“ข้ามั่นใจว่าเ้าเป็จิตมารของข้า!”
เสียงกังวานของซูฉางอันดังขึ้นท่ามกลางมิติอันแสนว่างเปล่า
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างเลือนรางอันแสนล่องลอยกลับค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้นก่อนใบหน้าที่ซูฉางอันคุ้นเคยเป็อย่างดีจะปรากฏขึ้นตรงหน้า
เป็ตัวเขาเอง...
“เ้ารู้ได้อย่างไร? ” ความว่างเปล่าที่แปลงกายจนมีรูปลักษณ์เหมือนกับซูฉางอันทุกประการถามขึ้นเช่นนั้นแต่เสียงของเขาฟังดูประหลาดเหลือเกิน ราวฝูงชนมหาศาลไม่ถ้วนกล่าวขึ้นพร้อมกันอย่างไรอย่างนั้น
“รัก โลภ โกรธ หลง ล้วนเป็มารด้วยกันทั้งสิ้น”
“แต่นั่นไม่ใช่จิตมารของเ้านี่”
“แต่เ้าบอกข้าว่าจิตใจของข้าว่างเปล่า เ้าจึงไม่อาจสร้างจิตมารขึ้นได้เพราะตัวเ้าก็เป็เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น”
“ข้ามีหลายสิ่ง หลายเื่ และหลายคนอยู่ในใจ ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเ้าถึงบอกว่ามันว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดอยู่เลย แต่หากเ้าบอกว่ามันมีเพียงความว่างเปล่าเช่นนั้นความว่างเปล่าก็เป็หัวใจของข้า”
“หัวใจของข้าเป็ความว่างเปล่า เ้าเองก็ชื่อความว่างเปล่าเช่นกัน”
“เช่นนั้น เ้าก็คือจิตมารของข้า!”
เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ พลันแสงดาราแสนเจิดจ้าะเิออกจากร่างของซูฉางอันเขาจำแสงนี้ได้ เป็แสงดาวที่แทรกเข้ามาในร่างของเขาในคืนที่เขาผสานปราณดาราทั้งเก้าเข้าด้วยกันเดิมทีเขาคิดว่ามันกระจายหายไปจนหมดแล้ว คิดไม่ถึงว่าแสงเหล่านี้จะแฝงอยู่ในร่างของเขามาโดยตลอด
จู่ๆ เขาก็รู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
แสงจากสายฟ้า พลังแห่งดาบ และเพลิงศักดิ์สิทธิ์พากันปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เขาขมวดคิ้วลงต่ำ มือกระชับดาบมั่น ร่างผอมที่แฝงไปด้วยแสงสว่างแสนเจิดจ้าพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายดั่งพญาราชสีห์ออกล่าอย่างไรอย่างนั้น
ไม่นานนี้ เมืองฉางอันเกิดเื่ขึ้นมากมาย
ยกตัวอย่างเช่นการแต่งงานระหว่างเทพนักรบแห่งแผ่นดินและลูกสาวของอัครเสนาบดีแห่งต้าเว่ย
และยกตัวอย่างเช่น กวนอู่โหวแห่งตระกูลกู่จากแผ่นดินทางเหนือเข้าเฝ้ามหาจักรพรรดิในเมืองหลวง
ยกตัวอย่างเช่นนักดาบในเจียงตง เริ่มเตรียมอาวุธสำหรับาแล้ว
เื่เหล่านี้ ล้วนเป็เื่ใหญ่ทั้งสิ้น
ทว่าหากเทียบกับเื่ที่สำนักเทียนหลานเปิดหอเชื่อมดาราอีกครั้งเื่เ่าั้กลับกลายเป็เื่เล็กที่ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
เพราะเหตุนี้ ฝานหรูเยว่จึงเคร่งเครียดและยุ่งมากใน่ที่ผ่านมา
ั้แ่ปรากฏการณ์ในวันนั้น ที่จู่ๆ ก็มีหอคอยที่สูงจนน่าใโผล่ขึ้นกลางสำนักเทียนหลานนางก็รู้สึกเครียดมาโดยตลอด
