นางคิดแก้แค้นซูเฟยซื่อมีหลินมามาเป็ผู้ช่วยคนนี้แทบเหมือนเสือติดปีก
คิดถึงตรงนี้นางรีบลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่เศร้าโศกพยุงหลินมามาขึ้นมา “หลินมามาตอนนี้ท่านแม่ตายแล้ว ท่านก็เป็เพียงญาติคนเดียวของข้าความจริงไม่ต้องใช้มารยาทเคารพขนาดนี้”
“คุณหนูสี่วางใจบ่าวเฒ่าจะสู้สุดชีวิตคุ้มครองคุณหนูให้ปลอดภัย เกี่ยวกับความแค้นของนายหญิง...”หลินมามาลดเสียงลง แววอำมหิตในดวงตากะพริบแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าซากศพของนางแซ่หลี่ได้ถูกซูเต๋อเหยียนโยนไปเลี้ยงสุนัขตั้งนานแล้วแต่รูปแบบพิธีฝังศพยังต้องจัด
ใน่ที่นางแซ่หลี่ยังมีชีวิตอยู่ช่างโอ่อ่าตระการตานักแต่พิธีฝังศพกลับเรียบง่ายมาก กระทั่งจวนอัครมหาเสนาบดีหน้าบ้านยังเงียบจนขึงตาข่ายดักจับนกได้
ญาติครอบครัวขุนนางที่เคยคบหาอย่างดีกับนางแซ่หลี่ในยามปกติเ่าั้ตอนนี้กลัวว่าจะโดนเคราะห์ร้ายไปด้วย ไม่มีใครสักคนกล้ามา
มีเพียงซูจิ้งเถียนคุกเข่าร้องไห้คร่ำครวญอย่างอนาถในห้องโถงเซ่นไหว้ผู้ตายทำให้ซูเฟยซื่อต้องชื่นชมการแสดงของนาง
ในห้องโถงเซ่นไหว้ผู้ตายก็มีโลงศพที่ว่างเปล่าใบหนึ่งวางอยู่ซูจิ้งเถียนสามารถปั้นท่าลูกหลานกตัญญูร้องไห้อย่างเ็ปจนใจจะขาดสลายต่อหน้าโลงศพที่ว่างเปล่าได้
เป็ฝีมือการแสดงที่ไม่ควรดูแคลนจริงๆ
แต่ตำหนักเสียนโหย่วได้ส่งข่าวมาว่าซูจิ้งโหยวโศกเศร้าเกินไปจนล้มป่วยลุกไม่ขึ้น
ซูเฟยซื่ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะเ็าในใจหลังป่วยอาการทรุดลงทุกวันลุกไม่ขึ้น
ซูจิ้งโหยวกลัวจนไม่อยากก้าวเข้าจวนอัครมหาเสนาบดีและเกี่ยวข้องอันใดกับอัครมหาเสนาบดีอีก
เดิมคิดว่าพิธีฝังศพรอบนี้จบไม่มีอะไรให้ดูสักนิดแต่ขณะที่ซูเฟยซื่อกำลังจะกลับไปที่สวนปี้หวิน จู่ๆข้างนอกประตูมีเสียงแหลมคมของขันทีดังมา “พระสนมหวินเสด็จ”
พระสนมหวิน?
นางไม่ได้ฟังผิดไปหรอหรือพระสนมหวินถึงกับเสด็จมาร่วมงานพิธีฝังศพของนางแซ่หลี่?
ด้วยเหตุผลและวัตถุประสงค์อะไร?
