไร ไม่อย่างนั้นคงขาดความน่าสนุกไป”
จิ่วฟางเทียนฉีหัวเราะเสียงดัง ะเืไปถึงาแจนต้องกัดฟัน “หากเ้าเด็กเฉิงเฟิงได้ยินที่เ้าเอ่ยเมื่อครู่ แล้วไม่อยากฟาดเ้าคงจะแปลก”
“เขาไม่กล้าหรอก!”
ได้ยินดังนี้จิ่วฟางเทียนฉีก็ส่งเสียงจิ๊ๆ แต่ไม่ได้คัดค้านอะไร
หลิ่วไป๋เจ๋อชี้ไปยังกล่องผ้าใบนั้นและพูดว่า “เ้าไม่สงสัยหรือว่าตระกูลหลานให้อะไร”
จิ่วฟางเทียนฉีมุ่ยปากและเปิดมันออก กล่องไม้ถูกห่อด้วยผ้า ด้านในกล่องมีไม้ท่อนเล็กๆ สีดำวางอยู่ หน้าตาช่างอัปลักษณ์ ดูไม่ได้เลยสักนิด
“เหอๆ ผู้นำตระกูลหลานช่างใจกว้างเสียจริง”
หลิ่วไป๋เจ๋อยื่นมือไปัั จิ่วฟางเทียนฉีเองก็ไม่ได้ห้าม ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่อาจเดาได้ว่านี่คืออะไร จิ่วฟางเทียนฉีจึงหัวเราะและเอ่ยขึ้น
“ในยามปกติเ้าคงไม่ได้ใช้ของชิ้นนี้หรอก ดังนั้นคงไม่จำเป็ต้องรู้ว่ามันคืออะไร ถ้าเ้าอูิโยวอยู่ที่นี่ คงจะรู้ในทันที”
“มันคือสิ่งใด ยาหรือ” หลิ่วไป๋เจ๋อคาดเดา
จิ่วฟางเทียนฉีโบกมือและพูดว่า “ไม่ใช่ยา แต่เป็ของดีที่แม้แต่หมอก็แสวงหาไม่ได้”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ใช่คนขี้สงสัย แต่คำพูดของอีกฝ่ายช่างแปลกประหลาด ทำให้เขาอยากจะสำรวจเ้าสิ่งนี้
“ขอนไม้ดำ ข้าไม่รู้ว่าพี่หลิ่วเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่!”
ขอนไม้ดำหรือ... หลิ่วไป๋เจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็มีอีกชื่อปรากฏในหัว
“ข้ารู้จักแต่ขอนไม้เหลือง เป็พันธุ์ไม้เดียวกันกับขอนไม้ดำนี้หรือไม่”
จิ่วฟางเทียนฉีครุ่นคิดและตอบกลับ “ไม่ ขอนไม้เหลืองเป็พืช แม้สามารถใช้เป็ยาได้ แต่ก็หาได้ง่ายและมีคุณสมบัติทางยาอ่อนมาก ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าไร ต่างจากขอนไม้ดำนี้ ทั้งสองอย่างเป็ยาที่มีวัตถุประสงค์ในการนำมาใช้ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
จิ่วฟางเทียนฉีใช้เวลาราวหนึ่งเค่อเพื่ออธิบายเกี่ยวกับขอนไม้ดำให้หลิ่วไป๋เจ๋อเข้าใจว่ามันไม่ใช่ยา แต่เป็เหมือนหินชนิดหนึ่ง เพราะมีสีดำมะเมื่อมแต่เนื้ออ่อนเหมือนไม้ จึงได้ชื่อว่าขอนไม้ดำ
ในพิภพนี้ขอนไม้ดำถือเป็สิ่งที่หายาก ว่ากันว่าต่อให้มีขนาดเท่าเล็บมือ แต่เมื่ออมไว้ใต้ลิ้นก็ช่วยให้ทนต่อพิษได้ถึงสิบสองชั่วยาม ทั้งยังสามารถกลั้นหายใจในน้ำได้กว่าหนึ่งชั่วยามอีกด้วย
เหตุผลที่จิ่วฟางเทียนฉีรู้จักสิ่งของที่มีพลังิญญาเช่นนี้ เพราะเคยเห็นบิดาใช้มันอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อเข้าไปในป่าใต้พิภพ ทำให้หลบเลี่ยงจากม่านหมอกพิษได้ ในครั้งนั้นขอนไม้ดำที่เขาเห็นมีขนาดเท่ากับท้องนิ้วก้อยของเขาเท่านั้นเอง หลังจากครั้งนั้นก็ไม่เคยเห็นบิดาใช้อีก
เมื่อได้ฟังเื่นี้ หลิ่วไป๋เจ๋อพลันตระหนักได้ว่า เหตุใดจิ่วฟางเทียนฉีถึงให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มาก สำหรับคนทั่วไปขอนไม้ดำอาจทำประโยชน์อะไรไม่ได้มาก แต่สำหรับตระกูลจิ่วฟางที่อาศัยอยู่บริเวณชายขอบป่าใต้พิภพนั้น ของสิ่งนี้ถือเป็ของดีหายาก
จิ่วฟางเทียนฉีมองไปยังขอนไม้ดำขนาดเท่ากำปั้นด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ นี่ไม่ใช่ของขวัญเพียงเล็กน้อยแล้ว แต่เหมือนกับว่าตระกูลจิ่วฟางติดหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงต่อตระกูลหลานแทนน่ะสิ
เป็ไปได้ไหมว่าตระกูลหลานจะรู้อยู่แล้วว่า ตระกูลจิ่วฟางจะส่งคนมายังเมืองหลวงให้มาร้องขอโอกาสในการรับคำทำนาย ขอนไม้ดำนี้เสมือนของขวัญสำหรับการปฏิเสธเพื่อรักษาน้ำใจตระกูลเขา
เมื่อนึกได้เช่นนี้ จิ่วฟางเทียนฉีก็ยิ่งปวดศีรษะ
“พี่หลิ่วรู้ไหมว่าตอนนี้ผู้นำตระกูลหลานอยู่ที่ใด”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่คิดปิดบัง แม้ก่อนออกจากเฟิ่งจูไห่ หลานเซียวจะบอกให้ทั้งสามคนปกปิดที่อยู่ของพวกเขา แต่เพราะมีการฝากมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ นี้ จึงเท่ากับว่าหลานเซียวไม่ได้มีความคิดปกปิดตัวตนต่อจิ่วฟางเทียนฉี
“เฟิ่งจูไห่!”
