ทันทีที่เดินเข้างานภายในแน่นขนัดไปด้วยผู้คนจนข้าใเพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีแขกมาร่วมงานมากมายขนาดนี้ศิษย์ผู้หญิงต่างก็สวมชุดสวยงามราวกับดอกไม้ส่วนศิษย์ผู้ชายก็ทำมาดขรึมแล้วตีเนียนไปอยู่ใกล้คนที่ชอบ
กลิ่นหอมอ่อนๆของไวน์แดงลอยมาเตะที่จมูก
พนักงานเสิร์ฟเดินตรงเข้ามาและพูดเชื้อเชิญอย่างสุภาพ “เครื่องดื่มไหมขอรับ”
บนถาดรองมีแก้วไวน์พอดีสำหรับพวกเราทั้งสามคนพนักงานเสิร์ฟจ้องมองไปที่องครักษ์ที่เพิ่งตามเข้ามาแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามก็ต้องผละออกไป เพราะถูกสายตาเย็นเยือกจ้องกลับมา
“ตรงนั้นมีที่ว่างอยู่”ตั้นไถเหยาชี้ไปที่โต๊ะว่างที่อยู่ไม่ไกลนัก
พวกเราเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งบนโต๊ะมีของว่างประมาณสองถึงสามอย่าง ทั้งเค้กดอกกุ้ยฮวาและเค้กอื่นๆที่ข้าไม่รู้จัก จัดวางไว้อย่างดี
และข้า...ผู้ที่ทานอาหารเย็นยังไม่อิ่ม
ซูเหยียนหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น“เ้าจะกินก็กินสิ ตามสบายเลย”
“อืม”
ข้าหยิบเค้กดอกกุ้ยฮวามากัดหนึ่งคำกินหอมอ่อนๆ อบอวลไปทั่วปากจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม“ของหวานที่เมืองหลินเสี่ยเฉิงอร่อยสุดยอดไปเลย!” ซูเหยียนว่าพลางยิ้ม“แล้วเมืองหยินเย่เฉิงล่ะ? ข้าพักอยู่ที่นั่นแค่เพียงคืนเดียวก็กลับไม่รู้ว่าอาหารการกินที่เมืองนั้นเป็อย่างไรบ้าง?”
“ก็ธรรมดา ที่นั่นเป็เมืองเล็กๆ มีประชากรไม่ถึงหนึ่งแสนคนเทียบไม่ได้กับเมืองหลินเสี่ยเฉิงหรอก” ข้าเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ซูเหยียนตอนที่เ้าไปในเมืองหยินเย่เฉิงครั้งนั้นแค่ตั้งใจไปแกล้งข้าอย่างนั้นเหรอ?”
ซูเหยียนนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วันนั้นจู่ๆ ใบหน้าก็แดงระเรื่อ “ก็ไม่เชิง ความจริงปู้เสวียนยินขอร้องท่านอาของข้าให้ไปทำพิธีปลุกพลังของเ้าที่เมืองหยินเย่เฉิงข้าจึงขอติดตามไปด้วยส่วนที่ข้าปลอมตัวเป็เทพศาสตราวุธหญิงไปหลอกเ้าก็แค่นึกสนุกเท่านั้น...ข้าต้องขอโทษเ้าจริงๆ”
“ไม่เป็ไรตอนนี้พลังพร์ของข้าถูกปลุกขึ้นมาแล้ว”
“อืม!”
จู่ๆตั้นไถเหยาก็ลุกขึ้นมองและพูดถึงใครบางคน “ดูสิใครกำลังมา!”
เมื่อมองตามสายตาของตั้นไถเหยาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งในชุดศิษย์ของสำนักจิงอิงเดินตรงเข้ามาเส้นผมสีแดงสลวยขับรับกับใบหน้ารูปไข่ นางส่งยิ้มบางๆ แล้วพูดทักทาย “เสี่ยวเหยียนอาเหยา ในที่สุดพวกเ้าก็มาจนได้นะ!”
พอพูดจบนางจึงลดสายตามองมาที่ข้าด้วยท่าทางสำรวมขึ้นเล็กน้อย“ท่านผู้นี้...คือผู้ที่ถูกพูดถึงว่าเป็ศิษย์สำรองในโรงเกลากระบี่ที่ชื่อปู้อี้เชวียนใช่ไหม?”