ไม่รอซูเฟยซื่อคิดมากพระสนมหวินในชุดผ้าไหมสีขาวเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
เพียงเห็นนางเสียบดอกไม้กระดาษสีขาวไว้บนศีรษะไม่มีการแต่งหน้า สีหน้ารันทดเศร้าโศกบนใบหน้ายังมากกว่านางที่เป็คุณหนูแท้ๆของจวนอัครมหาเสนาบดีเสียอีก
“น้อมคารวะพระสนมหวิน”ทุกคนรีบคำนับทำความเคารพอย่างรวดเร็ว
“ลุกขึ้นให้หมดเถอะผู้ตายเป็หลัก มิต้องมากพิธี” พระสนมหวินกล่าวจบ ก็กล่าวไปข้างหน้าพยุงซูเต๋อเหยียนไว้คราหนึ่งยังไม่ลืมที่จะปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน “ผู้ตายล่วงลับไปแล้วอัครมหาเสนาบดีซูโปรดระงับความเศร้าโศก”
พระสนมหวินทรงแสดงท่วงท่าเยี่ยงฮองเฮาอดไม่ได้ที่จะทำให้ในใจซูเต๋อเหยียนไม่ยินดี แต่บนใบหน้ากลับไม่อาจแสดงออกมาได้“ขอบพระทัยพระสนมหวินทรงห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ”
“อัครมหาเสนาบดีซูเคร่งครัดไปแล้วเช้านี้ข้าได้ยินว่าสนมโหยวล้มป่วยแล้ว ข้ากับสนมโหยวความสัมพันธ์ดั่งพี่น้องนางสุขภาพไม่ดี ข้าไหนเลยจะไม่ช่วยนางมาเข้าร่วมพิธีเซ่นไหว้ภรรยาของอัครมหาเสนาบดีสักคราเล่า?” พระสนมหวินหลุบตากล่าวพลาง
ทันทีที่วาจานี้ออกจากปากสีหน้าของซูเต๋อเหยียนก็ดำแล้วในชั่วพริบตา
ซูเฟยซื่อยังเลิกคิ้วด้วยแล้วแอบชมพระสนมหวินเยาะเย้ยได้สวยงาม
เช้านี้ก็ได้ยินว่าสนมโหยวป่วยล้มลงแล้ววาจานี้ชี้ชัดว่า่เวลาที่ซูจิ้งโหยวล้มป่วยมีปัญหา
ตอนนางแซ่หลี่เสียชีวิตนางไม่ล้มป่วยแต่พอถึงเวลาจัดพิธีศพของนางแซ่หลี่ดันล้มป่วย
นี่หมายถึงอะไร?
แสดงให้เห็นชัดๆว่าไม่คิดมาเข้าร่วมงานพิธีศพของนางแซ่หลี่!
นางสุขภาพไม่ดีข้าไหนเลยจะไม่ช่วยนางมาเข้าร่วมพิธีเซ่นไหว้ภรรยาของอัครมหาเสนาบดีสักคราเล่า?
ประโยคนี้ก็ยิ่งเยาะเย้ยแล้ว
มารดาแท้ๆของตนตาย ตนเองไม่มาเซ่นไหว้ แต่กลับให้คนอื่นมาเซ่นไหว้แทน
เห็นได้ชัดว่ากำลังต่อว่าซูจิ้งโหยวเป็คนไร้น้ำใจไม่มีความกตัญญู
ดูไปแล้วพระสนมองค์นี้ร้ายกาจมากจริงๆไม่สงสัยเลยว่าทำไมนานมากขนาดนั้นซูจิ้งโหยวยังไม่ได้มีหน้ามีตาทั้งสิ้น
กล่าวจบนางไม่รอซูเต๋อเหยียนตอบก็เดินตรงเข้าไปในห้องโถงเซ่นไหว้ผู้ตายหยิบธูปหอมขึ้นมาโค้งคำนับแล้ว จึงปักธูปหอมลงในกระถางธูปให้เรียบร้อย
“ขอบพระทัยพระสนมหวินเพคะ”ซูจิ้งเถียนโขกศีรษะให้พระสนมหวินครั้งหนึ่งตามกฎระเบียบ