บรรดาชนชั้นสูงพยายามจะเข้ามาเยี่ยมเยือนสำนักด้วยเหตุผลและข้ออ้างต่างๆทว่าอวี้เหิงกลับไม่อนุญาต ซูฉางอันก็ไม่อยู่ ส่วนชิงหลุนยิ่งพึ่งไม่ได้ ดังนั้นเื่นี้จึงตกมาเป็หน้าที่ของนางไปโดยปริยาย
นางจำเป็ต้องทำใจแข็งปฏิเสธคนที่นางเคยเห็นว่ามีฐานะสูงส่งที่มาเยี่ยมเยือนสำนักคนแล้วคนเล่า
เคราะห์ดีที่สำนักเทียนหลานมีบารมีของอวี้เหิงคอยคุ้มครองอยู่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็คนที่มีตำแหน่งสูงส่งเพียงไหน ก็ไม่มีใครกล้าทำทีว่าจะบุกเข้ามาสักคนไม่เช่นนั้น ด้วยฐานะและพลังที่ฝานหรูเยว่มี เป็ไปไม่ได้เลยที่นางจะรั้งคนเ่าั้ไว้ได้
แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากอยู่ดีเพราะดูเหมือนแขกทั้งหลายจะมีความพยายามเป็อย่างมากมาครั้งแรกไม่ได้ก็มาอีกเป็ครั้งที่สอง ดังนั้นหลายวันมานี้เวลาทั้งหมดของฝานหรูเยว่จึงถูกใช้ไปกับการรับมือกับแขกเหล่านี้จนนางไม่มีเวลาว่างเหลือเลย
นางเพิ่งส่งแขกอีกกลุ่มกลับไปจนสำเร็จ ในที่สุดก็มีเวลาว่างเสียที นางหันไปมองทางหอคอยสูงพลันความกังวลก็ปะทุขึ้นข้างในหัวใจ ซูฉางอันเข้าไปตั้งหลายวันแล้วและยังไม่ออกมาจนถึงบัดนี้ ทว่าสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกเป็กังวลมากที่สุดก็คือหากซูฉางอันรู้ข่าวเื่นั้น เขาจะทำอย่างไรต่อไป...
นางรู้ดีว่าเขามีนิสัยเช่นไร เขาจิตใจดีเกินไปดีจนกลายเป็ความโง่งมในสายตาผู้อื่น เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้
แน่นอน ผู้ที่รู้สึกไม่ดี รวมไปถึงชิงหลุนด้วย
นางนั่งอยู่กลางลานฝึกพลางใช้มือยันแก้มทั้งสองข้างในท่ามือเท้าคางอย่างเบื่อหน่าย
ซูฉางอันเข้าไปนานถึงสี่ถึงห้าวันแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ฝึกวิชากับนางนานถึงสี่ถึงห้าวันเช่นกัน
ชิงหลุนไม่อาจทราบว่าหอเชื่อมดาราเป็สถานที่เช่นไรเพราะหอเชื่อมดาราเป็หนึ่งในสถานที่เพียงไม่กี่แห่งบนโลกที่หอดาราไม่อาจตรวจสอบและสำรวจได้เหตุนี้ นางจึงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ซูฉางอันจะออกมาเสียที
แต่ดาวอวี้เหิงกับจื่อเวยใกล้จะมอดลงเต็มที นางมีเวลาอีกไม่มากแล้ว ทำให้นางร้อนใจอย่างอดไม่ได้
และเมื่อคิดถึงอวี้เหิง คิ้วคมพลันขมวดมุ่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เขาช่างเป็คนที่ประหลาดเสียจริง ทั้งที่จะไม่ตายก็ได้และทั้งที่เขาเองก็ไม่อยากตาย แต่เหตุใดถึงดันทุรังจะไปตายแบบนี้เล่า
นางไม่เข้าใจอวี้เหิงสักเท่าไรนัก
และในตอนที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่ จู่ๆ แสงเจิดจ้าก็ปะทุขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
นางลุกพรวดขึ้น มองไปที่แสงสว่างนั้นทันที
เป็หอเชื่อมดารานั่นเอง!
