บ้านของตระกูลสวี่เป็บ้านดินสองห้อง มีลานหน้าบ้านและหลังบ้าน ซึ่งในยุคสมัยนี้อนุญาตให้แต่ละบ้านปลูกผักเล็กๆ น้อยๆ ในลาน และเลี้ยงสัตว์ไว้หลังบ้านได้
แต่สัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงได้ก็มีเพียงหมูสองตัวและไก่สี่ตัวเท่านั้น ห้ามเลี้ยงสัตว์อื่น หากมีใครกล้าแอบเลี้ยง เมื่อถูกจับได้สิ่งของจะถูกยึดและยังต้องถูกจับไปเดินประจานด้วย
ผักในลานบ้านที่ได้รับการดูแลจากเ้าของร่างเดิมนั้นงอกงามเขียวชอุ่มดูน่ารับประทาน
แต่ผู้คนที่มาดูเื่วุ่นวายกลับไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ พวกเขากลับชะเง้อคอไปดูเื่ซุบซิบนินทาในบ้านอย่างใจจดใจจ่อ
ลูกสาวคนรองของบ้านตระกูลสวี่คนนี้เหมือนเปลี่ยนไปเป็คนละคน
แต่ก็จริงอยู่ที่คนเราเมื่อเดินเฉียดประตูผีมาแล้ว หากยังไม่รู้จักตื่นตัวก็คงจะไม่มีอะไรช่วยได้แล้วจริงๆ
สวี่จือจือเลือกเสื้อผ้าที่พอจะดูดีได้สักตัวจากเสื้อผ้าที่มีรอยปะหลายชิ้น แล้วนำเงินหนึ่งร้อยห้าสิบหยวนที่เธอเพิ่งได้มาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะมานั่งเล่นอยู่ในลานบ้านอย่างสบายใจ ที่เท้าของเธอ มีไก่ทั้งสี่ตัวที่ ‘สนิทสนม’ กับเธอ
ภาพที่เห็นดูสงบสุขอย่างประหลาด
แต่ตรงกันข้ามกับโจวเป่าเฉิงที่กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าถมึงทึงจ้องมองสวี่จือจือ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าที่จะดูถูกเขาแบบนี้ สวี่จือจือถือเป็คนแรก
การแต่งงานเป็เื่สำคัญของชีวิต การที่ต้องไปรับตัวเ้าสาวแทนลู่จิ่งซาน เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้ว สิ่งที่เขา้าก็คือการใช้เื่นี้กดลู่จิ่งซานไปตลอดชีวิตต่างหาก
แต่ไม่คาดคิดว่านังผู้หญิงหน้าเหม็นคนนี้กลับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่ยอมไปกับเขา ยืนกรานที่จะรอให้ลู่จิ่งซานกลับมา แถมยังพูดว่าลู่จิ่งซานต้องกลับมาได้แน่ๆ อีกด้วย
ถุ้ย!
เื่ที่บ้านไปสู่ขอภรรยาให้อีกฝ่าย ลู่จิ่งซานไม่มีทางรู้เื่อย่างแน่นอน ต่อให้รู้ก็คงไม่สามารถกลับมาได้เร็วขนาดนี้หรอก
“อย่ามาทำตัวสูงส่งให้มันมากไปหน่อยเลย” โจวเป่าเฉิงพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ "ผู้หญิงอย่างเธอเนี่ย ได้แต่งเข้าบ้านของเราถือว่าเป็บุญของเธอแล้ว”
ยังจะมาทำเป็เล่นตัวอีก? ไม่ดูตัวเองบ้างเหรอว่าเป็ยังไง
คนในบ้านของเธอก็ล้วนแล้วแต่เป็พวกไร้ยางอาย เหมาะสมที่จะเป็เมียของดาวหายนะอย่างลู่จิ่งซานเท่านั้นแหละ
แต่คำพูดพวกนี้เขาทำได้เพียงแค่พูดในใจเท่านั้น ถ้าจอมมารคนนั้นรู้เข้า อีกฝ่ายเป็คนที่โหดร้ายไม่สนใจใครทั้งนั้น สามารถซ้อมเขาจนฟันร่วงได้เลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจวเป่าเฉิงก็อดที่จะตัวสั่นไม่ได้
“เหอะๆ” สวี่จือจือได้ยินคำพูดนั้นแล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะมองโจวเป่าเฉิงด้วยสายตาเ็า “แล้วผู้ชายอย่างนายเนี่ย คู่ควรเป็พี่น้องของลู่จิ่งซานได้ยังไง?”