“ใช่ ข้าคือปู้อี้เชวียน แล้วเ้าล่ะ?” ข้าลุกขึ้นยืนอย่างสุภาพ
นางยิ้มบางพร้อมกับยื่นมือมาจับมือข้าแล้วพูดขึ้น“ข้าคือถังเชวียหราน เป็เพื่อนร่วมห้องของเสี่ยวเหยียนกับอาเหยา”
ที่แท้ก็คือนางนี่เอง!
ศิษย์ดีเด่นลำดับที่สองหญิงสาวที่มีพร์เลื่องลือเื่ความฉลาดไร้เทียมทานในเมืองเขตเหนือทั้งยังเป็ที่รู้จักในฐานะลูกสาวของเ้าเมืองฝ่ายเหนืออย่างถังอานหลีทำให้ชื่อของนางเป็ที่เล่าลือของคนทั่วไป
เมื่อต่างฝ่ายต่างแนะนำกันไปตามพิธีแล้วถังเชวียหรานก็ไม่ได้สนใจข้าอีกเลย แต่กลับพุ่งความสนใจไปที่ซูเหยียนแทน“เสี่ยวเหยียนเ้าคือศิษย์ดีเด่นอันดับหนึ่งเ้าต้องขึ้นไปบนเวทีเพื่อกล่าวอะไรสักหน่อย ไปกันเถอะ งานเลี้ยงเริ่มขึ้นแล้ว!”
“ฮะ!ต้องกล่าวอะไรด้วยเหรอ”ซูเหยียนทำหน้างงแล้วหันกลับมายิ้มเจื่อนมองข้ากับตั้นไถเหยา ก่อนจะถูกลากขึ้นเวที
ข้าได้แต่มองตามโดยไม่พูดอะไรถังเชวียหรานที่สวยมั่นใจด้วยเส้นผมสีแดงประกายทองส่วนซูเหยียนสวยโดดเด่นด้วยผมสีทองยาวสลวย นึกไม่ถึงเลยว่าสีที่ปรากฏออกมาจะดูคล้ายคลึงกันขนาดนี้สำหรับแผ่นดินหลงหลิงสีผมพวกนี้สามารถบอกถึงสายเืและความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันได้
ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย“ถังเชวียหรานกับซูเหยียนเป็อะไรกันเหรอ?”
“เพื่อนที่ดีต่อกันไง...”
ตั้นไถเหยาชำเลืองมองข้าแวบหนึ่งแล้วพูดพลางยิ้ม“ถ้าเ้าอยากจะถามเื่ความสัมพันธ์ทางสายเื ข้าไม่รู้จะตอบอย่างไรดีเพราะคนหนึ่งแซ่ซู อีกคนแซ่ถัง จึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ช่างเถอะ กินดีกว่า!”
...
ตอนนี้ซูเหยียนยืนอยู่บนเวทีแล้วพิธีกรที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มรับก่อนจะเกริ่นก่อนเข้าพิธี“พวกเราได้เชิญศิษย์ดีเด่นจากการทดสอบลำดับที่หนึ่งและลำดับที่สองของสำนักหมื่นิญญาเพื่อกล่าวก่อนเปิดงานถ้าอย่างนั้นขอเชิญสาวงามอย่างซูเหยียนและถังเชวียหรานขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยด้วย เชิญสาวงามซูเหยียนและถังเชวียหราน!”
เสียงปรบมือต้อนรับดังเกรียวกราวศิษย์ชายทั้งหมดต่างให้ความสนใจจนเก็บอาการไม่อยู่เพราะไม่ใช่เื่ง่ายที่จะได้เห็นสองสาวงามแบบใกล้ชิดขนาดนี้
ซูเหยียนรับไมค์แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางที่สง่าผ่าเผยก่อนจะฉีกยิ้มและพูดขึ้น “สวัสดีทุกคน ข้า...ซูเหยียน รู้สึกเป็เกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่ำเรียนที่สำนักหมื่นิญญาร่วมกับทุกคนอยู่ที่นี่ข้าได้พัฒนาศักยภาพของตัวเอง ซึ่งข้าภูมิใจมากสุดท้ายข้าขออวยพรให้ทุกคนที่กำลังศึกษาอยู่ที่นี่มีความสุข มี่เวลาที่ดีและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด เพื่อวันข้างหน้าจะได้เป็ผู้ที่มีฝีมือเก่งกาจและเป็บุคคลสำคัญของสหพันธ์ต่อไป”
เป็คำกล่าวที่เรียบง่ายตรงประเด็น แต่แฝงไปด้วยความปรารถนาดีอย่างชัดเจน
ซูเหยียนส่งไมค์ต่อให้ถังเชวียหรานนางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จู่ๆ ลมจากเครื่องเป่าด้านหลังเวทีก็สาดพัดชายกระโปรงเผยให้เห็นเรียวขาที่ขาวเนียนออกมา “ข้าก็คิดเหมือนซูเหยียนขอให้ทุกคนที่อยู่ในสำนักหมื่นิญญาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นล้วนแต่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีฝีมือดี มีความกล้าหาญและมุ่งมั่นที่จะก้าวหน้าต่อไปเพื่อรับใช้ชาติและตระกูลของเรา!”
