“อากาศตอนเที่ยงเย็นสบายว่าหรือไม่? กินข้าวกันหรือยังสหาย”
การปรากฏตัวของบุคคลที่สามสร้างความตื่นตระหนกให้เหล่าโจรูเาเป็อันมาก เทพองค์นี้มาั้แ่เมื่อไหร่ เหตุใดพวกเขาจึงไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ผู้ที่ตั้งสติได้คนแรกคือลูกพี่ใหญ่หน้าบากเขาคิดจะชักดาบคู่กายออกมาจัดการเ้ากุ้งแห้งที่มาทำท่าทางปากดีอยู่ในถิ่นของเขา แต่เ้าหน้าบากก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้นไม่รู้เพราะเหตุใดร่างกายกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
โดนกับดักเข้าให้แล้ว…
เหล่าโจรูเานับร้อยชีวิตต่างทรุดลงไปกองอยู่บนพื้นไร้เรี่ยวแรงขยับร่างกาย ด้วยสติยังอยู่ครบถ้วน พวกเขาต่างจ้องมองทหารกุ้งแห้งหน้าหวานนั่นเดินเอ้อละเหยมานั่งลงบนก้อนหินเบื้องหน้าพวกเขา พอมันนั่งลงก็ก่ายขากระดิกเท้าอย่างนักเลงโต สองมือถอดหมวกเหล็กออกวางไว้ข้างตัว สายตาของมันกวาดมองพวกเขาอย่างเฉยชา
“ไงสหายทุกท่าน เจอกันครั้งแรกทำไมไม่ทักทายกันหน่อยเล่า”
บัดซับ! ไอ้กุ้งแห้งอย่างเ้าหากไม่เล่นสกปรกคิดว่าจะเอาชนะข้าได้งั้นรึ เ้าหน้าบากถลึงตาใส่คนถามอย่างคั่งแค้น
“พวกเ้าจะโทษข้าก็ไม่ได้นะ สถานที่มากมายไม่เลือกไปอยู่ดันมาอยู่ที่นี่ เพื่อความมั่นคงของแว่นแคว้นข้าจะให้โอกาสเ้าไถ่บาปที่ทำมาก็แล้วกัน”
อะไร… นี่จะปล่อยพวกเขาไปอย่างนั้นหรือเ้ากุ้งแห้งนี่มันโง่หรือเปล่า
“ฆ่า”
คำสั่งอันเด็ดขาดจากคนที่เ้าหน้าบากเรียกว่าเ้ากุ้งแห้ง สร้างความหวาดผวาให้พวกโจรที่นอนเป็ผักอยู่บนพื้นอย่างสุดขีด สิ้นคำสั่งของท่านแม่ทัพ หนึ่งรองแม่ทัพและพลหารอีกยี่สิบนายต่างชักดาบออกมาจากฝักอย่างพร้อมเพรียง ทั้งหมดเดินมุ่งไปลงดาบปลิดชีวิตเหล่าโจรูเาทันที หนึ่งดาบบั่นคอในพริบตา เมื่อศีรษะหลุดออกจากบ่าจึงเป็สิ่งยืนยันได้ว่าจะไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
เปลวไฟโหมกระหน่ำบนยอดเขาสูงชัน
ยิ่งลมพัดมายิ่งเสริมให้เปลวไฟลุกโหม ผ่านไปไม่นานก็เหลือไว้เพียงเถ้าถ่าน
กองทัพิญญาพยัคฆ์เคลื่อนพลผ่านไปราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น กลางหุบเขาลึกเช่นนี้คงไม่มีชาวบ้านธรรมดาผ่านมา เห็นได้ชัดว่าโจรพวกนั้นก่อกรรมทำเข็นไว้มาก สังหารในดาบเดียวถือว่าเมตตา
เดินทางต่อมาอีกสามวันก็เข้าสู่มณฑลเหอเป่ย การเดินทางนับจากนี้จะยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยภูมิประเทศที่ราบสูงและเต็มไปด้วยูเาสูงชัน อีกทั้งเมื่อเข้าสู่เขตมณฑลเหอเป่ยหิมะก็เริ่มตกลงมา ยิ่งเข้าใกล้เขตชายแดนมากเท่าใดสภาพอากาศก็เริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ ทั้งหิมะที่ตกลงมาทั้งวันทั้งคืนทำให้ถนนเต็มไปด้วยหิมะยากแก่การสัญจร เหล่าพลทหารผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปกวาดหิมะบนถนนเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางมากยิ่งขึ้น