โตมาใต้ชายคาเดียวกัน แต่ทำไมความแตกต่างถึงได้มากขนาดนี้? ไม่แปลกเลยกับคำกล่าวที่ว่า คนเราในเมื่อไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกันแล้ว ทำอย่างไรก็เป็ครอบครัวเดียวกันไม่ได้
คำพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้โจวเป่าเฉิงหน้าดำคล้ำ
ั้แ่เล็กจนโต เขามักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับลู่จิ่งซานอยู่เสมอ
“ฉันสงสัยจริงๆ” สวี่จือจือไม่รอให้เขาพูดต่อ แล้วพูดขึ้นอีกว่า “นายเกลียดลู่จิ่งซานมากขนาดไหนกัน?”
“เธอ...อย่ามาพูดจาเหลวไหล” โจวเป่าเฉิงพูดอย่างลนลาน “ฉันเป็พี่ชายของเขา จิ่งซานได้ดีฉันก็ดีใจด้วย ทำไมฉันต้องเกลียดเขาด้วย?”
แต่ในใจกลับคิดว่า: นังปีศาจตัวน้อยนี่รู้เื่นี้ได้ยังไง? หรือว่ากำลังหลอกถามเขากันแน่?
ช่างน่าไม่อายเสียจริง
“ไม่เลยเหรอ?” สวี่จือจือหัวเราะเยาะแล้วพูด “ฉันขอถามนายหน่อย ฉันเป็ใคร?”
“ฉันเป็ภรรยาของลู่จิ่งซาน” เธอยังคงไม่ให้เขาได้พูดแทรก “นายพยายามด่าฉันอย่างไม่ลดละแบบนี้ หมายความว่ายังไงกัน?”
“อยากให้ฉันแต่งงานไปพร้อมกับความแค้น แล้วทำให้ฉันกับลู่จิ่งซานไม่ถูกกันเหรอ? หรือคิดว่าการที่ทำแบบนี้จะทำให้นายกดลู่จิ่งซานให้ต่ำลงได้?”
“ฉันจะบอกนายให้รู้ไว้นะว่า ไม่มีทาง” สวี่จือจือพูดเสียงดังฟังชัด “ลู่จิ่งซานเป็วีรบุรุษผู้ปกป้องประเทศชาติ เป็ความภาคภูมิใจของประชาคมชีหลี่ของเรา ฉันจะไม่ยอมให้คนอย่างนายมาทำให้เขาเสื่อมเสีย ดังนั้นนายช่วยไปให้พ้นหน้าบ้านฉันได้แล้ว”
“ตอนนี้ฉันไม่อยากเห็นหน้านายเลย”
เห็นแล้วรู้สึกคลื่นไส้
“เธอ...ยัยผู้หญิงคนนี้...” โจวเป่าเฉิงโมโหจนแทบคลั่ง ชี้หน้าสวี่จือจือแล้วอยากจะด่าออกมา
“จุ๊ๆ คนอะไรไม่มีมารยาท” สวี่จือจือส่ายหน้า “ไม่รู้เหรอว่าในขณะที่นายชี้คนอื่นด้วยนิ้วเดียว นิ้วอีกสามนิ้วของแกก็กำลังชี้ตัวนายเองอยู่?”
โจวเป่าเฉิงรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะถูกผู้หญิงคนนี้ทำให้โมโหตาย
“ลุงสาม ดูสิครับว่าผู้หญิงชั่วร้ายคนนี้เป็ยังไง” เขามองไปที่ลู่หรงฟาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ทำร้ายแม่แท้ๆ และพี่สาวแท้ๆ ตอนนี้ยังมาพูดจาใส่ร้ายคนในบ้านสามีอีก”
“ถูกต้อง” หวังซิ่วหลิงชี้ไปที่ใบหน้าตัวเอง “พวกคุณดูสิ นังเด็กแพศยาคนนี้ทำร้ายฉันจนเป็ยังไงไปแล้ว”
ใบหน้าของเธอถูกกระเบื้องบาดเป็แผล ส่วนริมฝีปากก็บวมเป่งจากการล้มเมื่อครู่ ทำให้เธอพูดไม่ค่อยชัด
สิ่งที่ทำให้เธอเ็ปที่สุดก็คือ เงินสินสอดที่ตระกูลลู่ให้มาสองร้อยหยวน ถูกนังเด็กแพศยาคนนี้เอาไปร้อยห้าสิบหยวน เหลือเงินอยู่แค่ห้าสิบหยวน
ขอให้การแต่งงานครั้งนี้ไม่สำเร็จ เธอจะขายนังเด็กแพศยาให้กับคนขายเนื้อบ้านจางอีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่้าสินสอดมาก เอาแค่ร้อยห้าสิบหยวน ขอแค่ได้ทุบตีนังเด็กแพศยาทุกวัน ไม่ให้มันได้อยู่อย่างสงบก็พอ
“ซวยจริงๆ” หวังซิ่วหลิงคิดถึงตรงนี้ก็ร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร “ทำไมฉันถึงได้น่าเวทนาขนาดนี้ ถึงได้ให้กำเนิดตัวที่เทียบสัตว์เดรัจฉานยังไม่ได้แบบนี้”
“แม่คะ” สวี่จือจือพูดด้วยรอยยิ้ม “ก็บอกว่าอย่าด่าตัวเองอีกยังไง ทำไมแม่ถึงด่าว่าตัวเองเป็โสเภณีแก่และสัตว์เดรัจฉานอีกแล้วล่ะ?”