พระสนมหวินทอดพระเนตรซูจิ้งเถียนที่คุกเข่าลงกับพื้นคราหนึ่งก็ทอดพระเนตรไปยังซูเฟยซื่อที่ยืนอยู่ไม่ไกลอีกครา พลันตรัสว่า“คุณหนูสี่เป็บุตรีที่กตัญญูจริงๆเพียงแต่การเฝ้าป้ายิญญานี้ต้องใช้เวลาเจ็ดวัน เ้ายังเด็กเกินไปอาจรับไม่ไหวนางกำนัล เอาเบาะรองเข่าที่ยามปกติข้าใช้คุกเข่ากราบพระมาให้คุณหนูสี่”
พระสุรเสียงจบลงนางกำนัลที่พระสนมหวินพามาก็เอาเบาะรองเข่าที่ประณีตใบหนึ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ซูจิ้งเถียนมองดูงานเย็บปักถักร้อยชั้นเลิศในมือของนางกำนัลวัสดุเนื้อผ้าที่ใช้ทำเบาะรองเข่ายิ่งเนียนลื่น แทบทำให้อยากร้องไห้โดยไร้น้ำตา
เห็นได้ชัดว่าพระเสาวนีย์ของพระสนมหวินนี้้าให้นางคุกเข่าอยู่ที่นี่เจ็ดวันแอบลงโทษโดยการประทานรางวัลชัดเจน ทั้งยังให้ผู้คนไม่เห็นความผิดพลาด ช่างเป็ผู้หญิงที่ใจดำอำมหิตมาก
ซูเฟยซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อยพระสนมหวินมาที่นี่วันนี้เพื่อบั่นทอนความฮึกเหิมของจวนอัครมหาเสนาบดีชัดๆ
ั้แ่เข้าประตูมาก็ลบหลู่ซูจิ้งโหยวให้ได้อายต่อหน้าซูเต๋อเหยียนถึงกับวางแผนให้ซูจิ้งเถียนคุกเข่าในห้องโถงเซ่นไหว้ผู้ตายเจ็ดวันอย่างเมื่อครู่
ถัดมา...คงไม่ใช่ถึงตาของนางแล้วหรอกนะ?
ศัตรูของศัตรูก็เป็สหายเสริมด้วยพระสนมหวินก็มีวิธีการอยู่บ้างดังนั้นนางไม่ได้คิดจะเป็คู่ต่อสู้กับพระสนมหวิน ทั้งไม่คิดสร้างปัญหาให้ตัวเอง
คิดมาถึงตรงนี้ซูเฟยซื่อก็ก้าวถอยหลังไปไม่กี่ก้าวอย่างไม่ทันให้ได้สังเกตเห็นคิดฉวยโอกาสจากไปก่อนที่พระสนมหวินจะได้สังเกตเห็นนาง
แต่พระสนมหวินทรงมีสายพระเนตรแหลมคมยังไม่รอให้นางเดินออกไปจากห้องโถงเซ่นไหว้ผู้ตายพระสุรเสียงของพระสนมหวินก็ได้ดังมาแล้ว “คุณหนูสามจะไปไหนกัน? พิธีฝังศพยังไม่จบต่อให้เ้ามิใช่บุตรีแท้ๆ ของนายหญิงอัครมหาเสนาบดีเอง คงไม่เหมาะที่จะไปก่อนกระมัง?”
ดูไปแล้วคงหลบไม่พ้น
ซูเฟยซื่อก้มศีรษะลงอย่างสุภาพตามด้วยกล่าวเหตุผลประการหนึ่งตามสบายว่า“หม่อมฉันเพียงเกรงว่าพระสนมหวินทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางคิดไปห้องครัวให้จัดเตรียมอาหารเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเพคะ”
“คุณหนูสามช่างมีน้ำใจแล้วข้าได้กินอาหารเช้ามาก่อนแล้วจึงมา ไม่ต้องยุ่งยากเพียงแต่ตอนนี้ถ้าจะกลับไปรับอาหารกลางวัน...” พระสนมหวินทรงตรัสอย่างลำบากใจบ้าง
คนโง่ต่างมองออกมาได้ชัดว่านางคิดประทับในจวนอัครมหาเสนาบดีสำหรับมื้อกลางวัน
เจตนาของพระสนมหวินเห็นชัดมากขนาดนี้ซูเต๋อเหยียนย่อมมิอาจแสร้งโง่งมได้
เพียงแต่...จุดประสงค์ที่แท้จริงของพระสนมหวินที่ทรงมาจวนอัครมหาเสนาบดีคืออะไร?