แม้การยกทัพขึ้นเหนือครั้งนี้จะเร่งรีบมากเพียงใด แต่นับั้แ่วันแรกที่ประชุมจนเดินทางมาถึงเหอเป่ยก็ยังใช้เวลาไปถึงสิบแปดวัน ตามที่ข้าคาดการณ์อีกสองวันแคว้นเหลียวจะส่งกองทัพมาหยั่งเชิงสถานการณ์ เมื่อแน่ใจถึงกำลังทหารรักษาชายแดนของแคว้นซ่งว่ามีไม่มากไปกว่าเดิม อีกทั้งข่าวที่ว่ากองทัพของอิงกั๋วกงเดินทางลงใต้ เมื่อแน่ใจเช่นนั้นอีกสิบวันให้หลังทัพใหญ่ของแคว้นเหลียว ที่นำโดย เย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋จะบุกมาโดยมิมีผู้ใดคาดถึง
ขณะที่กองทัพหยุดพักอยู่ห่างจากสามหัวเมืองใหญ่ของมณฑลเหอเป่ยไม่มากนัก ข้ากำลังประชุมกับเหล่าแม่ทัพนายกองอยู่ภายในกระโจม
“สายข่าวของเราที่อยู่แคว้นเหลียวส่งข่าวมา อีกสองวันให้หลังทัพเหลียวจะส่งกองทัพมาหยั่งเชิงที่เมืองจี้โจว
รายงานจากชายแดนที่ส่งถึงเมืองหลวงใช้เวลาห้าวันบวกกับคำสั่งจากเบื้องบนตอบกลับมาคงกินเวลารวมๆ สิบวัน ถึงเวลานั้นทัพใหญ่ของพวกเหลียวคงบุกมาแล้ว พรุ่งนี้เราจะแยกกันเป็สามฝ่าย”ข้ามองแม่ทัพนายกองที่รอฟังคำสั่งอย่างสงบนิ่ง
“รองแม่ทัพฝ่ายขวา จงนำทหารราบเจ็ดหมื่นนาย พลธนูหนึ่งหมื่นห้าพันนายและทหารม้าหนึ่งหมื่นห้าพันนายมุ่งหน้าไปยังเมืองฉือเหมิน
รองแม่ทัพฝ่ายซ้าย เ้านำกองทัพเช่นเดียวกับรองแม่ทัพฝ่ายขวามุ่งหน้าไปยังเมืองถังชานเช่นเดียวกัน
ส่วนข้าจะนำกองทัพอีกสามแสนนายมุ่งหน้าไปจี้โจว”
“เรียนถามท่านแม่ทัพเราจะเข้าเมืองได้เช่นไร หรือจะใช้กำลังยึดมาเช่นนั้นเราจะไม่มีความผิดเอาหรือขอรับ”นายกองผู้หนึ่งยกมือขึ้นถามด้วยความสงสัย จู่ๆ ก็มีกองทัพไม่ทราบที่มาบุกมาเคาะประตูหากฝ่ายนั้นเปิดประตูให้คงจะพิลึกน่าดู
หนึ่งแม่ทัพใหญ่และสองรองแม่ทัพซ้ายขวาหันไปมองนายกองที่ถามคำถามอย่างพร้อมเพรียง เ้านี่มันคิดว่ากองทัพิญญาพยัคฆ์ของพวกเราเป็นักเลงหัวไม้หรือไร เอะอะก็จะไปท้าตีท้าต่อยชาวบ้าน ใช้ไม่ได้…ในสมองยังมีแต่เื่ต่อยตี กลับหุบเขาไปต้องฝึกให้หนักยิ่งขึ้น
นายกองตัวน้อยเห็นเหล่าแม่ทัพจ้องมาทางตนเองก็ย่นคออย่างหวาดๆ สายตาเช่นนั้นทำให้นายกองน้อยน้ำตาตกใน ท่านแม่ทัพขอรับข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยเพียงแต่ติดนิสัยตอนเป็หนุ่มเืร้อนมาเท่านั้น