หวังซิ่วหลิง “...”
พรืด!
ผู้คนที่มาดูเหตุการณ์อยู่ต่างพากันหัวเราะออกมา
“จือจือ” สวี่เจวียนเจวียนร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยอกน้อยใจ “แม่ก็ทำไปเพื่อตัวแกเองทั้งนั้น ทำไมแกถึงได้ด่าว่าแม่แบบนี้ล่ะ? แม่เป็แม่นะ แกทำแบบนี้มันอกตัญญู ไม่กลัวฟ้าดินลงโทษหรือยังไง?”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ์มีตา คนที่ถูกฟ้าฟาดจนตายก่อนก็คือพี่ต่างหาก” สวี่จือจือพูดพลางหัวเราะ
ไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ท้องฟ้าก็ส่งเสียงฟ้าร้องออกมาอย่างดังสนั่น ทำให้สวี่เจวียนเจวียนสะดุ้งสุดตัว
สวี่จือจือปากศักดิ์สิทธิ์เกินไป พูดว่าจะล้มก็ล้ม พูดว่าจะซวยก็ซวย
ถ้าเกิดว่าโดนฟ้าผ่าตายขึ้นมาจะทำยังไง?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่เจวียนเจวียนก็รีบไปอยู่ใกล้ๆ หวังซิ่วหลิง ถ้าจะโดนฟ้าผ่าก็น่าจะผ่าแม่ของเธอก่อนกระมัง
ช่างขี้ขลาดเสียจริง
“อาสาม” โจวเป่าเฉิงที่อยู่อีกฝั่งก็ดึงลู่หรงฟามาคุย “ดูท่าทางของเธอสิ ถ้าได้แต่งเข้ามาในบ้านเรา บ้านต้องไม่สงบแน่ๆ”
“อาสาม เื่การเลือกภรรยาต้องเลือกคนดี” โจวเป่าเฉิงกัดฟันพูด “นี่มันตัวป่วนชัดๆ ลู่จิ่งซานอุตส่าห์สร้างชื่อเสียงมาทั้งชีวิต ถ้าได้คนแบบนี้มาเป็ภรรยา...”
สิ่งที่โจวเป่าเฉิงโกรธที่สุดก็คือ การที่ใครมาดูถูกเขาว่าด้อยกว่าลู่จิ่งซาน แต่สวี่จือจือกลับทำให้เขาเสียหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้หญิงแบบนี้เขาจะไม่มีทางยอมให้สมใจ
คิดจะแต่งเข้าบ้านตระกูลลู่เหรอ?
ไม่มีทาง!
“เื่นี้...” ลู่หรงฟาลังเลเล็กน้อย
ที่จริงแล้วเขาก็ชอบนิสัยของสวี่จือจือคนนี้อยู่เหมือนกัน ดูเป็คนกล้าได้กล้าเสียดี ถ้าได้แต่งเข้าไปเป็ภรรยาของลู่จิ่งซาน ก็คงจะช่วยให้บ้านของเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ แต่ผู้หญิงคนนี้ปากเก่งเกินไปจริงๆ
“เื่นี้ย่าของแกเป็คนตัดสิน” ลู่หรงฟาพูดพลางหัวเราะ “ถ้าจะยกเลิก...”
ก็ต้องให้คุณนายลู่เป็คนมาตัดสินใจ เขาไม่กล้าหรอก
“ถ้าคุณย่ารู้ว่าเธอเป็คนไร้ยางอายขนาดนี้ แม้แต่แม่แท้ๆ ของตัวเองก็ยังกล้าทุบตี” โจวเป่าเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงที่มืดมน “จะต้องเสียใจที่ตอบตกลงกับการแต่งงานครั้งนี้แน่นอน”
“อ๊าก! ยัยผู้หญิงสมควรตาย เธอกล้าเอารองเท้าเหม็นเน่ามาปาใส่ฉันเหรอ” โจวเป่าเฉิงเอามือกุมปากพูดอย่างโกรธเคือง
“คนปากหมาไม่มีทางพ่นอะไรดีๆ ออกมาได้ ปารองเท้าเหม็นเน่าใส่ยังดีเกินไปด้วยซ้ำ” สวี่จือจือพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “ของหมาๆ อย่างนายต้องเอาไปล้างในบ่ออุจจาระแล้ว”
“พูดได้ดี”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้