“ถ้าพระสนมหวินไม่รังเกียจก็ทรงประทับในจวนอัครมหาเสนาบดีรับอาหารกลางวันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ซูเต๋อเหยียนรู้ว่าพระสนมหวินเจตนาไม่ดี คดในข้องอในกระดูก ได้แต่กล่าวเช่นนี้ แก้มทั้งสองข้างต่างกระตุกไปหมดด้วยความโกรธอย่างอดไม่ไหว
“อัครมหาเสนาบดีซูเกรงใจมากไปแล้วในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็จะปฏิบัติตาม” พระสนมหวินทรงหยักริมฝีปากยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ทันทีแววตากวาดผ่านดูซูเฟยซื่อราวกับมองและราวกับไม่มอง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
เมื่อสังเกตเห็นแววตาของพระสนมหวินในใจซูเฟยซื่อก็ยิ่งสงสัย เอ่ยปากออกมาเลยว่า “เวลายังห่างจากการรับอาหารกลางวันมากพระสนมหวินทรงไปดื่มชาที่ห้องโถงด้านหน้าดีหรือไม่เพคะ?”
แน่นอนซูเต๋อเหยียนย่อมไม่ได้้าให้พระสนมหวินอยู่ในห้องโถงเซ่นไหว้ผู้ตายทั้งนี้พระสนมหวินอยู่ที่นี่เท่ากับตบหน้าซูจิ้งโหยว
ในเมื่อเป็เช่นนี้ถ้าเช่นนั้นนางทำตามเจตนาของซูเต๋อเหยียนดีกว่า ยังสามารถฉวยโอกาสขณะที่พาพระสนมหวินไปที่ห้องโถงด้านหน้าลองทดสอบนางสักครา
เมื่อซูเต๋อเหยียนได้ยินคำพูดเหล่านี้รีบชื่นชมว่าดีทันที “เฟยซื่อ รีบพาพระสนมหวินไปที่ห้องโถงด้านหน้า”
“ดื่มชากลับไม่ต้องแล้วได้ยินว่าทัศนียภาพของจวนอัครมหาเสนาบดีสวยงาม ก็เชิญคุณหนูสามนำข้าไปชมรอบๆมิดีกว่าหรือ?”อยู่ๆ พระสนมหวินก็เอ่ยพระโอษฐ์
“นี่...เฟยซื่อในเมื่อพระสนมหวินทรงตรัสแบบนี้แล้ว ถ้าเช่นนั้นเ้าก็นำทางไปเถิด”ซูเต๋อเหยียนมักรู้สึกว่าไม่ค่อยดีที่จะให้พระสนมหวินบุคคลอันตรายคนนี้เดินไปมารอบจวนอัครมหาเสนาบดีแต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ได้แต่แอบส่งสายตาให้ซูเฟยซื่อ“พระสนมหวินทรงมีพระวรกายล้ำค่า เ้าต้องระมัดระวังแล้ว”
ซูเฟยซื่อย่อมรู้เจตนาของซูเต๋อเหยียนดังนั้นจึงกล่าวตอบ “ท่านพ่อ ท่านวางใจลูกต้องไม่ทำให้ผิดหวังในสิ่งที่ท่านมอบหมายไว้เ้าค่ะ”
แต่ไหนแต่ไรซูเฟยซื่อเป็คนฉลาดได้ยินนางพูดอย่างนั้น หัวใจของซูเต๋อเหยียนก็นับว่าโล่งใจและสงบลงแล้ว