นางหัวใจกระตุกวูบชิงหลุนรู้ดีว่านั่นเป็สัญญาณว่าหอเชื่อมดารากำลังจะหายไปอีกครั้งแล้ว
และเหตุผลที่ทำให้หอเชื่อมดาราหายไปอีกครั้ง มีอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้นคือหนึ่ง ผู้ที่ฝึกตนในนั้นผ่านการฝึกฝน และสอง ผู้ที่ฝึกอยู่ในนั้นไม่ผ่านการฝึกจึงต้องติดอยู่ในนั้นตลอดไป
นางรู้สึกกังวลอย่างอดไม่ได้สำหรับผู้ที่ฝึกวิชาปลงรักจนมีระดับพลังสูงส่งเช่นนางความกังวลนับเป็อารมณ์ที่แทบจะไม่เกิดขึ้นเลย แต่ในที่สุดอารมณ์นั้นกลับปรากฏขึ้นในใจของนางอยู่ดีซึ่งนางวิเคราะห์ว่าอาจเป็เพราะหากซูฉางอันตายในหอคอย นางจะไม่อาจจบบ่วงแห่งเหตุและผลได้นั่นเอง
แต่ในขณะเดียวกัน นางกลับรู้ดีแก่ใจว่าการจบบ่วงแห่งเหตุและผลที่ดีที่สุดก็คือการสังหารคู่บ่วงเสีย
เพราะบ่วงที่มีปลายเชือกเพียงฝั่งเดียวไม่อาจจัดเป็บ่วงแห่งเหตุและผลได้ อย่างมากก็เป็เพียงกรรมเท่านั้น
ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้นี้ จู่ๆ ร่างของชิงหลุนก็หายวับไปทันทีเพียงเท่านั้น นางก็มาปรากฏอยู่ที่หน้าหอคอยแล้ว และในขณะนี้ นางกำลังเพ่งสายตาไปที่ภาพเบื้องหน้าอย่างตื่นตระหนก
ดูเหมือนแสงที่ประกายเจิดจ้าออกมาจากหอคอยจะมีพลังน่าพิศวงบางอย่าง แม้แต่นางที่มีพลังสูงส่งยังไม่อาจมองทะลุเข้าไปในหอคอยได้
“เป็อย่างไรบ้าง? คุณชายซูออกมาหรือยัง?” เมื่อได้เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นฝานหรูเยว่ก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนทันที แต่เพราะนางไม่อาจหายตัวเหมือนที่ชิงหลุนทำจึงเพิ่งวิ่งมาถึงเอาตอนนี้นั่นเอง
“ยัง” ชิงหลุนส่ายหน้า ขณะที่เพ่งสายตาไปยังหอคอยสูงไม่วางตา
หลังเวลาล่วงเลยไปประมาณสิบนาที ในที่สุดแสงเจิดจ้าก็ค่อยๆ สลายไป หอเชื่อมดาราที่มีขนาดมหึมาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยเช่นกันหอทั้งเจ็ด ได้แก่หอเทียนซู เทียนเสียน เทียนจี เทียนเฉียน อวี้เหิง ไคหยางและเหยากวง ก็กลับมาตั้งตระหง่านอยู่กลางสำนักอีกครั้ง
ทุกสิ่งกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง ทว่าความสงบนี้กลับดูไม่สมจริงเอาเสียเลยราวมันเป็เพียงความฝันก็ไม่ปาน
และร่างที่ปรากฏขึ้นก็ทำลายความสงบ และความไม่สมจริงในครั้งนี้ลง
เป็ร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง เขาอยู่ในชุดเสื้อผ้าขาดวิ่นแลดูสะบักสะบอม ทว่าใบหน้าเย็นะเื
เขาถือดาบยาวที่ขาวประดุจหิมะเอาไว้ในมือซึ่งพลังแห่งคมดาบอันแสนคมเฉียบที่ข้างตัวดาบยังไม่จางหายไปราวผู้เป็เ้าของเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมาหมาดๆ เช่นนั้น
เขาค่อยๆ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสตรีทั้งสอง
และแล้วดาบยาวก็ถูกเก็บกลับเข้าไปในฝัก ความเย็นะเืที่อัดแน่นอยู่บนใบหน้าพลันสลายไปในพริบตา
เขาวาดประกายรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก
“ข้ากลับมาแล้ว” เขากล่าวเช่นนั้น
ไม่ทันที่ฝานหรูเยว่กับชิงหลุนจะตอบสนองใดๆ กลับมา จู่ๆร่างของเขาก็อ่อนยวบ และล้มลงไปกองอยู่บนพื้นดินอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ทันใดนั้น เสียงอุทานของสตรีทั้งสองก็ดังขึ้นที่ข้างหู ทว่ากลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในใจอย่างอัศจรรย์
ในเมื่อมีพวกนางอยู่ แล้วหัวใจของข้าจะว่างเปล่าได้เช่นไรกัน?
