จู่ ๆ เหอตังกุยที่กำลังหลับก็ถูกเหอฟู่ปลุกให้ตื่น แววตาท่ามกลางความมืดมิดกลับสว่างไสวราวมีเปลวไฟลุกไหม้ เหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้นางไม่สบายใจนัก
นับั้แ่เหอตังกุยย้ายเข้าจวนหลังใหม่ แม้นางจะมีแม่เคียงข้างแต่ก็ไม่เคยรู้สึกสงบสุขเหมือนอยู่ในชนบท นางยังจำ่เวลาขณะอาศัยในชนบทได้ดี ทุกคนต้องทำงานของตัวเอง ไม่ว่าจะอายุสี่ขวบหรือเจ็ดสิบปีก็ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัว หากครอบครัวใดมีชายฉกรรจ์มาทำไร่ไถนา คนชราและลูก ๆ ของครอบครัวนั้นก็จะสามารถทำงานที่เหนื่อยน้อยกว่าได้ เช่น ปอกเปลือกข้าวโพดหรือตากลูกเดือย หากไม่มีชายฉกรรจ์ แม้แต่เด็กอายุสี่ขวบก็ต้องทำงานในไร่นา บ้านเฉียนเหลาอู่ที่เหอตังกุยเคยอาศัยนั้นเป็ส่วนหลังของตัวบ้าน
ความจริงแล้วตระกูลหลัวเป็เ้าของชนบท เมื่อเหอตังกุยถูกส่งมาที่นี่ ฐานะของนางก็ถูกปิดบังมิดชิด ไม่มีใครรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่ขุดโคลนในไร่นานั้นคือคุณหนูตระกูลหลัวตงของพวกเขา แม้เหอตังกุยจะทำงานทั้งวันจนเหงื่อแตกพลั่กราวสายฝน แต่นางก็ไม่เศร้าโศกเสียใจแต่อย่างใด กินแกลบก็ยังหวานเพราะสิ่งเหล่านี้ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง
เหอตังกุยอาศัยใน “จวนเหอ” ซึ่งเป็ชื่อของแม่ นางอยู่ในห้องสตรีมีมาตรฐานประดับด้วยไข่มุกและหยกแดง เครื่องประทินผิวต่าง ๆ ถูกจัดวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง ทั้งห้องเต็มไปด้วยสิ่งประดิษฐ์และของตกแต่งหลากสีสัน ดูสวยงามไม่น้อย อีกทั้งนางยังได้ดื่มชาหอม ๆ ทุกวัน ได้สูดกลิ่นธูปหอมในกระถางธูปเหล็ก ชีวิตหรูหราจนไม่รู้สึกถึงไออุ่นของความเป็บ้านแม้แต่น้อย แววตาของ “พ่อ” “ย่า” “ป้า” และ “ลุง” ที่จ้องมองมาก็ทำให้นางไม่สบายใจยิ่งนัก
เมื่อนางเห็นแววตาเป็ประกายของ “พ่อ” ในยามเที่ยงคืน ปฏิกิริยาแรกคือกรีดร้องเสียงแหลมทันที
เหอฟู่ใเสียงกรีดร้องของนาง ทันใดนั้นเมื่อเขาจะกระทำการบางอย่าง ไฟในห้องตรงข้ามลานบ้านก็พลันสว่างสะท้อนกระทบลูกกรงหน้าต่างในห้องนอนของเหอตังกุย เหอฟู่เหลือบมองเหอตังกุยด้วยความลังเล ก่อนะโข้ามหน้าต่างด้านข้างที่เขาปีนเข้ามาแล้ววิ่งหนีไป ไม่นานสาวใช้ก็มาถามเหอตังกุยว่าเกิดอันใด เหอตังกุยสับสนมากจึงทำได้เพียงบังคับตัวเองให้พูดอะไรบางอย่างเพื่อไล่สาวใช้ออกไป
