แขกเริ่มทยอยเข้างานกันมามากขึ้นเรื่อยๆ
กลุ่มผู้ชายในชุดสูทสามสี่คนมือถือเครื่องดื่มพลางคุยกันเื่ธุรกิจกลุ่มหญิงสาวที่พากันถกเถียงเื่กระเป๋าและความงามที่คุยไปคุยมาก็เริ่มวิจารณ์กันว่างานเลี้ยงในคืนนี้หนุ่มโสดคนไหนดูดีที่สุดหนุ่มคนไหนที่ถ้าพวกเธอได้มาเป็แฟนแล้วจะรู้สึกภูมิใจ
“เฮ้อั้แ่ลู่เป๋าเหยียนแต่งงานไปทั้งเมืองก็เหลือแค่ซูอี้เฉิงคนเดียวที่ทั้งหล่อทั้งรวยและยังโสดอยู่”หญิงสาวคนหนึ่งบ่นขึ้นมา “ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนไหนจะเอาชนะใจเขาได้เนอะ”
“ที่แน่ๆ คงไม่ใช่ลั่วเสี่ยวซี”เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นตัดบท “ถ้าเป็ลั่วเสี่ยวซีแล้วล่ะก็เธอคงไม่ทำเื่น่าขายหน้าตั้งมากมายขนาดนั้นหรอก”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นอย่างไม่ปิดบัง
จากรูปร่างหน้าตาของลั่วเสี่ยวซีเธอสามารถเป็ราชินีที่ทุกคนยอมสยบแทบเท้าได้ไม่ยาก แต่เธอกลับตามจีบซูอี้เฉิงมาเป็สิบๆปีอย่างไม่ลดละ ทำให้ตระกูลลั่วต้องอับอายขายหน้ากันไปหมดเธอคงไม่รู้ว่าลับหลังผู้คนต่างพากันหัวเราะเยาะเธอ หาว่าเธอหน้าไม่อายไม่ก็ดูไร้ค่า
ูเี่อันได้ยินคำพูดพวกนั้นโดยบังเอิญเธอมองไปยังกลุ่มสาวไฮโซเ่าั้ด้วยสายตาเย็นเยียบ
คนพวกนี้ภายนอกก็ทำเป็เข้าอกเข้าใจลั่วเสี่ยวซีแต่เมื่ออยู่ลับหลังพวกเธอพากันนินทาลั่วเสี่ยวกันอย่างสนุกปากซึ่งเื่นี้ลั่วเสี่ยวซีเองก็รู้ดี แต่ที่ไม่เอาเื่ก็เพราะไม่เห็นความสำคัญของคนนอกพวกนั้นว่าจะวิจารณ์ตัวเองอย่างไร
ไม่อย่างนั้นล่ะก็ลั่วเสี่ยวซีคงจัดการกับคนพวกนี้จนไม่กล้าพูดอะไรอีกไปตั้งนานแล้ว
อาจเพราะสายตาเ็าของูเี่อันไม่นานหญิงสาวกลุ่มนั้นก็เริ่มรู้ตัวทุกคนรู้ดีว่าเธอกับลั่วเสี่ยวซีเป็เพื่อนสนิทกัน จึงพากันเงียบสงบปากสงบคำ
ูเี่อันอยากจะเข้าไปวีนให้หายเจ็บใจแทนลั่วเสี่ยวซีจริงๆแต่สุดท้ายเธอก็ปล่อยมันไป
เพราะในวันนี้เธอคือนางเอกของงานการที่เธอทำแบบนั้นกับแขกคงจะไม่งาม อีกอย่าง...ถ้าเป็เื่วีนแล้วล่ะก็ลั่วเสี่ยวซีโหดกว่าเธอเยอะ
ลู่เป๋าเหยียนเพิ่งเคยเห็นแววตาอันเยือกเย็นของูเี่อันเป็ครั้งแรกในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่า ทำไมเธอถึงได้ฉายาว่า ‘ปีศาจน้อย’
