เมื่อได้ยินเซียวหานยืนยันเช่นนี้ หยวนจุนจึงรู้ได้ทันทีว่าครั้งนี้เขาสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลแล้ว เขาสูญเสียพลังต้นเพลิงไปเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยเซียวจั้น แต่ตอนนี้เขากลับได้รับทรัพย์สินที่มีค่าเป็การตอบแทน
จู่ๆ เขาก็หยุดคิดแล้วถามด้วยความสงสัยว่า “เมื่อครู่นี้แม่นางเซียวบอกว่าก่อนที่จะมีการประลองระหว่างเมือง ตระกูลเซียวนำผลึกแร่ดาราออกไปจากเหมืองหมดแล้ว?”
แม้เซียวหานจะไม่รู้ว่าเหตุใดหยวนจุนถึงถามเื่นี้ขึ้นมา แต่นางก็พยักหน้าตอบไปโดยมิได้ปิดบัง
หยวนจุนครุ่นคิดแล้วพึมพำออกมาว่า “ถ้าเหลือแต่ผลึกแร่ดาราคุณภาพต่ำอยู่บนูเาจริงๆ จะมีปราณดาราที่หนาแน่นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ท่านพ่อก็เคยถามเกี่ยวกับเื่นี้ ซึ่งหลังจากที่ตระกูลเซียวของเราสำรวจไปหลายครั้ง ก็มั่นใจว่าในนั้นเหลือเพียงผลึกแร่ดาราคุณภาพต่ำบางส่วนเท่านั้นจริงๆ”
เซียวหานเลิกคิ้วแล้วถามด้วยความแปลกใจ “เ้าสงสัยว่าบนูเาสองแดนยังมีของที่ล้ำค่าหลงเหลืออยู่อีกหรือ?”
“อาจไม่ถึงขั้นของล้ำค่า แต่ด้วยความหนาแน่นของปราณดาราที่มีมากกว่าด้านนอกหลายเท่า เป็ไปไม่ได้ที่จะเหลือเพียงผลึกแร่ดาราคุณภาพต่ำ!”
ทั้งสามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยวนจุนจะกล่าวเสียงเรียบออกมาว่า “การที่ตระกูลเกิดเื่ใหญ่ และผลึกแร่ที่อยู่ในนั้นก็มีไม่มาก พวกเขาน่าจะคลายการเฝ้ายามทีู่เาสองแดน คืนนี้ข้าจะเข้าไปดูด้วยตนเองเผื่อจะเจอสิ่งใดบ้าง”
เสี่ยวเมิ่งกับเซียวหานเอ่ยขึ้นมาพร้อมกันว่า “ข้าจะไปกับเ้าด้วย”
เขาพยักหน้าเงียบๆ แล้วกล่าวว่า “แม่นางเซียวคุ้นเคยกับูเาสองแดนมากกว่าเสี่ยวเมิ่ง หากเ้ามีใจอยากช่วย เช่นนั้นคืนนี้เราก็ไปด้วยกัน”
เมื่อเห็นเสี่ยวเมิ่งมุ่ยปาก หยวนจุนจึงแสดงรอยยิ้มที่อบอุ่นออกมา เขายื่นมือไปััเส้นผมสีดำของเสี่ยวเมิ่งแล้วกล่าวว่า “จวนตระกูลหยวนเพิ่งก่อตั้ง จำเป็ต้องให้เ้าคอยรักษาการณ์อยู่ที่นี่ ข้ากับแม่นางเซียวไปด้วยกันไม่น่าจะเกิดอันตรายอะไร”
เสี่ยวเมิ่งยิ้มราวกับว่าอากาศรอบข้างกำลังหยุดนิ่ง จากนั้นจึงตอบกลับไปด้วยความอิ่มเอมใจ
“เสี่ยวเมิ่งฟังพี่จุน”
เมื่อทั้งสามสนทนากันเสร็จ นักยุทธ์ระดับจันทราขั้นสองที่ถูกหลิววั่นซานฆ่าล้างตระกูลได้เคาะประตูแล้วเดินเข้ามาด้วยร่างกายที่มีไอสังหาร เขาคำนับทั้งสามคนอย่างสุภาพแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้นำ ตระกูลหลิวส่งคนมาแสดงความยินดี แล้วถือโอกาส...นำโลงศพมามอบให้ด้วย!”
