ด้วยความหวาดระแวงว่าฉุนอวิ๋นเซียวเฟิงและลี่หงจะยังคงดักรออยู่ในเมืองฝูเจิ้น อวิ่นหนิงเจี่ย จึงตัดสินใจว่าพวกเขาจะไม่เข้าสู่เมืองฝูเจิ้น
พวกเขาเลือกที่จะ พักรักษาตัวอยู่บริเวณเชิงเขา ห่างจากเส้นทางหลัก โดยใช้ โอสถเซียนหลิงซิน ที่จิงเหว่ยโยนทิ้งไว้ ยาโอสถล้ำค่านี้ออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว าแที่เอ็นเข่าของอวิ่นหนิงเจี่ยก็ทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังไม่หายสนิท แต่ก็พอที่จะเดินทางต่อได้
เมื่ออาการดีขึ้นพอสมควร ทั้งสามก็ตัดสินใจ ตัดทางมุ่งหน้าสู่เทือกเขาหลงเซี่ยง ทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าอันตรายอีก
ในที่สุด หลังจากที่เดินทางมานานหลายวัน ทั้งสามก็มาถึงตีนเขาหลงเซี่ยงจนได้
ภาพที่พวกเขาเห็นใกล้ ๆ นั้นน่าสะพรึงกลัวกว่าที่เห็นจากระยะไกลหลายเท่านัก
เขาหลงเซี่ยง ไม่ได้เป็เพียงูเาทั่วไป มันเป็ ูเาสูงทมึนน่าเกรงขาม ยิ่งใหญ่จน มองไม่เห็นยอดเขา เพราะมันสูงเสียดทะลุเมฆหมอกขึ้นไป บริเวณโดยรอบเทือกเขาเป็ หินผาที่ตะปุ่มตะป่ำ เต็มไปด้วยรอยแยกและร่องลึกที่ดูโบราณ
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือสภาพแวดล้อม ไม่มีต้นไม้ ใบไม้ ต้นหญ้าแม้แต่ต้นเดียว ราวกับว่าปราณวิถีแห่งชีวิตถูกดูดกลืนออกไปจนหมดสิ้น บรรยากาศรอบตีนเขา เหมือนอยู่ในเตาอบ ที่แห้งแล้งและร้อนระอุ สอดคล้องกับคำร่ำลือเื่ความแล้งแค้นและอาถรรพ์
ต้วนผิงอันและหนิวมู่อี้ สีหน้าหนักใจ พวกเขามองหน้ากันไปมาด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจ แต่ความมุ่งมั่นของอวิ่นหนิงเจี่ยยังคงแรงกล้า
อวิ่นหนิงเจี่ย มองสำรวจ เส้นทางที่จะขึ้นสู่ยอดเขา ที่ด้านหน้าอย่างพิจารณา โชคดีที่ยังพอมี ทางเดินแคบ ๆ ที่เกิดจากการกัดเซาะของธรรมชาติ ให้พอจะเดินเรียงกันขึ้นไปได้
พวกเขาพักเอาแรง สักครู่ ก่อนที่อวิ่นหนิงเจี่ยจะลุกขึ้น "ไปกันเถอะ"
ทั้งสามตัดสินใจเดินขึ้นเขาตามเส้นทางแคบ ๆ นั้น การเดินค่อนข้างยากลำบากเพราะความร้อนและความแห้งแล้ง แต่พวกเขาก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปอย่างเงียบ ๆ
เมื่อ เดินไปชั่วหม้อข้าวเดือด (เวลาสั้น ๆ ประมาณสิบห้านาที) สิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น: ทางเดินกลับกว้างขึ้น ราวกับมีผู้ใดมาใช้เครื่องมืออันทรงพลังในการ ทำทางไว้ ก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขาสามารถเดินเคียงข้างกันได้
