รอบนี้ชวีเสี่ยวปอนอนไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่ กลางดึกเขารู้สึกหนาวสั่นขึ้นมามากเลยทีเดียว ขณะนั้นเขาพยายามมุดตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเซี่ยเจิง แต่ก็ยังรู้สึกไม่อุ่นพออยู่ดี
จนกระทั่งรุ่งเช้าเมื่อเขาลืมตาอันบวมเป่งขึ้นมาอย่างงัวเงีย เขาก็เห็นเซี่ยเจิงกำลังนั่งจ้องมองเขาอยู่ที่ข้างเตียงด้วยความเป็ห่วง
“เป็อะไรไป? ” ชวีเสี่ยวปอถาม
“ตอนดึกนายเป็ไข้แล้ว รู้หรือเปล่า? ” ขณะที่พูดเซี่ยเจิงก็ยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของชวีเสี่ยวปอด้วย หลังมือของเขาค่อนข้างเย็น ชวีเสี่ยวปอจึงอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปใกล้ๆ เนื่องจากอุณหภูมินี้ทำให้เขารู้สึกสบายสุดๆ จากนั้นจึงตอบออกไปว่า :
“ไม่รู้เลย”
แต่ทันทีที่เซี่ยเจิงพูดเตือนขึ้นมา เขาเองก็เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกเ็ปไปทั่วทั้งร่างเช่นนี้สาเหตุไม่ได้เป็เพียงเพราะเขาหลับนอนกับเซี่ยเจิงอย่างเดียวเท่านั้น
“ป้อนน้ำให้นาย ให้นายกินยาก็ไม่รู้เื่เลยเหรอ? ”
เหมือนว่ามีเื่แบบนี้เกิดขึ้นจริง ชวีเสี่ยวปอพยายามนึกย้อนกลับไป เพียงแต่ในตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ รู้เพียงแค่ว่าน้ำร้อนไปหน่อย อีกทั้งเขายังบ่นออกมาด้วยว่าทำไมในฝันถึงเหมือนจริงขนาดนี้
ชวีเสี่ยวปอเบะปาก พร้อมทั้งขยับศีรษะไปนอนลงบนตักของเซี่ยเจิง เดิมทีเขาที่ยังไม่ค่อยตื่นดีสักเท่าไหร่ บวกกับที่ไม่ค่อยสบายด้วย การกระทำเช่นนี้จึงดูเหมือนการออดอ้อนเซี่ยเจิงไปโดยปริยาย จากนั้นจึงพูดขึ้นมาเสียงอู้อี้ว่า :
“ตอนนี้ฉันรู้สึกทรมานมากเลย”
…………………………
เซี่ยเจิงใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าเขาขึ้นมา พร้อมทั้งจับเขาวางกลับไปบนเตียงให้นอนดีๆ จากนั้นจึงคลำหาปรอทวัดไข้จากบนโต๊ะมาสอดเข้าที่ใต้รักแร้ของชวีเสี่ยวปอโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นถึงเอ่ยขึ้นมาว่า : “อยู่นิ่งๆ วัดไข้ก่อน”
“เดี๋ยวได้เหงื่อออกหน่อยก็หายแล้ว” แขนข้างหนึ่งของชวีเสี่ยวปอขยับไม่ได้แล้ว ทำให้แขนอีกข้างยิ่งอยู่ว่างไม่ได้ เขาบีบไปบนต้นขาของเซี่ยเจิง พลางบ่นว่า : “ทำไมฉันถึงอ่อนแอเหมือนหลินไต้อวี้แบบนี้เนี่ย”
“หลินไต้อวี้ที่ไหนตัวใหญ่กำยำขนาดนี้” เซี่ยเจิงหัวเราะ แต่แล้วก็พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ยังเจ็บอยู่ไหม? ”
“บ้า” ชวีเสี่ยวปอหันหน้าหนีทันที พลางเอ่ยขึ้นเสียงอู้อี้ : “นายเปลี่ยนเื่เร็วไปไหมเนี่ย”
“ฉันจริงจังนะ” เซี่ยเจิงยังไม่ได้พูดประโยคที่เหลือ เขาคิดว่าสาเหตุที่ชวีเสี่ยวปอเป็ไข้เป็เพราะเื่นี้ เนื่องจากครั้งแรกเขาสองคนก็ล้วน...ยั้งแรงเอาไว้ไม่อยู่ ในตอนเช้าเขาออกไปซื้อยาทาแก้อักเสบมาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนนี้วางอยู่ในลิ้นชัก แต่เขายังไม่กล้าหยิบมันออกมา
“นี่มันเื่จริงจังหรอกเหรอ” ถึงแม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะเอียงศีรษะ แต่ในน้ำเสียงของเขากลับสามารถฟังออกได้ในทันทีว่ากำลังกลั้นขำเอาไว้อยู่ เซี่ยเจิงจึงยื่นนิ้วออกไปจิ้มที่ก้นกบของเขาทีหนึ่ง แล้วก็เป็อย่างที่เขาคิดไว้