บรรยากาศเปลี่ยนไปในทันที หยวนจุนและสตรีทั้งสองลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง พวกเขาเห็นนักยุทธ์ระดับดาราขั้นเก้าสี่คนที่สวมเสื้อคลุมของตระกูลหลิวยืนอยู่ด้านนอกจวนตระกูลหยวน
สิ่งที่ทั้งสี่คนกำลังแบกอยู่ คือโลงศพเปล่าสีดำสนิท
ด้านนอกจวนตระกูลหยวนเต็มไปด้วยผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ยืนดูอยู่ก่อนแล้ว
ทั้งสี่คนที่ถือโลงศพอยู่นั้นมีพลังบ่มเพาะถึงระดับดาราขั้นเก้า พวกเขารู้ว่าในตระกูลหยวนมีเสี่ยวเมิ่งกับนักยุทธ์อีกหลายคนที่เป็ระดับจันทรา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แสดงท่าทางที่แข็งกร้าวออกมา และวางโลงศพลงบนพื้นด้วยรอยยิ้ม
หนึ่งในนั้นคำนับหยวนจุนอย่างสุภาพแล้วกล่าวว่า “ผู้นำหยวนอายุยังน้อยแต่กลับมีทักษะที่ยอดเยี่ยม เพื่อแสดงความยินดีกับการก่อตั้งจวนตระกูลหยวน ผู้นำของเราจึงส่งพวกเรามาเพื่อมอบของขวัญชิ้นพิเศษให้แก่ผู้นำหยวน!”
ทั้งสี่คนออกแรงเล็กน้อย ทำให้โลงศพสีดำนั้นถูกลากไปกับพื้นจนไปััเท้าของหยวนจุน เขารีบยกเท้าขึ้นทันที ก่อนที่จะจ้องมองโลงศพไม้นั้นด้วยสายตาเยือกเย็น
“จวนตระกูลหยวนเพิ่งจะก่อตั้ง ตระกูลหลิวก็ส่งโลงศพมาให้แล้ว เช่นนี้ถือเป็ลางร้ายชัดๆ เลย”
“ดูแล้วหลิววั่นซานคงตั้งใจฉีกหน้าหยวนจุน ตระกูลหลิวตั้งตระหง่านในเมืองเทียนอวิ่นมากว่าร้อยปี แต่จู่ๆ ตระกูลหยวนก็ปรากฏขึ้น ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับนักสร้างและโรงประมูลอีกด้วย”
“ตอนนี้หลิววั่นซานคงรู้สึกร้อนใจแล้วใช่หรือไม่? เขาถึงได้ใช้วิธีนี้ทำให้หยวนจุนต้องขายหน้า”
ผู้คนที่ผ่านไปมาถึงกับส่งเสียงอื้ออึงออกมา พวกเขาอยากรู้ว่าต่อไปจะมีเื่ใดเกิดขึ้น
เสี่ยวเมิ่งก้าวเท้ายาวออกมาแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “จวนตระกูลหยวนขอบคุณน้ำใจของผู้นำหลิว แม้โลงศพจะมิใช่สิ่งของมงคล แต่หากมองอีกด้านหนึ่งแล้วนี่ถือเป็ของขวัญชิ้นหนึ่งที่ไม่เลวเลย”
เสี่ยวเมิ่งยิ้มให้กับกลุ่มคนที่มามุงดูแล้วกล่าวว่า “ขอถามทุกท่าน ผู้นำเมืองเป็ตำแหน่งที่สูงที่สุดในเมืองเทียนอวิ่นแล้วใช่หรือไม่?”
ผู้คนพยักหน้า พวกเขาคิดว่าสิ่งที่เสี่ยวเมิ่งกล่าวออกมานั้นย่อมมีเหตุผล ผู้นำเมืองเป็ตำแหน่งที่สูงที่สุดในเมืองเทียนอวิ่นแล้ว
เมื่อเสี่ยวเมิ่งเห็นแววตาของพวกเขาคล้อยตาม นางจึงเอ่ยปากพูดต่อ “บนูเาสองแดนมีปราณดาราที่หนาแน่นเป็อย่างมาก กล่าวกันว่าด้านล่างมีผลึกแร่ดาราจำนวนหนึ่งที่ถูกซ่อนอยู่ เช่นนี้นับเป็สมบัติของตระกูลหลิวด้วยหรือไม่?”
ขณะที่นางกำลังถามผู้คนกลับ หยวนจุนก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีแล้วกล่าวว่า “ผู้นำหลิวอุตส่าห์ให้คนมาส่งของถึงจวนตระกูลหยวน ข้าหยวนจุนจะไม่รับได้อย่างไร!?”
หยวนจุนขยับมือแล้วเหยียดแขนออกไป ทันใดนั้นโลงศพก็ลอยขึ้นจากพื้นแล้วเข้าไปอยู่ในแหวนมิติของเขา
ขณะเดียวกันเมื่อคนตระกูลหลิวทั้งสี่ถูกเสี่ยวเมิ่งถามกลับ พวกเขาถึงกับพูดไม่ออก ก่อนที่สีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีจะปรากฏออกมา
หยวนจุนเหลือบไปเห็นระฆังทองเหลืองที่ใช้บอกเวลาห้อยอยู่ในลานบ้าน เขาดึงพลังจิตออกมาแล้วตัดเชือกห้อย ทำให้ระฆังทองเหลืองตกลงมาเสียงดังอยู่ตรงหน้าคนของตระกูลหลิวทั้งสี่
หยวนจุนชักกระบี่ยาวออกมา เขาใช้ปราณกระบี่สลักใบไผ่ที่ดูเหมือนจริงแล้วกล่าวว่า “ผู้อื่นให้ของมาก็ต้องรู้จักตอบแทน! นำระฆังนี้กลับไปที่จวนตระกูลหลิว แล้วบอกผู้นำหลิวด้วยว่าข้าซาบซึ้งในน้ำใจของเขามาก!”