แต่เมื่อ เดินไปอีกชั่วก้านธูป (เวลาประมาณห้านาที) ท้องฟ้าและบรรยากาศภายในหุบเขาพลันเปลี่ยนไป อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะเป็เพียง เวลาบ่ายคล้อย แต่ ท้องฟ้าเหนือหุบเขาเริ่มมืดลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับก้าวเข้าสู่ยามค่ำคืนในทันที อุณหภูมิโดยรอบลดต่ำลงอย่างรวดเร็วแทนที่ความร้อนระอุเมื่อครู่ พลังปราณที่เคยแห้งแล้งก็เริ่มแปรปรวนและหนาแน่นขึ้น
ทั้งสามหยุดเดินเพื่อ ประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากะทันหันนี้ ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความหวาดระแวงถึงตำนานของูเาต้องสาปนี้
สายตาของเด็กหนุ่มทั้งสามกวาดมองรอบทิศทางอย่างตื่นตระหนก ความมืดมิดที่มาเยือนอย่างกะทันหันกลางวันแสก ๆ และพลังปราณที่แปรปรวนในหุบเขาแห่งนี้ได้สร้างความรู้สึกอันตรายถึงขีดสุด
ทันใดนั้น! พวกเขาก็ได้ยิน เสียงที่คล้ายฝีเท้าม้าหนัก ๆ หลายตัวกำลังค่อย ๆ เหยาะลงมา ตามทางเดินบนทางขี้นเขา เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับความเย็นเยียบที่แผ่ซ่านเข้ามาในอากาศ
ทั้งหมดหันมองตามเสียงด้วยความหวาดระแวง และภาพที่เห็นต่อหน้าก็ทำเอาเด็กหนุ่มทั้งสามคน ขนลุกซู่ไปทั้งร่าง!
เบื้องหน้าของพวกเขา ปรากฏเป็ขบวนที่ดูคล้าย ขุนศึกหรืออสุรกาย ที่มิอาจบอกได้แน่ชัด กำลังค่อย ๆ เคลื่อนลงจากบนเขาตามทางเดินที่กว้างขึ้นนั้น
ขบวนผี นั้นมีจำนวนประมาณ ยี่สิบถึงสามสิบตน พวกมันมีรูปลักษณ์ที่น่ากลัว ผอมโซราวกับซากศพ แต่มีพลังงานลึกลับบางอย่างค้ำจุนร่างกายไว้
บางตน ควบม้ากระดูก ที่มีเปลวไฟสีเขียวอ่อน ๆ ลุกโชนอยู่ในเบ้าตา อาวุธ ที่พวกมันถือส่วนใหญ่มีลักษณะคล้าย กระบี่ แต่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ
ที่น่าขนลุกที่สุดคืออาวุธของพวกมันหลายชิ้นดูเหมือนจะ ถูกสนิมเกรอะ ไปทั้งเล่ม มีสภาพไม่ต่างจาก ดาบสนิม ที่อวิ่นหนิงเจี่ยได้รับมา
อสุรกายบางตนมีใบหน้าที่น่ากลัว มัน แสยะยิ้มแยกเขี้ยว เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหิวกระหายและอำมหิต ดวงตาของพวกมันเปล่งแสงสีแดงเรื่อ ๆ
มันคือ ขบวนทัพผี ที่ออกมาจากตำนานของเขาหลงเซี่ยงอย่างแท้จริง และพวกมันกำลังเคลื่อนที่มาทางสามสหายแห่งโรงม้าเมฆา!
"ปีศาจ!" หนิวมู่อี้ร้องออกมาเสียงสั่นเครือ ตัวของเขาสั่นเทาจนแทบยืนไม่อยู่
ต้วนผิงอันถึงกับอ้าปากค้างด้วยความใ อาวุธเพียงอย่างเดียวที่พวกเขามีคือมีดตัดไม้และดาบสนิมที่ไร้ค่า... พวกเขาจะต่อสู้กับกองทัพอสูรได้อย่างไร?