“เฮ้อ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกไม่แน่ใจ แต่ก็พลิกตัวกลับมามองเซี่ยเจิง : “นายคิดว่าฉันอ่อนแอสุดๆ เลยใช่ไหม? ”
“ก็ไม่ได้หมายความแบบนั้น” เซี่ยเจิงกะพริบตาเล็กน้อย จากนั้นก็แกล้งทำท่าทีว่า “ฉันกำลังจริงจังมาก” ขึ้นมา “ฉันแค่รู้สึกพอใจในความแข็งแกร่งของตัวเองน่ะ”
หลังจากพูดจบ เซี่ยเจิงก็กดเสียงต่ำพูดออกมา “นายไม่พอใจหรอกเหรอ? ”
“นายนี่มันลามกที่สุดในโลกเลย” แน่นอนว่าเมื่อได้เริ่มความสัมพันธ์ทางกายอันดุเดือดขึ้นมาแล้ว การพูดคุยเื่สิบแปดบวกระหว่างเขาทั้งสองคนจึงค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเสี่ยวปอชูนิ้วกลางทั้งสองข้างให้เซี่ยเจิง พลางพูดขึ้นมาอย่างรู้สึกเขินอายเล็กน้อย : “ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้ว เมื่อคืนก็ดีขึ้นเยอะแล้วละ”
เขาสองคนพูดคุยเล่นเรื่อยเปื่อยไปครู่หนึ่ง และแล้วปรอทวัดไข้ก็วัดอุณหภูมิเสร็จเรียบร้อย “สามสิบเจ็ดจุดสาม” เซี่ยเจิงมองแถบปรอทอย่างละเอียด จากนั้นจึงหยิบปรอทวัดไข้กลับมา “ยังมีไข้ต่ำๆ อยู่เลย”
“ไม่เป็ไร” ชวีเสี่ยวปอส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก พลางเอ่ยขึ้นว่า : “นายเพิ่มผ้าห่มให้ฉันหน่อยสิ เดี๋ยวเหงื่อออกหน่อยก็หายแล้ว”
“ได้” เซี่ยเจิงกางผ้าห่มออกมาพันไว้บนตัวของเขา “กินอะไรหน่อยนะ เดี๋ยวจะได้กินยาลดไข้”
“คุณป้าล่ะ? ” ชวีเสี่ยวปอถาม “คุณป้ากินข้าวเช้าหรือยัง? ”
“ยังจะข้าวเช้าอยู่อีกเหรอ? ” เซี่ยเจิงชี้ไปที่โทรศัพท์ ส่งสัญญาณให้ชวีเสี่ยวปอดูเวลาสักนิด “แม่ฉันไปออกกำลังกายตอนเช้าที่สวนสาธารณะมารอบหนึ่งแล้ว ตอนนี้ไปเรียนอยู่บ้านป้าหลี่โน้นน่ะ”
“ฮะ? ” ชวีเสี่ยวปอไม่เข้าใจ
“ก็สองวันก่อนป้าหลี่ทอดซาลาเปาทอดมาให้ แล้วมันอร่อยมาก แม่ฉันเลยอยากเรียน” เซี่ยเจิงอธิบาย “เอาละ ตอนนี้ฉันขอเรียนถามหน่อย บรรพบุรุษน้อยท่านนี้อยากจะทานอะไรดี? เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้”
ชวีเสี่ยวปอผงะไปชั่วขณะ ผ่านไปพักใหญ่เขาถึงได้เข้าใจว่า “บรรพบุรุษน้อย” คำนี้เซี่ยเจิงกำลังพูดถึงเขาอยู่ การที่เซี่ยเจิงยอมให้เขาเอาเปรียบโดยใช้ลำดับความาุโนี้มันช่างทำให้ชวีเสี่ยวปอมีความสุขเสียจริงๆ เขาหัวเราะออกมาสองครั้งแล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ขนมเปี๊ยะยัดไส้ได้ไหม? ปากมันจืดๆ อะ อยากกินอะไรเค็มๆ หน่อย”
“ได้เลยครับ” เซี่ยเจิงลุกขึ้นมาทำท่าวันทยหัตถ์ให้เขา พร้อมทั้งพูดขึ้นมาอย่างเกินจริง : “รับรองว่าจะทำภาระให้เสร็จสมบูรณ์แน่นอนครับ กินกับโจ๊กข้าวฟ่างสักชามเอาไหม? ”
“ได้” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกตลกขบขันไปกับเขา “ไปเถอะ”
ก่อนที่ออกไปเซี่ยเจิงก็ห่มผ้าห่มให้ชวีเสี่ยวปออีกชั้นหนึ่ง อีกทั้งยังเติมน้ำร้อนใส่แก้วที่วางอยู่ตรงหัวเตียงให้เขาด้วย ราวกับว่าไม่ได้จะไปซื้อข้าวที่หน้าปากซอย แต่กำลังจะออกเดินทางไกลอย่างไรอย่างนั้น
………………………….