“เฟิ่งจูไห่หรือ?”
จิ่วฟางเทียนฉีประหลาดใจไม่น้อย
“คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้นำตระกูลหลานจะซ่อนตัวเก่งเช่นนี้ ใครจะคิดว่าผู้สันโดษจากผาตั้วเซียนจะซ่อนอยู่ในที่ตั้งเดิมของตระกูลหนิง ตระกูลหลานที่เชื่อเื่โชคชะตากลับไม่คิดว่านั่นคือที่ไม่เป็มงคล ไม่น่าเชื่อจริงๆ…”
หลิ่วไป๋เจ๋อนั่งข้างอีกฝ่าย ในมือถือถ้วยชาไว้ เมื่อจิ่วฟางเทียนฉีเห็นท่าทางนั้นก็ยิ้มออกมาทันที
“เหตุใดพี่หลิ่วถึงชอบดื่มชาขนาดนี้”
หลิ่วไป๋เจ๋อชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “เพียงดื่มดับกระหาย ไม่ได้ชอบหรือเกลียด”
“แต่ทุกครั้งที่เห็นเ้านิ่งเงียบ ในมือก็มักถือถ้วยชาอยู่เสมอ”
หลิ่วไป๋เจ๋อครุ่นคิด ดูเหมือนจะเป็เช่นนั้นจริงๆ หากไม่ดื่มชาจะให้ดื่มสุราอย่างนั้นหรือ ในความทรงจำเขาไม่เคยััของแบบนั้นมาก่อน
จิ่วฟางเทียนฉีส่ายหัวและพูดว่า “ชายหนุ่มที่ยังไม่ถึงวัยสวมจี๋ก้วน [2] อย่างเ้า เหตุใดถึงใช้ชีวิตเหมือนคนแก่เช่นนี้ มีวินัยในตนเองมากไปไม่เบื่อบ้างหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อคิดอย่างถ้วนถี่ เหมือนก่อนหน้าเคยมีใครสักคนเอ่ยกับตนเช่นนี้...
ใช่แล้ว ิโยวเคยกล่าวไว้!