“ถ้าเธอไม่อยากได้ยินคำพูดพวกนั้นอีกจะให้ฉันสั่งคนให้พาพวกเธอออกไปไหม”
ูเี่อันส่ายหน้า“ช่างมันเถอะ คงดูไม่ดี”
ถึงแม้ว่าลู่เป๋าเหยียนจะไม่สนใจเื่มารยาทพวกนี้สักเท่าไรก็เถอะ
“อีกอย่างทุกคนมีอิสระในการแสดงความเห็นนี่จริงไหม”
สิ้นเสียงของเธอก็มีคนเดินยิ้มตรงมาหาพวกเธออีกแล้ว
พระเอกของงานอย่างลู่เป๋าเหยียนทั้งลูกน้องและแขกเกรื่อต่างพากันเดินเข้ามาทักทายไม่ขาดสายูเี่อันแทบจะไม่รู้จักคนพวกนั้นเลยแต่หลังจากที่ลู่เป๋าเหยียนแนะนำเธอกับฝั่งตรงข้ามคนพวกนั้นก็เข้ามาทักทายเธอราวกับสนิทกันมานานแสนนานูเี่อันได้แต่ยิ้มรับและพยายามจำหน้าพวกเขาให้ได้เผื่อว่าคราวหลังมีโอกาสได้เจอกันอีกจะได้ทักทายกันถูก
ั้แ่เกิดมานี่เป็ครั้งแรกที่เธอรู้สึกเหนื่อยกับการคุยกับคนอื่นขนาดนี้ครึ่งชั่วโมงกว่าผ่านไป ูเี่อันก็เริ่มเพลียลู่เป๋าเหยียนเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปาก
“เธอไปอยู่กับลั่วเสี่ยวซีหรือไม่ก็พี่ชายเธอก่อนดีไหม”
ูเี่อันถามอย่างแปลกใจ
“นายอยู่คนเดียวได้นะ?”
“ก็แค่ทักทายแขกไม่กี่คนไม่เป็ไรอยู่แล้ว” ลู่เป๋าเหยียนดึงแก้วแชมเปญในมือเธอออก
“เดี๋ยวฉันตามไป”
ูเี่อันอยากจะหนีจากจุดนี้อย่างที่เขาว่าแต่อีกใจก็อยากให้ลั่วเสี่ยวซีกับพี่ชายได้อยู่กันสองต่อสอง อีกอย่างถ้าเธอปล่อยให้ลู่เป๋าเหยียนอยู่คนเดียวแล้วล่ะก็...
สุดท้ายเธอก็คล้องแขนเขาอีกครั้ง
“ฉันอยู่กับนายดีกว่านายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าฉันควรรีบทำตัวให้ชินงั้นก็คิดเสียว่างานนี้เป็สนามฝึกซ้อมละกัน”
ถึงเธอจะเริ่มหมดแรงแต่ก็ยังพยายามยิ้มกว้างอย่างสดใสความอบอุ่นฉายอยู่ในแววตาของลู่เป๋าเหยียน ก่อนเขาจะยิ้มออกมาและหยิบน้ำผลไม้ให้เธอ
“อย่าดื่มเหล้าอีกเลย”
ูเี่อันรับน้ำผลไม้มาอย่างว่าง่ายก่อนจะช่วยลู่เป๋าเหยียนต้อนรับแขกในงานต่อไป
ที่จริงซูอี้เฉิงเองก็ไม่ชอบการคุยกับแขกคนอื่นเช่นเดียวกันเขาหลบไปยืนอยู่ในมุมที่ไม่มีคน โดยมีลั่วเสี่ยวซีตามติดแจเป็เหาฉลามอยู่ข้างกาย
ในมือของลั่วเสี่ยวซีถือจานอาหารที่มีสลัดผลไม้และเนื้อสัตว์อยู่ในนั้นเธอกินไปพลางมองไปรอบๆ งาน ที่ไม่เพียงแต่จะมีดารานักแสดงชื่อดังระดับโลกแต่ยังมีคนใหญ่คนโตจากโลกธุรกิจครบทุกสาขามาเข้าร่วมงานนี้อีกหลายคน