เขาคิดแบบนั้น ก่อนสติเฮือกสุดท้ายจะหมดไป
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ซูฉางอันก็นอนอยู่ในห้องที่แสนคุ้นเคยแล้ว
เขาลุกขึ้นนั่ง จากนั้นมองทะลุหน้าต่างที่มุงด้วยกระดาษออกไปข้างนอกทว่าสิ่งที่ปรากฏต่อสายตากลับเป็แสงแดดสว่างจ้า ทำเอาเขาจำต้องหรี่ตาลงอย่างลืมตัว
เหมันตฤดูเริ่มทักทายเมืองฉางอันแล้ว แสงอาทิตย์เจิดจ้าเช่นนี้ไม่ได้หาดูได้ง่ายๆหรอกนะ เหตุนี้เขาจึงรู้สึกอารมณ์ดีไปด้วยเงาทมิฬและความหมองหม่นในหัวใจที่เกิดขึ้นเพราะคำพูดที่ความว่างเปล่าบอกกับเขาก็ถูกขจัดออกไปจนสิ้น
เขาถอนสายตากลับมา จากนั้นสงบจิตสงบใจ เพ่งจิตไปที่ตันเถียนของตนเอง
เมื่อนำไปเทียบกับก่อนหน้านี้ บัดนี้ ตันเถียนของเขานับว่ากว้างใหญ่ราวมหาสมุทรเลยทีเดียว
และในบัดนี้ ตันเถียนที่กว้างใหญ่ไม่ต่างไปจากท้องทะเลของเขาก็มีดวงไฟหลายสิบดวงส่องประกายแสงอันน่าหลงใหลพลางหมุนวนอยู่ในนั้นอย่างสงบพวกมันส่องให้พื้นที่ภายในตันเถียนของเขาสว่างไสวและเปล่งประกายงดงามไม่ต่างไปจากท้องนภาในยามราตรี
นั่นเป็ปราณดาราของเขา เป็ของรางวัลที่เขาได้รับจากหอเชื่อมดาราในฐานะที่ทำลายจิตมารได้สำเร็จ
เขาลองนับอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง มันมีทั้งหมดแปดสิบเอ็ดดวงด้วยกันซึ่งนั่นก็แปลว่าพลังของเขาเพิ่มระดับขึ้นไปมาก เพิ่มขึ้นแบบก้าวะโก็ว่าได้เพราะในตอนนี้เขามีพลังอยู่ในระดับอรุณรุ่งแล้วทว่าสิ่งที่ต้องพูดถึงอีกอย่างก็คือ เดิมทีปราณดาราของเขาก็แตกต่างไปจากผู้อื่นอยู่แล้วนั่นเอง...
ปราณดาราของเขามีพลังของนักรบแห่งดาราจักรถึงสามคนทั้งยังมีความเข้าใจด้านพลังที่เขาบรรลุด้วยตนเองผสมอยู่ด้วยสิ่งที่น่าสยดสยองยิ่งไปกว่านั้นก็คือปราณดาราแต่ละดวงของเขาล้วนเกิดจากการรวมปราณดาราสิบดวงเข้าด้วยกันจนกลายเป็หนึ่งด้วยกันทั้งสิ้นนั่นจึงทำให้มันพิเศษและแตกต่างออกไป
ยามที่เขามีปราณดาราเพียงดวงเดียว ในตอนนั้น เขาแข็งแกร่งจนสามารถรับมือกับยอดฝีมือหลายคนที่มีพลังอยู่ในระดับอรุณรุ่งได้แล้วยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขามีปราณดาราอยู่ในร่างมากถึงแปดสิบเอ็ดดวงด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ อย่าว่าแต่นักรบระดับไท่ยีเลยแม้แต่นักพรตทั่วไปที่มีพลังอยู่ในระดับคุมพิภพ หากต่อสู้กันจริงๆ เขาย่อมรับมือได้โดยที่อีกฝ่ายไม่อาจเอาชนะเขาได้แน่นอน
แต่สิ่งนั้นยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาได้รับ
เพราะสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีใจมากที่สุดก็คือ บัดนี้เขาเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับมารในใจของตัวเองอย่างซึ่งๆ หน้า และการเปลี่ยนแปลงในระดับจิตใจนี้เป็สิ่งที่นักพรตทั้งหลายใฝ่ฝันไม่ต่างกัน
เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้ เขาก็ขับเคลื่อนพลังิญญาในร่างขึ้นเล็กน้อยเพียงเท่านั้น กระแสแห่งพลังอันมหาศาลก็ครอบคลุมร่างกายของเขาเอาไว้ในพริบตา