กระชับและชัดเจนไม่ต่างกัน
สายตาของศิษย์ทุกคนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นพร้อมกับเสียงปรบมืออื้ออึงสาวงามทั้งสองนางก้าวลงจากเวทีและกลับมานั่งที่โต๊ะซึ่งตอนนี้กลายเป็จุดรวมสายตาที่คมกริบราวกับคมศรที่พร้อมจะทิ่มแทงได้ทุกเมื่อ
สาวงามที่อยู่อันดับต้นๆของสำนัก แต่กลับมานั่งกับคนอย่างข้า!
ทว่าความสนใจของข้ากลับอยู่ที่เค้กตรงหน้ามากกว่า!
ถังเชวียหรานนั่งไขว่ห้างถือแก้วทรงสูงจิบไวน์ไปอึกหนึ่งแล้วชำเลืองมองข้าก่อนจะถามอย่างใคร่รู้“ปู้อี้เชวียนได้ยินมาว่าเ้าเอาชนะซูเหยียนได้จริงหรือเปล่า?”
ข้าตอบแบบอึกอัก“ก็ไม่ถึงกับว่าชนะ...เพียงแค่ชัยชนะในการทดสอบเล็กน้อยเท่านั้น”
“โอ้อย่างนั้นหรอกเหรอ?”
ถังเชวียหรานยิ้มบางแล้วพูดต่อ“ทุกคนต่างรู้ดีว่าเพลงดาบของตระกูลซูนั้นแข็งแกร่งและมีชื่อเสียงมากว่าร้อยปีคิดไม่ถึงเลยว่าเ้าจะเอาชนะได้ ถ้าอย่างนั้นหากมีโอกาสเราน่าจะมาประลองกันสักหน่อยดีไหม?”
“ประลองอย่างนั้นเหรอ? ได้สิ ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน”
“อืม”
แม้ถังเชวียหรานจะสวยและดูเ็าแต่ลึกๆ แล้วเป็คนที่มุ่งมั่นและหยิ่งในศักดิ์ศรี ผู้หญิงแบบนี้คงรับมือยากน่าดู!
...
ผ่านไปไม่นาน่เวลาของการเต้นรำก็เริ่มขึ้น คู่ชายหญิงแต่ละคู่ก็ทยอยออกมารวมกันที่ลานเต้นรำความจริงนี่ควรจะเรียกว่างานสานสัมพันธ์มากกว่างานเลี้ยงศิษย์ใหม่เพราะงานนี้เปิดโอกาสให้ชายหญิงแปลกหน้าจับคู่เต้นรำราวกับคนคุ้นเคยกันได้
โต๊ะของพวกเรามีผู้คนทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสายเช่นเดียวกับชายหนุ่มที่สวมสร้อยเงินเดินเข้ามาโค้งตัวลงอย่างสุภาพและกล่าวทักทาย“สวัสดีซูเหยียน ข้ามีนามว่าชื่อเฟิง เป็ทายาทของธนาคารชื่อซื่อและเป็ศิษย์ของสำนักจิงอิง จะเป็อะไรไหมถ้าข้าจะขอเชิญเ้ามาเต้นรำด้วยกัน?”
ซูเหยียนส่ายหน้าแล้วยิ้ม“ข้ารู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย เลยไม่ค่อยอยากเต้นเท่าไร ขอบใจ”
เมื่อถูกปฏิเสธแบบอ้อมๆชื่อเฟิงจึงหันไปทางถังเชวียหราน แต่ก็ถูกนางตอกกลับด้วยสีหน้าเ็า“เ้าเชิญซูเหยียนไม่สำเร็จ แล้วคิดว่าจะได้โอกาสจากข้าอย่างนั้นเหรอ?”