หลังจากที่เซี่ยเจิงเดินออกไป ชวีเสี่ยวปอก็นอนเล่นมือถืออยู่บนเตียงอย่างสบายใจ เลื่อนดูโมเมนต์เพื่อนไปรอบหนึ่ง กดถูกใจให้เจียงอี้หยาง จากนั้นจึงตอบกลับข้อความของซือจวิ้นที่ส่งมาเมื่อวานนี้
ไม่มีอะไรน่าสนุกเลยสักนิด เขาจึงเปิดกล้องขึ้นมาถ่ายเซลฟี่
ชวีเสี่ยวปอไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเซลฟี่สักเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่เขาโพสต์ลงก็จะได้รับการกดถูกใจถล่มทลายจากเพื่อนนักเรียนผู้หญิง บางครั้งเวินลี่ก็เข้ามากดถูกใจด้วยเช่นกัน แต่เป็ในสถานการณ์ที่ชวีเสี่ยวปอไม่ได้บล็อกเธอเอาไว้น่ะ
ครั้งนี้ชวีเสี่ยวปอเลือกมุมในการถ่าย ก่อนที่จะขึ้นมาถ่ายเพียงแค่ใบหน้าด้านข้างของเขา อันที่จริงหลักๆ แล้วคือ้าอวดว่าเขาอยู่บนเตียงของเซี่ยเจิง แต่นอกจากเซี่ยเจิงแล้วใครจะรู้ได้ล่ะ พูดตามตรงก็คือเขาถ่ายให้เซี่ยเจิงดู
ชวีเสี่ยวปอกดถ่ายไปอยู่หลายรูป จากนั้นก็เลือกรูปที่คิดว่าตัวเองดูดีที่สุดขึ้นมารูปหนึ่งโพสต์ออกไปพร้อมกับประโยคที่ว่า “นอนไม่เต็มอิ่ม”
แล้วก็เป็อย่างที่คิด หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีนอกจากจะมีคนเข้ามากดถูกใจสิบกว่าคนแล้ว ยังมีคอมเมนต์เหน็บแนบของซือจวิ้นที่ด้านล่างด้วยว่า : “นอนไม่เต็มอิ่มแล้วยังจะโพสต์โมเมนต์อีก? ”
ชวีเสี่ยวปอหัวเราะออกมา จากนั้นจึงกดเปิดหน้าสนทนาของซือจวิ้นขึ้นแล้วส่งข้อความเสียงไปว่า : “รู้จักตอบกลับโมเมนต์แต่ไม่ตอบแชทฉันเนี่ยนะ? ”
“เพิ่งจะเห็น ทำไมเสียงนายแหบขนาดนี้อะ? ” ซือจวิ้นตอบกลับมาในทันที
...เพราะร้องตอนนั้น
ชวีเสี่ยวปอไม่กล้าพูดออกไปตามความจริง เขารีบหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบให้ชุ่มคอ แล้วตอบไปว่า : “ฮีตเตอร์ในห้องมันทำงานดีไปละมั้ง เลยร้อนนิดหน่อย”
โชคดีที่ซือจวิ้นเองก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย ส่งมาประโยคหนึ่งว่า : “ตอนบ่ายว่างไหม? ”
ไม่ว่าง ต้องจู๋จี๋กับแฟน
ชวีเสี่ยวปอตอบกลับไปว่า : “มีอะไร นายว่ามาเลย”
“ช่วยฉันเลี้ยงเด็กหน่อย” ประโยคนี้ของซือจวิ้นไม่ได้ข้อความเสียงมา แต่เป็ข้อความที่พิมพ์ส่งมาแทน ถึงแม้จะเป็เช่นนี้ ทว่าชวีเสี่ยวปอก็ยังรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังในประโยคนั้น... เขาเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จึงพูดแหย่ไปว่า :
“คุณพี่เลี้ยงเด็กงานเข้าอีกแล้วเหรอ? ”