เขาะเิความดีใจขึ้นทางสีหน้าอย่างปิดไม่มิด เขารู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้การเป็นักดาบเช่นมั่วทิงอวี่และฉู่ซีฟงไปอีกขั้นแล้ว
ในขณะที่เขาลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อเตรียมจะไปทดสอบพลังในลานฝึกอย่างอารมณ์ดีอยู่นั้น จู่ๆ ร่างเงาสีเหลืองก็เดินเข้ามาหาภายในห้อง
เมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนรวมไปถึงถ้วยซุปที่อีกฝ่ายถือเข้ามาอย่างระมัดระวังเต็มๆ ตาซูฉางอันพลันหน้าถอดสี
“คุณชายซู ท่านฟื้นแล้วรึ? ” ทันทีที่วางถ้วยในมือลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวังฝานหรูเยว่ก็พบว่าซูฉางอันมายืนอยู่เื้ัตนเสียแล้ว ทำให้นางะเิความดีอกดีใจขึ้นมาทันที
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มพะอืดพะอมและในตอนที่เขาเตรียมจะหาข้ออ้างเพื่อหนีออกไป ฝานหรูเยว่ก็ยื่นถ้วยยาน้ำมาที่เบื้องหน้าของเขาเสียก่อน
“นี่เป็ยาบำรุงสำหรับคุณชายซูที่ข้าทำอยู่นาน คุณชายซูท่านรีบกินตอนที่มันยังร้อนๆ อยู่เถอะ” ฝานหรูเยว่บอก
ซูฉางอันมีสีหน้าพะอืดพะอมมากขึ้นในพริบตา เขากลอกตาอย่างพยายามหาทางออกพยายามจะหาทางหนีออกไปจากที่นี่แต่เมื่อเหลือบมาเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของฝานหรูเยว่ เขาก็ใจอ่อนยวบและรับยาน้ำไปจากนางอย่างลืมตัว
ซูฉางอันกัดฟัน ลองชิมยาน้ำในถ้วยดูทว่ารสชาติที่ส่งผ่านปลายลิ้นกลับทำให้เขาขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาทันที
“เป็อะไรไป? ไม่อร่อยรึ? ” ฝานหรูเยว่ถามอย่างรีบร้อน
อร่อยหรือไม่ เ้าไม่เคยลองชิมเลยรึ? ซูฉางอันคิดเช่นนั้นในใจ แต่กลับไม่อาจทำใจเอ่ยออกไปตรงๆ ได้
“เปล่า แค่ร้อนไปหน่อยเท่านั้น” เขาแลบลิ้น แล้วใช้มือพัดวีเล็กน้อย
เมื่อได้เห็นท่าทางของอีกฝ่าย ฝานหรูเยว่ก็หัวเราะพลางยกมือป้องปากจากนั้นจึงพูดระคนตำหนิขึ้น “คุณชายซูก็จริงๆ เลย โตขนาดนี้แล้ว ยังดื่มยาน้ำราวกับเด็กๆอยู่อีก”
ซูฉางอันส่งยิ้มให้ฝานหรูเยว่ ทว่าในขณะที่เขากำลังจะพูดบางอย่างออกมาจู่ๆ ก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากนอกสำนักเสียก่อนขนาดห้องของเขาอยู่ห่างจากประตูสำนักมากขนาดนี้ เขายังได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดแจ๋ว
“ข้างนอกนั่นกำลังทำอะไรกันน่ะ? ครึกครื้นกันเสียจริง”ซูฉางอันถามด้วยความสงสัย
ทว่าจู่ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของฝานหรูเยว่กลับสลายไป นางก้มหน้าลงต่ำแล้วตอบกลับไปด้วยท่าทางหมองซึม
“วันนี้เป็วันมงคลของเป่ยทงเสวียนกับซือหม่าฉางเสว่ เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงกำลังแห่ขบวนวิวาห์รอบเมืองอยู่ อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็ชนชั้นสูงของแผ่นดินต้าเว่ย ย่อมต้องจัดงานอย่างยิ่งใหญ่เป็ธรรมดา”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้