“สองเื่ที่เสี่ยวเมิ่งกล่าวไปก่อนหน้านี้ หยวนจุนคงจะมาแทนที่และยึดครองทั้งหมดไว้อย่างแน่นอน!”
เมื่อทั้งสี่เห็นนักยุทธ์ระดับจันทราขั้นสองที่ยืนอยู่ข้างหยวนจุนมองมาด้วยสายตาที่ไม่เป็มิตรก็ขนลุกไปทั้งตัว หากปฏิเสธออกไป พวกเขาอาจถูกพรากชีวิตเป็แน่
“หยวนจุนผู้นี้ร้ายไม่เบา นึกไม่ถึงว่าเขาจะกล้าส่งระฆัง[1]กลับไปให้หลิววั่นซาน!”
“แต่ตระกูลหลิวก็ใช่ว่าจะดี หยวนจุนอุตส่าห์ช่วยหลิววั่นซานให้ไดู้เาสองแดน แต่เมื่อข้ามสะพานได้แล้วเขากลับรื้อสะพานทิ้ง จึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายต้องตึงเครียดกันอยู่เช่นนี้”
“ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ยินมาว่าตอนที่อยู่สุสานโบราณ หลิววั่นซานใช้วิธีต่ำทรามเพื่อที่จะปลิดชีวิตของเซียวจั้น ทำให้นักยุทธ์ที่เห็นเหตุการณ์และโรงประมูลไม่พอใจตระกูลหลิวเป็อย่างมาก”
“ตระกูลหยวนเจริญขึ้น แต่ตระกูลหลิวกลับมีจิตใจเสื่อมถอยลง เกรงว่าอีกไม่นานตำแหน่งผู้นำแห่งเมืองเทียนอวิ่นคงต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน!”
กระทั่งนักยุทธ์ตระกูลหลิวที่ยกโลงศพจากไป หยวนจุนจึงกล่าวเสียงนิ่งออกมาว่า “หลิววั่นซานจิตใจคับแคบเกินไปแล้ว”
“เสี่ยวเมิ่ง เ้าส่งคนไปตระกูลมู่ หากพวกเขายอมอยู่ข้างเราก็ทำสัญญาผลประโยชน์เสีย แต่ถ้าไม่ ในวันหน้าตระกูลมู่จะไม่สามารถหาผลประโยชน์จากเมืองเทียนอวิ่นได้อีก!”
เสี่ยวเมิ่งไม่พูดอะไร แต่เซียวหานกลับขยับปากพูดออกไปอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เ้า้าดึงนกสองหัวอย่างตระกูลมู่มาร่วมด้วยจริงๆ หรือ?”
“ในฐานะที่เป็หนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนอวิ่น ถ้าตัดเื่กองกำลังออกไป ตระกูลมู่ยังถือว่ามีอิทธิพลอยู่ จวนตระกูลหยวนเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมา ดังนั้นข้าจึง้าให้มู่ชิงหยางแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจน!”
“หากเกิดเื่เหมือนครั้งที่อยู่สุสานโบราณอีก ตอนนี้ตระกูลมู่จะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน หากมู่ชิงหยางฉลาดพอ เขาย่อมละทิ้งตระกูลหลิวแล้วมาเข้าร่วมกับตระกูลหยวนของข้า!”
เซียวหานพยักหน้า แม้ในใจจะไม่ค่อยชอบคนจากตระกูลมู่เท่าไร แต่ก็ยอมทำตามความ้าของหยวนจุน ตอนนี้ตระกูลหลิวกลายเป็เป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ ดังนั้นหลิววั่นซานจึงต้องดึงตระกูลมู่ไปอยู่ข้างเดียวกับเขาแน่นอน
หยวนจุนชิงลงมือกับตระกูลมู่เพื่อที่จะได้รู้จุดยืนของตระกูลมู่ ว่าพวกเขาจะเลือกยืนหยัดอยู่ข้างตระกูลหลิว หรือจะอยู่ข้างตระกูลหยวนที่เพิ่งก่อตั้งมาได้ไม่นาน
[1] การให้นาฬิกา (ในที่นี้คือระฆังบอกเวลา) เป็การแช่งให้ผู้รับตายทางอ้อม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้