“สวัสดีจ้ะ… หนูมาเที่ยวหรือจ๊ะ”
แม้จะเป็คนพื้นถิ่น พูดภาษากลางได้ไม่ชัดเจนนักแต่ก็สามารถสื่อสารได้ เพราะหล่อนคุ้นเคยกับการใช้ภาษากลางสื่อสารกับนักท่องเที่ยวบ่อยๆ
“ไม่เชิงว่ามาเที่ยวค่ะหนูตามหาคนค่ะ ได้ข้อมูลมาว่าเขาอยู่หมู่บ้านนี้… ป้ารู้จักบ้างไหมคะ”
หญิงสาวบอกชื่อหมู่บ้านพร้อมกับยื่นหน้าจอโทรศัพท์มาให้ดู
แม้ปักหมุดว่าถึงจุดหมายแล้ว แต่เมื่อกวาดสายตาแลไปรอบๆ อาณาบริเวณที่เต็มไปด้วยป่าเขา ก็ไม่ง่ายที่จะหาเจอ
“อ๋อ… ‘เรือนบัวตอง’ นั่นเอง… ”
หญิงร่างอวบได้ยินที่หญิงสาวบอกก็นึกขึ้นได้ทันที บ้านหลังนี้มีชื่อเสียงมาก เ้าของบ้านเป็ศิลปินเขียนรูปฝีมือไม่ธรรมดา
เขาคือคนที่หาทุนการศึกษาให้เด็กและเอาข้าวของมาแจกให้กับชาวเขายากไร้เป็ประจำ
“ใช่ค่ะ… เรือนบัวตองที่เป็แกลลอรี่ขายงานศิลปะนั่นแหละค่ะ… ”
บุหงาดีใจ…
ไม่ผิดแน่ ก่อนมาหล่อนพอจะมีข้อมูลมาบ้าง อย่างน้อยก็เข้าใกล้ความจริงว่าจะได้พบผู้ชายที่หล่อนกำลังตามหา
“หนูขับรถไปตามถนนนี้นะ… วิ่งไปเจอสะพานไม้แล้วเลี้ยวขวา ขับไปอีกสามกิโลก็ถึงค่ะ เป็เรือนไม้ชั้นเดียวหลังใหญ่ตั้งอยู่ริมลำธาร รอบๆ มีทุ่งดอกบัวตองค่ะ”
แม่ค้าอธิบายจุดสังเกต
“ขอบคุณค่ะป้า… ”
บุหงายกมือไหว้…
ตอบแทนความมีน้ำใจของแม่ค้าขายผลไม้ด้วยการช่วยเหมาผลไม้ในเข่ง
“อุ๊ย… เหมาหมดเลยหรือจ๊ะ”
แม่ค้าดีใจ…
ปกติกว่าจะขายหมดสามเข่งนี้ก็ใช้เวลาหลายวัน บางครั้งขายไม่ได้ก็เน่าเสีย ต้องเอาไปแปรรูปทำผลไม้อบแห้งด้วยความเสียดาย
วันนี้ไม่คิดว่าจะเจอส้มหล่นมีหญิงสาวทั้งสวยมากและใจดีมาช่วยเหมา
“จ้ะป้า… หนูจะเอาไปเป็ของฝากค่ะ… ”
บุหงาตอบ…
มองดูหญิงร่างอวบกุลีกุจอยกเข่งมาใส่ท้ายรถจนครบสามเข่งใหญ่ๆ
บุหงาตั้งใจจะเอาไปฝากคนที่หล่อนเองก็ยังไม่เคยเจอหน้าเขามาก่อน