หลังนอนไม่หลับทั้งคืน เมื่อเหอตังกุยตื่นในตอนเช้าก็ได้ยินว่าแม่ของนางกำลังตำหนิบ่าวรับใช้ในห้องโถงใหญ่ นางจึงเดินเข้าใกล้เพื่อแอบฟังพักหนึ่ง ความว่าเมื่อแม่ของนางตื่นก็พบว่ากระเป๋าสัมภาระทั้งหมดของสามีหายไปพร้อมสามีของนาง นางถามบ่าวรับใช้หลายสิบคนแต่ไม่มีใครเห็นตอนเขาออกไป นางจึงระบายความเดือดดาลที่มีต่อบ่าวรับใช้เ่าั้โดยใช้ไม้บรรทัดตีหลังพวกเขาทีละคน ไม่นานเรียวนิ้วดุจหยกขาวก็ได้รับาเ็ นางโยนไม้บรรทัดพลางนั่งบนธรณีประตู ทบทวนเื่ราวครู่หนึ่งก่อนร้องไห้
เมื่อเห็นแม่เป็เช่นนี้ เหอตังกุยก็โกรธยิ่งนักจึงเดินเข้าไปเกลี้ยกล่อมว่าไม่ควรเสียใจให้คนเช่นเขา พวกเขาหนีไปแล้วก็ดี นางอยากพูดมานานแล้วว่าทุกคนในครอบครัวนี้น่ารังเกียจที่สุด
เมื่อแม่ของนางได้ยินก็เดือดดาลอีกครั้ง นางโยนความเ็ปจากการสูญเสียสามีลงที่เหอตังกุย ชี้หน้าลูกสาวพลันก่นด่า “เ้าไม่มีคุณลักษณะของครอบครัวชั้นสูงแม้แต่น้อย ไม่รู้กฎเกณฑ์ ไม่มีมารยาท ไม่เคารพผู้าุโ” บ่าวรับใช้ในห้องโถงใหญ่ถูกตระกูลหลัวส่งตัวมาขณะแม่ของนางแต่งงาน ดังนั้นเมื่อพวกเขากลับตระกูลหลัว คำตำหนิต่าง ๆ จึงแพร่กระจายไปด้วย หลัวไป๋เส่าบังเอิญได้ยินจึงบอกอาจารย์หญิงว่าเหอตังกุยเป็ศัตรูกับพ่อของนาง อีกทั้งนางยังไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อคนปัจจุบัน
แม่ของนางไม่เชื่อว่าสามีจากไปโดยไม่บอกลา นางปฏิบัติต่อเขาด้วยความนุ่มนวล ทำทุกอย่างที่เขา้า นางเป็ภรรยาที่ดีตามแบบอย่าง แม้จะคลอดลูกให้เขาไม่ได้แต่ก็สัญญาว่าจะให้เขาแต่งอนุภรรยาเข้าเรือนในภายหลัง ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็เอ็นดูเสี่ยวอี้ลูกสาวของนางไม่ใช่หรือ?
แม่ของเหอตังกุยจึงรอคอยสามีอยู่ที่จวนเป็เวลาสองเดือน แต่กลับไม่ได้รับจดหมายจากเมืองหลวงสักฉบับเดียว บ่าวรับใช้ให้คำแนะนำนางตลอดเวลา คนแรกบอกว่านางควรส่งคนไปเมืองหลวงเพื่อสอบถามสถานการณ์ คนที่สองเอ่ยเสริมว่าหากเขาแต่งงานกับคนอื่นในเมืองหลวง แม่ของนางก็สามารถฟ้องร้องโทษฐานแต่งงานใหม่โดยยังไม่หย่าร้างเพื่อเรียกเงินหนึ่งพันตำลึงที่ถูกหลอกไปกลับคืนมา คนที่สามเสนอว่าลูกเขยของนายท่านหลัวสุ่ยซังในเมืองซุ่นเทียนที่อยู่ทางตอนเหนือของจือลี่เป็ขุนนางระดับสูงในเมืองหลวง พวกเราสามารถขอความช่วยเหลือจากเขาได้ ด้วยวิธีนี้เหอฟู่จะถูกลงโทษอย่างง่ายดาย...