“เื่เข้าเมืองพวกเ้าไม่ต้องเป็กังวลไป เราเปลี่ยนแค่ธงกองทัพไปเป็ธงของกองทัพสกุลเฉินแนะนำตนเองอย่างปัญญาชนผู้ถือดาบ บอกพวกเขาไปว่าเป็ทัพเสริมที่อิงกั๋วกงส่งมาเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่สงบใน่นี้
อย่ากังวลไป ทั้งหนังสือรับรองหรือป้ายคำสั่งข้าผู้เป็แม่ทัพได้เตรียมการไว้แล้ว พอเข้าไปในเมืองได้แล้วจะทำเช่นไรพวกเ้าคงรู้”ท่านแม่ทัพใหญ่กล่าวออกมาด้วยสีหน้าท่าทางอันสงบเยือกเย็น เหงื่อไม่ไหล คิ้วไม่ขมวดสักนิด สมแล้วที่เป็ท่านผู้นำของพวกเขา แน่นอนว่าเข้าไปในเมืองแล้วต้องเชิญแม่ทัพรักษาการณ์เ่าั้มาปรับทรรศนะคติสักเล็กน้อย
พวกเขาต่างเข้าใจถึงความนัยที่ท่านแม่ทัพ้าสื่อ ท่านแม่ทัพช่างน่านับถือยิ่งนัก
ท่านปัญญาชนผู้ถือดาบ…
สองวันต่อมา
ทางใต้ของแคว้นซ่ง
ณ มณฑลกวางซี เมืองหนานหนิง
กองทัพใหญ่ที่มีกำลังพลกว่าสองแสนนายตั้งทัพปิดล้อมทางเข้าออกเมืองหนานหนิงอย่างแ่า เมื่อเห็นบรรยากาศของเมืองที่เป็ฐานที่มั่นของฏ เหล่าทหารที่ยกทัพมาด้วยความฮึกเหิมก็ต้องมองหน้ากันไปมาด้วยความงุนงง
ไหนเล่ากองทัพฏ
ไหนเล่าอ๋องแห่งหนานหนิง
ไม่มีกองทัพฏใดๆ มีเพียงกองกำลังไมกี่พันคนยึดเมืองเล็กๆ แห่งนี้แล้วจับตัวชาวเมืองเป็ตัวประกัน เื่กองทัพฏที่รายงานไปยังราชสำนักล้วนมีเบื้องลึกเื้ั สายตาอันคมกริบของอิงกั๋วกงมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างทะลุปรุโปรง ล่อให้ตาแก่อย่างข้าเดินทางรอนแรมมาพันลี้เพื่อจัดการกับเด็กเล่นจับตัวประกันเช่นนี้ ดี ดีมากเย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋
“รองแม่ทัพหวัง”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”รองแม่ทัพหวังััได้ถึงแรงโทสะที่แผ่ออกมาจากท่านแม่ทัพผู้เฒ่า แม้จะติดตามท่านมานานแต่น้อยครั้งนักที่ท่านจะมีโทสะเช่นนี้
“ข้าจะทิ้งทหารไว้ให้หนึ่งหมื่นจัดการที่เหลือให้เรียบร้อย”
“ผู้น้อยรับทราบ”
แล้วคำสั่งเร่งด่วนก็กระจายไปทั้งกองทัพ ระดับความรุนแรงคือสีแดง หมายถึงให้ทุกคนเร่งเดินทางไปทำศึกใหญ่ กองทัพมุงหน้าไปยังชายแดนเหนือทันที
“รองแม่ทัพเฉินส่งข่าวไปยังค่ายทหารของตระกูลให้เตรียมพร้อมเดินทางขึ้นเหนือทันที”
“ท่านแม่ทัพเราไม่มีคำสั่งให้เคลื่อนทัพ หากกระทำโดยพละการเบื้องบนจะกล่าวโทษเอาได้นะขอรับ”เฉินอี้ที่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ก็อดแย้งท่านปู่ของตัวเองไม่ได้
“ข้ามีป้ายบัญชาการรบยามฉุกเฉินไม่จำเป็ต้องแจ้งราชสำนัก เฉินอี้ไตร่ตรองให้ดีเ้ากลัวสิ่งใดมากกว่ากัน
ชีวิตของประชาชนเหอเป่ยที่กำลังตกอยู่ในอันตรายหรือคำครหาน่าบัดซบของคนพวกนั้น
ผู้สืบทอดของข้าจะมาคิดเล็กคิดน้อยไม่ได้!”