“ให้ตายลู่เป๋าเหยียนเจ๋งชะมัดมิน่าคนถึงพูดกันว่างานเลี้ยงครบรอบของเครือลู่ถือเป็งานปาร์ตี้ของกลุ่มคนชั้นสูง”
ซูอี้เฉิงหันมามองเธอสายตาเย็นเธอเลิกคิ้วก่อนถาม
“ทำไม? อ๋อ ฉันพูดคำว่า ‘ให้ตาย’ สินะ โทษทีๆเื่นี้ฉันคงแก้ไม่หายแล้วล่ะ” พูดจบเธอก็ส่งเนื้อวัวเข้าปาก
ซูอี้เฉิงรู้ดีว่าคงแก้นิสัยติดพูดคำหยาบของลั่วเสี่ยวซีไม่ได้เขามองจานอาหารในมือของเธอ
“เธอหิวมากงั้นเหรอ?” เขาเห็นเธอกินไม่หยุดั้แ่เมื่อกี้แล้ว
ลั่วเสี่ยวซีส่ายหน้า“เปล่า ฉันก็แค่อยากกินเนื้อเยอะๆ”
พูดจบเธอก็ทำหน้าอยากจะร้องไห้
“นายคงไม่รู้ว่าตอนนี้อาหารสามมื้อของฉันทางบริษัทเป็ดูแลทั้งหมดทุกมื้อมีแต่ผัก ผลไม้ ไม่ก็นมขาดมันเนย ถ้าวันไหนพี่ผู้จัดการใจดีฉันถึงจะได้กินอกไก่เป็อาหารเช้า แถมยังต้องชั่งน้ำหนักเช้าเย็นทุกวัน ถ้าเกินหน้าสิบกิโลกรัมเมื่อไรก็ต้องรีบลดน้ำหนัก นายไม่รู้หรอกว่าฉันลำบากมากแค่ไหน”
“ถ้าลำบากขนาดนั้นแล้วไปเป็นางแบบทำไม” ซูอี้เฉิงกล่าว “กลับไปทำงานที่บ้านไม่สบายกว่าเหรอไงไม่มีใครมาบังคับให้เธอทำนู่นทำนี่ด้วย”
“นายไม่เข้าใจ”ลั่วเสี่ยวซีพูดพลางกินเนื้อวัวอีกชิ้น “ฉันเกลียดการนั่งทำงานในออฟฟิศที่เข้างานเลิกงานเป็เวลาแบบนั้นที่สุดจริงสิ นายชอบสาวแกร่งที่เก่งทั้งเื่งานและเื่บนเตียงสินะแต่ฉันไม่ชอบชีวิตแบบนั้น ฉันอยากเป็นางแบบ อยากสวยเจิดจรัสอยู่ในโลกแฟชั่น!ฉันจะทำให้นายรู้ว่ายังมีความเซ็กซี่อยู่อีกแบบบนโลกใบนี้”
ซูอี้เฉิงยิ้มหยัน “บริษัทเธอควรน่าจะเทรนเธอเื่การพูดการจามั่งนะไม่ใช่ควบคุมแค่เื่รูปร่าง”
“เชอะ!การพูดการจาของฉันมันมีปัญหาตรงไหน!” เธอเอื้อมมือไปหยิบคอกเทลสีสดมาหนึ่งแก้วก่อนจะยกขึ้นจิบ“นายคิดว่าบรรดาหญิงสาวในชุดราตรีลูกไม้หน่อมแน้มที่แค่เห็นผู้ชายก็หน้าแดงพวกนั้นทุกคนเพอร์เฟคไร้ที่ติหมดหรือไง นายน่าจะได้เห็นเวลาที่พวกเธอไม่ได้อยู่กับนายนะว่าเวลาโกรธหรือเวลาด่าลูกน้องเป็ยังไง”
ซูอี้เฉิงพูดเสียงเรียบ“แต่อย่างน้อยเวลาพวกเธอเป็แบบนั้น ก็คงดูดีกว่าเธอ”
ลั่วเสี่ยวซียิ้มก่อนเอ่ย“ฉันตามตื๊อนายมาก็หลายปี นายอาจจะรำคาญฉันงั้นฉันบอกวิธีจัดการปัญหานี้ให้นายก็ได้แน่จริงนายก็ไปหาผู้หญิงมาแต่งงานด้วยสักคนสิ ถ้านายแต่งงานแล้วฉันสัญญาว่าจะไม่โผล่หน้ามาให้นายเห็นอีก ยกเว้นยามจำเป็จริงๆฉันจะไม่พูดกับนายแม้แต่คำเดียว!”