ชื่อเฟิงล่าถอยกลับไปพร้อมความอับอายข้าเองไม่ได้พูดอะไรนอกจากเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้า
ผ่านไปเพียงสิบนาทีแต่มีไม่ต่ำกว่าสิบคนที่เข้ามาเชิญสาวงามที่นั่งอยู่ข้างๆ ข้าไปเต้นรำแต่ก็ถูกปฏิเสธกันถ้วนหน้าทั้งที่ในบรรดาคนเหล่านี้ต่างก็เป็ผู้มีชื่อเสียงบ้างเป็ทายาทของครอบครัวผู้มีอำนาจ บ้างก็มาจากตระกูลที่ดีทว่ากลับไม่มีผลอะไรต่อสาวงามทั้งสามแม้แต่น้อย
จู่ๆซูเหยียนก็มีท่าทีเหมือนกำลังครุ่นคิดพลางห่อปาก แม้ตอนนี้จะยังมีชายหนุ่มอีกมากมายที่อยากเชื้อเชิญสาวงามไปเต้นรำด้วย
“นี่หยุดกินได้แล้ว”
ซูเหยียนชำเลืองมองข้าแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้น“เ้าอยู่ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งของข้า แต่ไม่เคยคิดจะช่วยเพื่อนเลยอย่างนั้นเหรอ?”
“ฮะ! ช่วยเหรอ?” ข้าถามอย่างฉงน
ซูเหยียนเปลี่ยนสีหน้าไม่พอใจทันที“หรือต้องให้ข้าเป็คนเอ่ยปากเชิญเองหรือไง เ้าบ้า!”
ข้าเข้าใจได้ในทันที“ซูเหยียน เ้าจะเต้นรำกับข้าได้หรือไม่?”
ซูเหยียนยิ้มร่า“ได้สิ...ไปกัน”
ตั้นไถเหยาถึงกับพูดไม่ออกได้แต่หันไปมองถังเชวียหรานก่อนจะตัดใจถามอย่างเสียไม่ได้ “เชวียหรานเ้าไปเต้นกับข้าไหม?”
ถังเชวียหรานงุนงงไปชั่วขณะแต่ก็ยิ้มรับคำเชิญของอีกฝ่ายด้วยความสนใจ “ผู้หญิงสองคนเต้นด้วยกันอย่างนั้นเหรอน่าสนใจดีเหมือนกัน นั่งอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็น่าเบื่อ”
“อืม!”
...
เมื่อเดินเข้ามาที่ลานเต้นรำพอข้ายื่นมือออกไป ซูเหยียนถึงกับแก้มแดงระเรื่อทันที นางประทับมือที่อ่อนนุ่มลงบนฝ่ามือของข้าก่อนที่ข้าจะส่งยิ้มแล้วพูดออกไป“ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าที่ข้าทำเพียงเพราะช่วยเ้าเท่านั้นไม่ใช่เพราะเต้นเป็เลยสักนิด ฉะนั้นเ้าต้องสอนข้า...”
“คุณพระ...”
ซูเหยียนมองข้าด้วยสายตาที่ไม่น่าเชื่อพร้อมกับพูดขึ้น“คนที่มีความสามารถเป็อันดับหนึ่งของเมืองหยินเย่เฉิงแต่กลับเต้นรำไม่เป็?” ”
“อืม ต่อให้มีเวลาว่าง ข้าเลือกไปล่าสัตว์ไม่ดีกว่าหรือไง”
“เ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ ...”ซูเหยียนกระชับฝ่ามือดึงข้าเข้าไปที่ลานเต้นรำ “เต้นตามข้าแล้วกันแต่อย่าเหยียบรองเท้าข้าล่ะ เพราะคู่นี้แพงมาก...”
ข้าตอบไป“เฮ้ย เหมือนข้าจะเหยียบไปแล้ว...”
ซูเหยียนหน้าบึ้งตึงทันทีพร้อมกับเงยหน้าดุข้าเบาๆ “เ้านี่มัน...”
“แล้วจะเต้นต่อไหม?”
“ก็ต้องเต้นสิ เ้าเคยเห็นคนที่มาช่วยดับไฟไหม้แต่ช่วยได้เพียงครึ่งเดียวแล้วกลับไปก่อนไหมล่ะ?” “ได้ ได้อย่าโมโหสิ ข้าพยายามอยู่”
“อืม...”