แม่ของนางอ่านหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงและการทำนายดวงชะตาใน่สองเดือนนี้มากมาย นางค่อย ๆ คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็ชะตากรรมที่ต้องเผชิญ บางทีนางอาจไม่มีสามีที่จะอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิต นางควรยอมรับเื่นี้แต่โดยดี ดังนั้นนางจึงตัดสินใจจำนองจวนหลังนี้แล้วกลับตระกูลหลัว
เมื่อกลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่นางทำคือถามเหล่าไท่ไท่ผู้เป็สาวกที่ซื่อสัตย์ของลัทธิเต๋าว่ามีวัดใกล้เคียงวัดใดที่อนุญาตให้ผู้แสวงบุญอาศัยบ้าง เหล่าไท่ไท่จึงแนะนำให้นางไปวัดซานซิงที่ตระกูลหลัวให้การสนับสนุน วัดนี้สร้างขึ้นหลายปีแล้ว แม้จะอยู่ห่างไกลจากบ้าน แต่ก็เป็สถานที่ที่ดีในการเอาตัวเองออกจากภาวะซึมเศร้า ด้วยสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ งดงามและสะดวกสบาย เมื่อก่อนเหล่าไท่ไท่เคยอาศัยอยู่ที่นั่นครึ่งปี หากหลัวชวนสยงไม่คุ้นเคยอาหารมังสวิรัติ นางสามารถพาพ่อครัวสองคนไปทำอาหารที่ห้องครัวขนาดเล็กได้ ดังนั้นหลังชวนสยงพาเหอตังกุยมาที่เรือนซีคั่วแล้ว นางก็รีบไปที่วัดแห่งนั้นเพื่อทำตามความ้าในใจทันที
ระยะเวลาหนึ่งปีที่เหอตังกุยอาศัยอยู่กับแม่ นางฝึกฝนดนตรีอย่างหนัก ทักษะของนางแทบจะเทียบได้กับสตรีที่เรียนรู้เื่เหล่านี้มาั้แ่เด็ก แม้แต่การเต้นรำและการร้องเพลงก็ยังสามารถแสดงต่อหน้าผู้คนได้ หากอาจารย์หญิงทดสอบนางเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ นางก็สามารถแสดงความพยายามในการเรียนในปีนั้นได้ ทว่าอาจารย์หญิงกลับให้นางและหลัวไป๋เส่าหันหน้าเข้ากำแพงเพื่อไตร่ตรองข้อบกพร่องเป็เวลาหนึ่งชั่วยาม ทั้งยังให้พวกนางเขียนเรียงความ “บุญคุณของพ่อ” อีกหนึ่งพันตัวอักษรมาส่งเสียอย่างนั้น
เมื่อพวกนางหันเข้ากำแพง ในขณะที่หลัวไป๋เส่าไม่ใส่ใจนักทว่าเหอตังกุยกลับกังวลเกี่ยวกับบทความ จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายเกี่ยวกับบุคลิกภาพของอาจารย์หญิงว่าเข้มงวดหรือไม่ หากไม่ทำการบ้านส่ง ผลที่ตามมาจะเป็อย่างไร หลัวไป๋เส่ามองเหอตังกุยพลางหยิบเม็ดยาสีดำออกจากเอว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์หญิงผู้นั้นดุร้ายมาก หากทำการบ้านไม่เสร็จก็จะถูกข่วนหน้า แต่หากเ้ากินลูกอมนี้ ข้าก็จะช่วยเ้าทำการบ้าน ข้าไม่โกหก พวกเราเกี่ยวนิ้วเป็หลักประกันได้”
เหอตังกุยกลืน “ลูกอม” รสขมด้วยความสับสนพลางเกี่ยวก้อยกับหลัวไป๋เส่า หลังเลิกเรียนก็กลับไปยังเรือนซีคั่ว แม้จิตใจจะยังไม่คลายกังวลแต่อย่างไรก็ไม่สามารถทำการบ้านได้แน่นอน นางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเลิกคิดถึงเื่นั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อนางตื่น สาวใช้คนหนึ่งก็ถามว่านางอยากใส่ชุดใดไปเรียน ขณะจะเอ่ยตอบ เสียงกลับแหบแห้งราวฆ้องที่แตกเป็เสี่ยง นางพยายามหลายครั้งแต่ไม่สามารถพูดเป็ประโยคสมบูรณ์ได้ ในใจเกิดความสงสัยมากกว่าเดิม