ตอนวันเกิดปีที่สิบสี่ของหลิ่วไป๋เจ๋อ อูิโยวแอบออกจากหุบเขาไป่หลิงและนำไป๋ฮวาเนี่ยง [3] สองไหมาให้เขา โดยบอกว่านำมาเป็ของขวัญ ทั้งสองค้นพบสถานที่หนึ่งในูเาชุ่ยอวิ๋น อูิโยวจับไก่ฟ้าลายจุดย่างกินเป็มื้อเย็น สุดท้ายหลิ่วไป๋เจ๋อก็ไม่ได้ดื่มสุรานั้นสักหยด เพราะเกินครึ่งไหไปอยู่ในท้องของิโยว ซึ่งปริมาณนั้นถือว่ามากจนทำให้เขามึนเมาและสลบไสลไปถึงสองวันหนึ่งคืน
พอตื่นขึ้นฝั่งนั้นก็ตำหนิว่าเขาใช้ชีวิตเข้มงวดเกินไป ไม่เหมือนคนวัยหนุ่มสาว โดยไม่รู้เลยว่านั่นก็เป็ครั้งแรกที่อูิโยวลิ้มรสสุรา
ภายหลังเหตุการณ์นั้น อูิโยวได้นำไป๋ฮวาเนี่ยงที่เหลือไปฝังไว้ใต้ต้นไหวโบราณอายุพันปีในูเาชุ่ยอวิ๋น ซึ่งเป็บริเวณที่มักไปด้วยกัน ทั้งคู่พูดกันว่าหากสวมจี๋ก้วนเมื่อใดจะไปขุดออกมาดื่มร่วมกัน
เมื่อย้อนนึกถึง หลิ่วไป๋เจ๋อก็รู้สึกว่าชาในถ้วยช่างไร้รสชาติ
จิ่วฟางเทียนฉีลุกจากเตียงและสวมเสื้อผ้าเตรียมพร้อม หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้แปลกใจอะไร
“เ้าจะไปเลยหรือ”
“แน่นอน! ที่ข้าเดินทางมายังเมืองหลวงครั้งนี้ก็เพื่อจุดประสงค์นั้น หากรู้ที่อยู่ของผู้นำตระกูลหลานแล้ว จะไม่ไปก็คงไม่ได้”
เมื่อรู้ว่าไม่อาจหยุดยั้งอีกฝ่ายได้ หลิ่วไป๋เจ๋อจึงพูดว่า “ถึงอยากไปก็อย่ารีบร้อน รออีกครึ่งชั่วยามข้าจะไปกับเ้า แต่ก่อนหน้านั้นข้าขอหาอะไรรองท้องสักหน่อย”
จิ่วฟางเทียนฉีครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า
อันที่จริงหลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้หิว เพียงไม่อยากกลับไปเฟิ่งจูไห่ทั้งๆ ที่เพิ่งออกมา แบบนั้นจะเสียมารยาทเกินไป
ครึ่งชั่วยามต่อมาทั้งคู่ก็ออกเดินทาง มุ่งตรงไปยังเฟิ่งจูไห่
ก่อนออกประตูเมืองก็พบอูิโยวเดินตรงเข้ามา เมื่อเห็นทั้งคู่ก็รู้สึกประหลาดใจ ต่อมาสีหน้าพลันเคร่งขรึม
“จิ่วฟางเทียนฉี หากเ้าไม่ถนอมร่างกายข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด”
จิ่วฟางเทียนฉีรู้สึกกลัวอูิโยวที่อารมณ์เริ่มคุกรุ่น จึงดึงแขนเสื้อหลิ่วไป๋เจ๋อเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ฝ่ายนั้นกลับหลบมือ แล้วเดินผ่านทั้งคู่ไปนอกประตูเมือง จิ่วฟางเทียนฉีพูดอะไรไม่ออก ทำไมคนคนนี้ถึงได้ใจร้ายนักนะ!
“ไม่ต้องใช้พี่หลิ่วเป็เกราะกำบัง ไร้ประโยชน์”
จิ่วฟางเทียนฉีรีบอธิบาย “ิโยว เ้าอย่าโกรธเลย ข้าแค่รีบ…” เขากวาดตาไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครน่าสงสัยจึงกระซิบข้างหูอีกฝ่ายว่า “ข้าแค่รีบไปพบผู้นำตระกูลหลาน จึงต้องออกจากชิงหลิ่วถังอย่างไม่มีทางเลือก เ้าไม่ต้องกังวล ข้ารู้จักร่างกายตนเองดี ตอนนี้เหลือเพียงาแบนิัเท่านั้น”
ดวงตาของอูิโยวกลับมามีประกายอีกครั้ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เ้าเองก็ระวังตัวด้วย ข้ารู้ว่าเหลือแค่อาการาเ็ภายนอก แต่ก็มองข้ามไม่ได้”
จิ่วฟางเทียนฉีได้ยินดังนั้นก็โล่งใจ รีบแย้มยิ้มและให้คำมั่นสัญญา “เ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำให้เ้าต้องมารักษาข้าอีก”
อูิโยวหันไปมองหลิ่วไป๋เจ๋อ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ดวงตาวูบไหว สุดท้ายก็ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า เพียงกล่าวอำลาจิ่วฟางเทียนฉี
“เ้า…” จิ่วฟางเทียนฉียังไม่ทันเอ่ยจบ อูิโยวก็หายไปในตรอกแล้ว
ขณะเดินทางออกจากเมือง จิ่วฟางเทียนฉียังคงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่
“วันนี้ิโยวดูแปลกไป ข้ารู้สึกว่าต้องมีเื่อะไรเกิดขึ้นแน่นอน”
หลิ่วไป๋เจ๋อยังคงมีสีหน้าไม่ต่างจากเดิม “ข้าไม่รู้”
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเขากำลังหลบหน้าเ้า! เ้าไม่รู้สึกเช่นนั้นหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่เอ่ยปาก ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไร ตอนที่พบอูิโยวหน้าประตูเมือง เขาก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในใจ แต่หากไม่อยากพูด เขาก็จะไม่ซักไซ้ไล่เลียง
______________________________
[1] ยามซื่อ หมายถึง ่เวลาก่อนเที่ยง 9:00-11:00 น.
[2] จี๋ก้วน หมายถึง พิธีสวมก้วนสำหรับผู้มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์
[3] ไป๋ฮวาเนี่ยง หมายถึง สุราหมัก มีลักษณะเหมือนกับไวน์