เมื่อเต้นตามจังหวะของซูเหยียนไปพักหนึ่งข้าก็เริ่มคุ้นชินมากขึ้น ถ้าเทียบกับเพลงขาเมฆาหมอก การเต้นรำครั้งนี้ถือว่าง่ายจนน่าเบื่อไปเลย
ทว่าขณะที่ข้าก้มหน้าลงไปนั้นเป็จังหวะเดียวกับซูเหยียนกำลังจ้องมองมาที่ข้าเช่นกันจู่ๆ หัวใจข้าก็เต้นเร็วขึ้น ความจริง...การเต้นรำก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย!
เมื่อเพลงจบลงเราสองคนจึงกลับมานั่งตามเดิม
ตั้นไถเหยาและถังเชวียหรานกลับเข้ามาพร้อมกันแววตาของกลุ่มชายด้านหลังยังคงว่างเปล่าและสิ้นหวัง เพราะถูกสาวงามทั้งสองปฏิเสธแต่เลือกไปเต้นรำกันสองคน นี่มันอะไรกันเนี่ย!
ทันใดนั้นก็มีเสียงประหลาดดังแว่วมาแต่ไกล
“โอ้โฮคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณหนูซูเหยียนจะให้เกียรติเต้นรำกับคนอื่นด้วยช่างเป็โอกาสที่หาได้ยากจริงๆ”
เมื่อมองตามเสียงนั้นไปก็เห็นชายสามคนในชุดศิษย์ของสำนักจวี๋ฉีเดินตรงเข้ามาคนแรกคือคนที่ข้าเคยเจอคราวก่อนอย่างจวงเหิงซิ่งผู้ฝึกฝนลำดับที่สี่ของสำนักจวี๋ฉีอีกสองคนที่เหลือข้ารู้ว่าหนึ่งในนั้นคือเฉิ่นลั้ง ส่วนอีกคนข้าไม่รู้จักมาก่อนแต่เมื่อมารวมตัวกันได้ก็น่าจะมีนิสยใจคอไม่ต่างกันเท่าไร
จวงเหิงซิ่งเดินเข้ามาโค้งตัวอย่างสุภาพ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แม่นางซูเหยียนข้าขอเต้นรำกับท่านจะได้ไหม?”
“ไม่ได้” ซูเหยียนตอบแบบไม่ต้องคิด
“ทำไมล่ะ?”
จวงเหิงซิ่งสีหน้าสงสัย“ท่านเต้นกับศิษย์ตัวสำรองได้แต่กลับเต้นกับข้าไม่ได้อย่างนั้นเหรอ? ทรัพย์สินเงินทองของตระกูลจวงต่างก็เป็สิ่งสำคัญที่ส่งเสริมและค้ำจุนกลุ่มพันธมิตรนักปราชญ์ขาวพ่อของข้ากับท่านเสนาบดีก็เป็เพื่อนกันมานานส่วนท่านกับข้าก็รู้จักและเล่นด้วยกันมาั้แ่เด็กจะบอกว่าสมกันดั่งกิ่งทองใบหยกก็ไม่ผิด”
ซูเหยียนลุกขึ้นแล้วยิ้มบางๆ“ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่ ได้โปรดอย่าเอาชื่อตระกูลจวงมากดดันเพราะข้าไม่ได้สนใจอยู่แล้วและที่สำคัญก็คือเ้าควรจะแบ่งให้ชัดว่าเื่ของท่านพ่อก็ส่วนหนึ่งเื่ของข้าก็ส่วนหนึ่ง”
จวงเหิงซิ่งสีหน้าท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ถังเชวียหรานพูดเสริม“จวงเหิงซิ่ง วันนี้เป็งานเลี้ยงฉลองศิษย์ปีหนึ่งพวกเ้าศิษย์จากสำนักจวี๋ฉีมายุ่งอะไรด้วย?” จวงเหิงซิ่งไม่กล้าแสดงท่าทีไม่พอใจต่อถังเชวียหรานจึงตอบกลับเสียงเบา “พวกข้าแค่มาดูสาวงามทั้งสามคนที่เขาพูดถึงกันแล้วก็มาทำความรู้จักกับศิษย์ตัวสำรองผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย
พูดแล้วก็มองมาทางข้าด้วยสายตาที่คมดุจคมดาบ
ปัญหามาถึงหน้าบ้านอีกแล้วสินะ!