เมื่อนางมาถึงห้องเรียนด้วยความสับสนมึนงง อาจารย์หญิงก็วิ่งออกมาพร้อมน้ำตาพลางโยนกระดาษใส่เท้านางแล้วเอ่ยถาม “หลายวันที่ผ่านมา ข้ากับเ้าไม่เคยมีความแค้นต่อกัน เหตุใดจึงกล้าเขียนเช่นนี้? ครอบครัวเ้าไม่สั่งสอนให้เคารพครูบาอาจารย์หรือ? ข้าไม่สามารถสอนนักเรียนเช่นเ้าได้! ค่าตอบแทนเดือนนี้ก็ไม่้าแล้ว! ข้าขอลา!” นางจากไปด้วยความโกรธ ทิ้งให้เหอตังกุยสับสนอยู่ตรงนั้นพลางมองกระดาษเขียนด้วยลายมือเรียบร้อยที่ตกข้างเท้า นางอ่านไม่ออกแม้แต่คำเดียวจึงไม่เข้าใจว่าเกิดเื่อันใดแน่
ในห้องหนังสือ หลัวไป๋เส่าจับแขนหลัวไป๋ฉยงพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าเื่ที่อาจารย์หญิงให้กำเนิดทารกก่อนแต่งงานจะเป็เื่จริง ฮึ! ข้าเกลียดนางมานานแล้ว ดียิ่งนักที่นางจากไป” หลัวไป๋ฉยงเหลือบมองนางครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “อย่าดึงผ้าคลุมไหล่ปักลายเมฆของข้าสิ นี่เป็งานปักแบบเมืองซูโจว ขณะทำข้าส่องกระจกนานมาก ในที่สุดก็สำเร็จ ข้าอยากแสดงให้ลูกพี่ลูกน้องของเราดูในคืนนี้”
ผ่านไปครึ่งวันหลังเหตุการณ์ที่คุณหนูสามทำให้อาจารย์หญิงลาออก สองวันต่อมาเื่เริ่มกระจายทั่วตระกูลหลัว เหล่าไท่ไท่โมโหไม่น้อยเพราะอาจารย์หญิงท่านนี้เป็อาจารย์มีชื่อเสียงที่นางเลือกมานาน ภายในเวลาไม่กี่เดือน อาจารย์สามารถปรับปรุงคะแนนวิชาบทกวีของเสี่ยวฉยงและเสียวเส่าได้ไม่น้อย แต่เสี่ยวอี้กลับทำให้นางโกรธจนหนีจาก หยางมามาขอให้กานเฉ่ายกชาบ๊วยมาให้เหล่าไท่ไท่ทันที ปลอบโยนเป็เวลานานเพื่อให้นางอารมณ์เย็น เมื่อนึกถึงหลัวชวนสยงที่ทิ้งเสี่ยวอี้เพื่อไปไหว้พระปฏิบัติธรรม เหล่าไท่ไท่จึงถอนหายใจพลางกล่าว “อย่างไรนางก็ไม่ได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวของพวกเรา แม้นางจะอารมณ์แปรปรวนแต่ก็มีใบหน้างดงาม ค่อยอบรมสั่งสอนทีหลังก็แล้วกัน”
หลังจากนั้นเจ็ดถึงแปดวัน เสียงของเหอตังกุยก็หายเป็ปกติ เดิมทีนางอยากเล่าการกระทำชั่วร้ายของน้องสี่แก่เหล่าไท่ไท่ ทั้งเื่ที่อาจารย์หญิงถูกเรียงความที่คุณหนูสี่เขียนแทนตนฉบับนั้นทำให้ให้ไม่พอใจจนจากไป แต่อีกความคิดหนึ่ง มีเพียงนาง น้องสี่และพี่รองที่รู้เกี่ยวกับการบ้านที่อาจารย์หญิงมอบหมาย หากพวกนางไม่ยอมรับว่าเขียนเรียงความฉบับนั้น เหล่าไท่ไท่ก็คงเชื่อใจหลานสาวร่วมสายเืของตนมากกว่า นางก็จะไม่ได้รับความยุติธรรม ทั้งยังทำให้น้องสี่ขุ่นเคืองอีก… นางจึงทำได้เพียงข่มอารมณ์โมโหแล้วปล่อยเื่นี้ผ่านไปเท่านั้น