ครอบครัวป้าของซือจวิ้นมีลูกชายฝาแฝดสองคน ทั้งยังซนมากด้วย ทุกครั้งที่ป้าของเขามาหาก็จะฝากเด็กแสบทั้งสองคนให้ซือจวิ้นเลี้ยง และป้าเขาก็จะวางมือไม่เข้ามายุ่งเลยสักนิด ซือจวิ้นจึงถูกทรมานจนเรียกฟ้าฟ้าไม่ตอบเรียกดินดินไม่ขาน [1] เลยทีเดียว
“ช่วยด้วยนะปอเอ๋อร์ บ่ายนี้ฉันจะพาพวกเขาสองคนออกไปข้างนอก ไม่งั้นฉันคงจะรักษาบ้านหลังนี้เอาไว้ไม่ได้แน่ๆ ครั้งก่อนก็รื้อบ้านฉันไปรอบหนึ่งแล้ว !” ซือจวิ้นคร่ำครวญขึ้นมาอย่างทุกข์ทรมาน
ชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงเด็กเล่นกันเจี๊ยวจ๊าวจากในข้อความเสียงนั้น แล้วจึงส่งอิโมจิโอเคไปให้เขา ก่อนที่จะตอบกลับไปว่า : “งั้นเจอกันที่หน้าหมู่บ้านนายก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันไปกับเซี่ยเจิง”
“เมื่อวานนายไปนอนบ้านเซี่ยเจิงอีกแล้ว? ” เขาเลือกใช้คำได้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ
“มีปัญหา? ” ชวีเสี่ยวปอตอบ
“เปล่า แค่นายช่วยฉันเลี้ยงเด็ก นายก็เป็ลูกพี่เลย”
ชวีเสี่ยวปอตอบกลับไปแค่ “คุกเข่าคารวะสิ” ซือจวิ้นเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เดาว่าเขาน่าจะไปจัดการกับเด็กน้อยสองคนนั้นแล้ว
หลังจากที่เปิดแอปพลิเคชันฟังเพลงไปได้สองเพลง เซี่ยเจิงก็กลับมาแล้ว มือทั้งสองข้างของเขาถือถุงใบใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยของมากมาย คงจะเป็เพราะอยากกลับมาถึงเร็วๆ จึงได้เดินมาอย่างรีบร้อน ทำให้ในตอนนี้เขายังคงหอบอยู่เล็กน้อย
ชวีเสี่ยวปออยากจะลุกขึ้นจากเตียง แต่เซี่ยเจิงกลับห้ามเขาเอาไว้ก่อน พลางพูดขึ้นว่า : “ไม่ต้องลุก กินบนเตียงนี่แหละ เดี๋ยวฉันไปหาโต๊ะตัวเล็กมาให้ก่อน เอ่อจริงสิ เปี๊ยะไส้เนื้อหมดนะ ก็เลยซื้อไส้หมูกับไส้ทะเลมาให้ ส่วนโจ๊กข้าวฟ่างก็หมดเหมือนกัน ฉันเลยซื้อหมี่น้ำมาแทน ไม่ได้ใส่พริกให้ด้วยนะ ถ้าไม่ถูกปากเดี๋ยวฉันไปชงข้าวโอ๊ตให้ไหม? แป๊บเดียว”
ชวีเสี่ยวปอส่ายหน้าไปมา พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นว่าไม่เป็ไร
เพลงในโทรศัพท์ก็เล่นถึงท่อนนี้พอดี :
“So am I
The one that has your love”
ในขณะที่ทานเส้นหมี่ที่ยังร้อนลวกปากอยู่ชวีเสี่ยวปอก็คิดไปด้วย
เนื้อเพลงช่างเข้ากับสถานการณ์ตอนนี้จริงๆ
.............................
เชิงอรรถ
[1] เรียกฟ้าฟ้าไม่ตอบเรียกดินดินไม่ขาน อุปมาถึง การตกที่นั่งลำบาก ไม่มีคนช่วยเหลือ