“ได้ครับ” เจาเยี่ยตอบรับมีความรู้สึกไม่พอใจแปลก ๆ เล็กน้อย
“ขอบใจนะ” อันนาตอบอย่างจริงใจ เธอกำลังจะเชิญเจาเยี่ยให้ไปดื่มด้วยกันแก้วหนึ่งก็เห็นหลินเซวียนเดินมาทางพวกเขาพอดี
จากที่ไกล ๆ เห็นอันนาสีหน้าไม่สู้ดี (อันที่จริงเธอแค่ไม่ได้ยิ้ม)กำลังคุยอะไรกับเจาเยี่ยอยู่ หลินเซวียนรีบเดินมาหาพวกเขายืดตัวยืนอยู่ข้างเจาเยี่ย ทำท่าทางเหมือนกำลังปกป้องอาหารแล้วทักทายอันนาด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีครับคุณนายกู้”
“สวัสดีค่ะ” อันนายิ้มอย่างระอา เธอไม่ใช่เสือนะกินเขาไม่ได้สักหน่อย จะปกป้องอะไรขนาดนั้น
“ไม่ทราบว่าคุณนายกู้หาเจาเยี่ยมีเื่อะไรเหรอครับ” หลินเซวียนถามหยั่งเชิง
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่ค่อนข้างชอบหนังของเขาพอเห็นเขาอยู่ที่นี่ก็เลยมาคุยกับเขานิดหน่อย” อันนาอธิบายแล้วยิ้มให้เจาเยี่ย
“อ้อ ผมนึกว่ามีเื่อะไรกันเสียอีก ผมจะได้ช่วยเหลือ น่าเสียดายจริง ๆที่ไม่มีโอกาสได้ปรนนิบัติ” หลินเซวียนถอนหายใจด้วยความเสียใจแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อคุณนายกู้ไม่มีเื่อะไรงั้นผมขอพาเจาเยี่ยกลับก่อนนะครับ”
“กลับไปตอนนี้เลยเหรอ ไม่อยู่ร่วมงานต่ออีกสักหน่อยเหรอคะ” อันนาขอร้องให้อยู่ต่ออย่างเป็พิธีรีตอง
“ไม่แล้วครับ ผู้ใหญ่ที่บ้านหกล้ม ไม่รู้ตอนนี้สถานการณ์จะเป็อย่างไรบ้างผมต้องรีบกลับไปดู” หลินเซวียนตอบปฏิเสธ
“ผู้ใหญ่หกล้มหรือนี่ งั้นคุณรีบกลับไปดูเถอะได้ข่าวยังไงอย่าลืมโทรศัพท์มาบอกให้ทราบกันด้วยนะคะ” อันนาขมวดคิ้วและพูดอย่างเป็ห่วง
“ได้ครับ งั้นขอลาเลยนะครับ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ” พูดจบ หลินเซวียนก็ดึงแขนเสื้อของเจาเยี่ยแล้วเดินออกไป
“ปู่หลินไม่เป็อะไรใช่ไหม” ออกจากบ้านตระกูลกู้และขึ้นนั่งบนรถแล้วเจาเยี่ยถามหลินเซวียนอย่างเป็ห่วง
“ไม่เป็อะไร เขาไม่ได้หกล้มเลยเมื่อกี๊เพราะอยากรีบขอตัวกลับเลยพูดไปอย่างงั้น” หลินเซวียนยักคิ้วหลิ่วตาหัวเราะลั่น
“นายนี่ เอาผู้ใหญ่ที่บ้านมาเป็ข้ออ้าง” เจาเยี่ยส่ายหัวอย่างระอาหันหน้ากลับไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ผ่านสายตาเขาไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็ไร คงไม่มีทางเกิดขึ้นจริงหรอก” หลินเซวียนเม้มปากอย่างไม่มีความหมายและก็ปล่อยมันกลับสู่ปกติกวาดตามองเจาเยี่ยทั่วร่างอย่างไม่วางใจแล้วถามว่า “เจาเยี่ยเมื่อกี๊คุณอันนาเธอมาคุยกับนายเพราะเธอเลื่อมใสนายจริง ๆ เหรอ เธอได้ทำอะไรนายรึเปล่า”
“อืม” เจาเยี่ยผงกหัวคิดถึงคำพูดของอันนาเมื่อสักครู่ จู่ ๆ ก็ไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ราวกับว่ากำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ก็เหมือนกำลังมองกรอบหน้าต่าง และก็ดูเหมือนว่าไม่ได้มองอะไรสักอย่างเลย “เธอจะทำอะไรฉันได้ถ้าไม่นับเื่สถานะของเธอเธอก็เป็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น”
“เกรงว่าเธอไม่เหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไปน่ะสิ เมื่อกี้นายไม่เห็นเหรอที่เธอทำเนียนให้ฉันเป็แพะรับบาป” หลินเซวียนทำหน้ามุ่ย “เจาเยี่ย ฉันจะบอกอะไรให้นายอย่ามองคนที่รูปลักษณ์ภายนอกอย่ามองคนบ้านตระกูลกู้ดั่งคนที่เต็มไปด้วยความเมตตากางแขนต้อนรับทุกคนด้วยรอยยิ้ม จริง ๆ แล้วนิสัยของพวกเขาแย่มาก เหมือนตาเฒ่ากู้เมื่อสักครู่รู้อยู่ว่าฉันต้องขับรถ ยังเทเหล้าแรง ๆ มากมายให้ฉันดื่มอีก”
“นั่นไม่ใช่เพราะนายรังแกลูกชายเขาเหรอเขาก็อยากระบายความโกรธแทนลูกชายเขามันเป็ธรรมดาของมนุษย์” เจาเยี่ยพูดพลางหันกลับมาและหลับตา
“ใครรังแกลูกชายเขา ที่ฉันทำนั่นเรียกว่ารังแกเหรอ ถ้าฉันอยากจะรังแกจริงป่านนี้คงเล่นเอาเขาพิการไปแล้วเ้าเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน แตะต้องตัวนายไม่ว่า แต่นี่กลับบังอาจมาจูบนาย!เขาไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน” หลินเซวียนโมโหมากทุบพวงมาลัยรถเพื่อระบายอารมณ์ แต่กลับโมโหมากกว่าเดิม
“ฤทธิ์เหล้าทำให้คนกล้าเขาเมาแล้วถึงได้กล้าทำอะไรแบบนี้ไม่ต้องใส่ใจมากหรอก” เจาเยี่ยเม้มปากเล็กน้อยและกล่าว
“ไม่ต้องได้ยังไง ฉันยังไม่ได้จูบเลย ทำไมต้องยอมให้เขาจูบด้วย” ั้แ่เริ่มแรกที่หลินเซวียนรู้จักกับเจาเยี่ยเขาก็มักเล่นมุกอย่างสนิทสนมแบบนี้ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะพูดโจ่งแจ้งแค่ไหน เจาเยี่ยก็ไม่ได้สนใจเลยแต่ว่าครึ่งหลังของประโยคนั้นมันทำให้เขาครุ่นคิดขึ้นมา
“แต่ว่านะ นายเกลียดการััทางกายกับคนอื่นนี่ ถูกเขาจูบแบบนี้นายต้องไม่สบายใจแน่เลย เขากล้าทำให้นายไม่สบายใจฉันจะจดจำความแค้นนี้ไว้ไม่ลืมอย่างแน่นอน”