เหตุการณ์ร้าย ๆ เช่นนี้มักจะเกิดสองหรือสามครั้งต่อเดือน แม้เหอตังกุยจะเคยถูกหลัวไป๋เฉียนก่นด่าว่า “โง่เขลา” แต่นางกลับกลายเป็คนฉลาดเมื่อได้รับ “การฝึกฝน” จากหลัวไป๋เส่า นางสามารถหลีกเลี่ยงหลุมพรางได้หลายครั้ง แต่หลัวไป๋เส่าผู้ร่าเริงมีชีวิตชีวากลับปฏิบัติต่อพี่สาวคนที่สามของนางเหมือนของเล่นชิ้นใหม่ หากกลอุบายได้ผลก็จะเต้นรำมีความสุข แต่หากพี่สามของนางเ้าเล่ห์หลีกเลี่ยงกลอุบายได้ กระนั้นนางก็ไม่ได้เสียใจ แต่กลับเพิ่มความสนใจต่อพี่สามมากขึ้นเรื่อย ๆ นางพยายามออกกลอุบายแปลก ๆ เพื่อทำให้เหอตังกุยต้องทนทุกข์ทรมาน
หากเหอตังกุยตกหลุมพราง นางก็จะมีความสุขมากที่ได้กินอาหารอีกชาม แต่หากเหอตังกุยไม่ตกหลุมพราง นางก็มีความสุขเพลิดเพลินกับอาหารบนโต๊ะดังเดิม เมื่อพลังงานของนางเปี่ยมล้นก็จะออกกลอุบายเล่นกับเหอตังกุยต่อไปเพื่อทำให้อีกฝ่ายทุกข์ทรมาน ไม่ว่าจะทำอีกสักกี่รอบก็ไม่เคยเหนื่อยและเบื่อ เมื่อได้ฟังคำที่เหล่าไท่ไท่เอ่ยเมื่อครู่ ั้แ่เหอตังกุยผู้เป็ของเล่นที่น่าสนใจจากไป หลัวไป๋เส่าก็ “มักจะบ่นเสมอว่าห้องหนังสือน่าเบื่อเกินไป” นางจึงไม่ได้ไปที่นั่นหลายเดือนแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ คุณหนูเส่าน่ารักและมีชีวิตชีวา นางชอบเล่นกับเ้ามากจึงแกล้งทำให้สิ่งเ่าั้กระจัดกระจายบนเสื้อผ้าของเ้า แต่แท้จริงแล้วนางไม่ได้มีเจตนาร้าย” เหล่าไท่ไท่ใจดีประดุจพระพุทธรูปบนแท่นบูชาในห้องโถง นางเอ่ยเกลี้ยกล่อมเหอตังกุย “บางทีคุณหนูสี่อาจไม่รู้ว่าผงเตียวซานเย่าคืออะไร ต้องเป็บ่าวรับใช้ชั่วช้ารอบตัวนางมอบให้เป็แน่! เ้าเป็เด็กดี อย่าถือสานางเลย ข้าจะเปลี่ยนบ่าวรับใช้ทั้งหมดในบ้านของนาง เมื่อพวกเรากลับถึงจวน ข้าจะให้น้องสี่มารินน้ำชาขอโทษเ้า ดีหรือไม่?”
เหอตังกุยโบกมือปฏิเสธด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ข้ารู้ว่าน้องสี่เป็เพื่อนเล่นกับข้า ไฉนต้องให้นางขอโทษข้าเป็ทางการเช่นนี้? ฮ่า ๆ ๆ น้องสี่ดีกับข้ามาก นางเคยส่งอาหารอร่อย ๆ ให้ข้าบ่อยครั้ง ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก…”
“ไม่ถูกต้อง ต้องไม่เป็เช่นนี้!” เมื่อเห็นพฤติกรรม “โง่เขลา” ของเหอตังกุย หยางมามาก็อดไม่ได้ที่จะขัดจังหวะพลันพูดด้วยความยุติธรรม “เหล่าไท่ไท่ ข้าไม่สามารถแสร้งไม่รู้เื่และปิดบังความจริงของคุณหนูสี่ได้อีกต่อไป! ตามความเห็นของข้า คุณหนูสี่พยายามทำร้ายและทำลายชื่อเสียงอันดีของคุณหนูสามโดยเจตนา! เหล่าไท่ไท่ คุณหนูสี่เชี่ยวชาญการวางแผนั้แ่อายุยังน้อย ไม่ใช่สัญญาณที่ดีนะเ้าคะ ในครั้งนี้บ่าวจึงอยากขอให้ท่านลงโทษนางด้วย!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้