อวิ่นหนิงเจี่ย ไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว เขาเข้าใจสถานการณ์ที่ต้องสู้ตายอย่างชัดเจน
เขาพลัน ล้วงมือไปในย่าม หยิบ มีดดาบเดินป่า ที่ต้วนผิงอันซื้อมาส่งให้ หนิวมู่อี้ ทันที หนิวมู่อี้แม้จะมีความขี้กลัวอยู่บ้างเมื่อเจอสถานการณ์ตื่นเต้น แต่ความรักต่อสหายทำให้เขากล้าพอที่จะรับดาบนั้นไว้
อวิ่นหนิงเจี่ย วางย่ามลง อย่างรวดเร็วแล้ว แก้ห่อผ้า ก่อนจะ หยิบดาบขึ้นสนิม ที่อยู่ในกล่องออกมาถือไว้ ดวงตาของเขาลุกโชน ด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น
"ข้าจะเป็ผู้บุกอยู่ด้านหน้า!" อวิ่นหนิงเจี่ยประกาศด้วยเสียงหนักแน่น "มู่อี้ เ้าคอยสนับสนุนข้าด้วยการโจมตีระยะกลาง ส่วนเ้าผิงอัน... เ้าคอยสนับสนุนและป้องกันมู่อี้ อย่าได้พะวงถึงข้า!"
ต้วนผิงอันและหนิวมู่อี้สบตากัน ความผูกพันที่ร่วมเป็ร่วมตายหล่อหลอมให้พวกเขามีความกล้าเหนือความกลัว
"เราจะสู้ไปด้วยกัน!" ทั้งสามกล่าวขึ้นพร้อมกัน
ทัพผีสี่ถึงห้าตัวแรก ที่เดินเท้าได้ปรี่เข้าหาอวิ่นหนิงเจี่ยทันที พวกมันแสยะยิ้มด้วยความกระหายเื เพราะเห็นว่าอวิ่นหนิงเจี่ยเป็เพียงมนุษย์ไร้พลังปราณ
อวิ่นหนิงเจี่ยใช้ กลยุทธ์ง่าย ๆ ที่คาดไม่ถึง สำหรับคู่ต่อสู้ที่เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของร่างกาย
แทนที่จะต้านรับการโจมตีตรง ๆ เขาคุกเข่าลงก้มตัวต่ำ ในจังหวะที่อสูรเข้าประชิด แล้ว กวาดดาบสนิม ออกไปในระดับพื้น
ฉัวะ!
ดาบสนิมที่ดูไร้ค่านั้น กลับมีคมที่น่าประหลาด ตัดเข้าที่ข้อเท้าและขา ของผีดิบทั้งหมดที่โถมเข้ามา พวกมัน ล้มลงระเนระนาด กับพื้นด้วยเสียงกระทบที่น่าสะอิดสะเอียน
ผีดิบอีกสองตัวที่มาพร้อมกับความตาย ได้จังหวะที่อวิ่นหนิงเจี่ยกำลังก้มต่ำ จึง โถมตัวหมายจ้วงแทงกลางหลัง
หวือ!