“หลานน้อมรับคำสั่งสอนของท่านปู่”เฉินอี้รับคำสั่งสอนของท่านปู่อย่างหนักแน่น ยังอ่อนหัดนักเขาได้แต่บอกตนเองว่าต้องเด็ดขาดกว่านี้ แม้อ่านสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำแต่การตัดสินใจยังไม่เฉียบขาดพอ
แม้กองทัพของสกุลเฉินจะเร่งเดินทางมากเพียงใด แต่พวกเขาก็เปรียบดังน้ำใกล้แต่ไฟดันลุกโหมอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแคว้น ยิ่งข่าวทางชายแดนเหนือที่ส่งมาถึงในหลายวันถัดมานั้นยิ่งตอกย้ำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น กองทัพเหลียวบุกมาหยั่งเชิงกำลังทหารที่จี้โจว แล้วดูสิ่งที่ราชสำนักลงความเห็นกลับไป ไม่ส่งทัพไปเสริมยังไม่เท่าใด แต่คำพูดที่ว่าพวกเหลียวแค่มาทำตัวเป็ตัวก่อกวน อากาศยามนี้แช่แข็งคนเป็ๆ ได้หากพวกเหลียวยังมาสู้รบได้ก็เป็ยอดคนแล้ว
คำพูดเช่นนี้ขุนนางที่ดีแต่นั่งกินภาษีประชาชนไปวันๆ เท่านั้นถึงจะคิดออกมาได้
และคำพูดเช่นนี้เองยังสามารถทำให้ฮ่องเต้คล้อยตามได้
บัดซบ…
แม้แม่ทัพผู้เฒ่าจะมิค่อยพึงใจในระดับสติปัญญาที่ต่ำเกินกว่าจะปกครองบ้านเมืองของฮ่องเต้พระองค์นี้ แต่ท่านก็ทำสิ่งใดมิได้ แม้พระองค์จะโง่ไปนิดแต่ความเมตตาของพระองค์นั้นอยู่ในระดับหลวงจีนผู้ทรงศีล จึงทำให้คนแก่ๆ เช่นเขาต้องช่วยประคับประคองให้ราชสำนักเกิดความสมดุล ไม่ให้ขั้วอำนาจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเหิมเกริมได้
แม้ท่านผู้เฒ่าจะคาดหวังว่าหากตนเดินทางกลับไปไม่ทันกองทัพของทางนั้นจะออกมาแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที เดินทัพอีกหลายวันต่อมาข่าวสถานการณ์ชายแดนเหนือที่ส่งมาทำเอาท่านแม่ทัพผู้เฒ่ามุมปากกระตุก นี่ไม่ใช่หลักการทำงานของเ้าเฒ่าผู้นั้นนี่
‘รายงานทางการทหาร
ทัพเหลียวบุกมาสองครั้ง เป็เพียงกองทัพขนาดเล็กๆ แม่ทัพรักษาการสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
ขอฝ่าาและเหล่าขุนนางโปรดวางใจ’
“อาอี้ข้าว่าเ้าเจอคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อเสียแล้ว”ท่านผู้เฒ่ายื่นจดหมายลับที่ส่งมาจากคนของตัวเองที่อยู่จี้โจวให้หลานชายอ่าน
เฉินอี้อ่านข้อความในกระดาษแผ่นเล็ก ช่างกล้านัก… กล้าหาญจนถึงกับปิดตายทั้งมณฑลเช่นนี้คงมีแต่เ้าหนูผู้นั้น เด็กที่ยังไม่โตผู้หนึ่งแต่ปากกล้าพูดเื่การแต่งงานของตนเอง ชายหนุ่มคิดถึงหน้าเ้าตัวจอมวางแผนหลอกปั่นหัวผู้คนไปทั่วแล้วอยากจับมาตีสั่งสอนสักหลายที
“ไอหยา… สังขารแก่ๆ ของข้าคงเดินทางต่อไปไม่ไหวแล้วหยุดพักๆ ตามหมอมาให้แม่ทัพผู้นี้ที”
เฉินอี้ใช้หางตามองชายแก่ที่กุมหน้าอกร้องโอดโอย ความกดดันจากการเดินทางอย่างเร่งรีบค่อยๆ หายไปดูเอาจากท่านแม่ทัพเถิด ดูท่านจะไม่กังวลอีกต่อไปแล้วเขาต้องคิดมากไปเพื่ออะไร
ตามหมอ ตามมาให้หมด
ชายหนุ่มมีลางสังหรณ์ว่าจุดจบของเ้ารัชทายาทแคว้นเหลียวใกล้มาถึงแล้ว
กับศัตรู...กำจัดได้หนึ่งทหารอย่างพวกเขาก็สงบใจได้อีกพักใหญ่