พูดจบ ก็มีเสียงใครบางคนเรียกชื่อเธอ
“เสี่ยวซี!”
เมื่อมองตามไปก็พบกับเ้าของเสียง
...ฉินเว่ย
ฉินเว่ยในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ไม่ไกลเขาดูมีมาดแบบคุณชายที่แบดบอยนิดๆ และกำลังแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นจนลั่วเสี่ยวซีถึงกับตาลุกวาว
เธอมักจะเจอฉินเว่ยในเวลาว่างซึ่งเขามักจะใส่ชุดสบายๆ หรือไม่ก็เสื้อผ้าแบรนด์เนมดีไซน์สีสันสดใสนี่เป็ครั้งแรกที่เธอเห็นเขาแต่งชุดเป็ทางการ
จะว่าไปพอฉินเว่ยแต่งตัวแบบนี้แล้ว...ค่อยดูเป็ผู้เป็คนขึ้นมาหน่อย
ลั่วเสี่ยวซีวางจานอาหารในมือก่อนจะเดินเข้าไปหาฉินเว่ยโดยลืมซูอี้เฉิงไปซะสนิท เธอตบไหล่เขาเบาๆ
“ไม่เลวนะเนี่ยแบบนี้ค่อยดูมีโอกาสจะได้ควงสาวงามสุดไร้เดียงสาหน่อย”
ฉินเว่ยเองก็มองลั่วเสี่ยวซีั้แ่หัวจรดเท้า
“แต่คืนนี้ฉันว่าเธอสวยสุดแล้วในงานคนที่ฉันอยากจะควงด้วยคงมีแค่เธอ”
คำพูดเยินยอกันตรงๆ ทำนองนี้ลั่วเสี่ยวซีน้อมรับอย่างไม่เกรงใจอยู่แล้ว เธอยิ้มหวานก่อนพูดว่า
“น่าเสียดายที่หัวใจฉันอยู่ตรงนู้นถ้าฉันเอากลับมาได้ คงให้มันกับนายแน่ๆ”
“เฮ้อ...”ฉินเว่ยส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “ไม่ยุติธรรมเลย ฉันอุตส่าห์ไม่ควงสาวมาเพื่อจะช่วยเธอในยามคับขันนะเนี่ย”
ลั่วเสี่ยวซีนิ่งคิดวันนี้ซูอี้เฉิงดูเหมือนจะไม่ได้ควงใครมาไม่รู้เป็เพราะเขาใในคำขู่ของเธอหรือเปล่า ว่าแล้วเธอจึงยิ้มก่อนเอ่ย
“ฉันว่านายไปหลอกสาวมาสักคนไว้ก่อนดีกว่า”
ลั่วเสี่ยวซีไม่รู้ตัวเลยว่าเวลานี้ซูอี้เฉิงกำลังยืนจ้องเธอกับฉินเว่ยที่พูดคุยกันอย่างสนิทสนม
ซูอี้เฉิงคิดไปถึงคำพูดของลั่วเสี่ยวซีเมื่อครู่
“ถ้านายแต่งงานแล้วฉันสัญญาว่าจะไม่โผล่หน้ามาให้นายเห็นอีก ยกเว้นยามจำเป็จริงๆฉันจะไม่พูดกับนายแม้แต่คำเดียว!”
ที่เธอพูดก็คือแบบนี้งั้นเหรอพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกับผู้ชายคนอื่นต่อให้ชอบเขามากแค่ไหนก็จะทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน?
ลั่วเสี่ยวซีไม่ใช่คนชอบฝืนตัวเองเธอเป็คนที่ถ้าพูดแล้วต้องทำได้อย่างที่พูด ปล่อยมือจากเขาเื่นี้คงไม่ได้ยากเกินไปสำหรับเธอ
ซูอี้เฉิงยิ้มเย็นก่อนจะวางแก้วเหล้าในมือ และส่งข้อความหาจางเหมย
อีกด้านูเี่อันลืมไปแล้วว่าคืนนี้เธอพูดคำว่า “สวัสดี” “ยินดีที่ได้พบ” ไปแล้วกี่ครั้งเธอรู้สึกเหมือนตัวเองทักทายคนทั้งงานจนครบแล้วสำหรับเธอตอนนี้ใบหน้าของแขกทุกคนในงานทั้งดูแปลกหน้าและคุ้นเคยในเวลาเดียวกันเมื่อลู่เป๋าเหยียนพาเธอเข้าไปในห้องรับรองที่ชั้นสิบ เธอถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ูเี่อันจัดกระโปรงให้เข้าที่ก่อนจะนั่งลงบนโซฟา
“จะมีคนเข้ามาที่นี่อีกไหมฉันอยากถอดรองเท้า...”
สมัยเรียนเธอมักจะสวมรองเท้าผ้าใบตลอดเวลาหลังจากเริ่มทำงานเพื่อความสะดวกในการขับรถและความคล่องตัว เธอก็ใส่แต่รองเท้าส้นเตี้ยมาโดยตลอดเพราะฉะนั้นการที่ต้องทรงตัวอยู่บนรองเท้าส้นเข็มสูงกว่าสิบเิเแบบนี้เธอเมื่อยขาจะตายอยู่แล้ว
ลู่เป๋าเหยียนเห็นท่าทางอันน่าสงสารของเธอแล้วเขาจึงคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ ูเี่อันงงว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่เขากลับยื่นมือมาช่วยถอดรองเท้าให้และพลิกด้านที่เป็ส้นเข็มหันมาให้เธอวางเท้าที่ถูกเสียดสีจนแดงไปหมด
การกระทำของเขาดูเป็ธรรมชาติราวกับเขาดูแลเอาใจใส่เธอแบบนี้มาโดยตลอด ราวกับเขาไม่สนใจว่ามันจะสกปรกหรือไม่
ูเี่อันหน้าแดงเธอรู้สึกตื้นตันใจกับการกระทำของเขา
ถึงซูอี้เฉิงจะดีต่อเธอมากแต่นั่นก็เป็ความรักและความใส่ใจในแบบของพี่ชายน้องสาวเป็ความอบอุ่นที่มีให้กับคนในครอบครัว แต่ลู่เป๋าเหยียนนั้น...เขาดูแลเธออย่างละเมียดละไม
ความละเอียดอ่อนที่เขามีให้ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง ความรู้สึกอันยอดเยี่ยมค่อยๆ เข้ามาเกาะกุมหัวใจเธอจนลืมความเหนื่อยล้าไปจนหมดสิ้น การต้อนรับแขกที่เธอไม่ชอบใจในตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่ามันก็ไม่เลวนัก
ูเี่อันดื่มด่ำกับความอ่อนหวานตรงหน้าโดยไม่รู้เลยว่าที่ด้านล่างนั้นใครบางคนได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว และการมาของคนคนนั้นอาจทำให้เธอได้พบกับเื่ราวที่ไม่คาดฝัน