พลันปรากฏ มีดดาบเดินป่า ที่ หนิวมู่อี้ ถืออยู่ พุ่งตวัดตัดคอ ผีดิบตัวที่อยู่หน้าสุดอย่างแม่นยำ มันคือท่าดาบที่มู่อี้เคยฝึกซ้อมเล่นๆที่ลานกว้างหน้าโรงม้า
ส่วนอีกตัวที่ตามมาก็ไม่ทันตั้งตัว โดนดาบตัดไม้ของต้วนผิงอัน ที่พุ่งเข้ามาประชิด ตัวขาดกระเด็น ลงไปนอนกองกับพื้น
อวิ่นหนิงเจี่ยตั้งหลักได้ ก็รีบลุกขึ้นยืน แต่สถานการณ์ก็เลวร้ายลงทันที
เขาต้องเผชิญกับการบุกโจมตีของ ทหารม้าผีดิบสองตัว ที่พุ่งมากระนาบ ซ้ายและขวา อย่างรวดเร็ว
ตัวแรก เล็ง จ้วงแทง ดาบยาวที่เต็มไปด้วยสนิมมาที่อวิ่นหนิงเจี่ยทันที อวิ่นหนิงเจี่ยใช้ ดาบสนิม ของตนเอง ต้านทานไว้ได้ อย่างฉิวเฉียด เกิดเสียงกระทบโลหะที่น่าใ
ขณะที่ตัวแรกกำลัง เสียจังหวะ จากการป้องกันที่แข็งแกร่งเกินคาดของอวิ่นหนิงเจี่ย ในตอนนั้น หนิวมู่อี้ ผู้ที่ฉวยโอกาสได้ดีที่สุด ก็ฉวยโอกาส ตัดขาม้ากระดูก ทางด้านซ้ายอย่างแม่นยำ
ทันทีที่ม้ากระดูกเสียหลักล้มลง ต้วนผิงอัน ก็ ะโตัดคอ เ้าผีดิบตัวนั้นที่กำลังเสียหลักร่วงลงมาทันทีด้วยความคล่องแคล่วว่องไว
ด้านอวิ่นหนิงเจี่ย เห็น ตัวที่สอง พุ่งเข้ามากระหนาบ เขารู้ว่าต้องหลบหลีกเท่านั้น จึง ส่ายร่างหลอกล่อ ไปด้านข้าง ทำให้ผีดิบตัวนั้น เล็งเป้าไม่ถนัด
แคว่ก!
ดาบของทหารม้าตัวที่สอง ตวัดหวือผ่านเส้นผมของอวิ่นหนิงเจี่ย ไปอย่างฉิวเฉียด จน ผมร่วงไปกระจุกหนึ่ง
อวิ่นหนิงเจี่ยไม่รอช้า เหวี่ยงดาบฟันเข้าที่คอม้ากระดูก ของทหารม้าตัวที่สอง ม้ากระดูกเสียหลักจะล้มลง อวิ่นหนิงเจี่ยอาศัยจังหวะ ะโเหยียบที่ตัวม้า เพื่อใช้เป็ฐาน ฟันใส่ร่างผีดิบ อย่างรวดเร็ว ทำให้ผีดิบนั้น กระเด็นตกม้า หมดสภาพการต่อสู้ไปอีกตน
สามสหายหยุดหอบหายใจชั่วขณะ พวกเขาจัดการทัพผีที่เข้ามาโจมตีระลอกแรกไปได้ แต่ยังเหลืออสุรกายอีกกว่าสิบตัวที่จ้องมองมาอย่างหิวกระหาย
การต่อสู้ดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด ทัพผีดิบ ที่เหลืออยู่เห็นว่ามนุษย์ทั้งสามแข็งแกร่งเกินคาด จึงเปลี่ยนกลยุทธ์เป็ พุ่งโจมตีมาเป็ระลอก ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน พวกมันอาศัยจำนวนและสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์เพื่อบดขยี้สามสหาย
แม้จะมีความสามารถในการต่อสู้ร่วมกันที่ยอดเยี่ยม แต่พวกเขาก็เป็เพียงมนุษย์ที่ไร้การฝึกปรือขั้นสูง
อวิ่นหนิงเจี่ย อาศัยความคล่องตัวและคมของดาบสนิมที่น่าประหลาดในการปัดป้องและสวนกลับ แต่เขาก็ถูกอาวุธสนิมของผีดิบเฉือนเข้าที่แขนและลำตัวหลายแห่ง
ต้วนผิงอัน ใช้พลังกายที่เหนือกว่าคนทั่วไปในการป้องกันและโต้กลับ แต่เขาก็ถูกทุบด้วยกระบองของผีดิบจนซี่โครงแทบจะหัก
หนิวมู่อี้ สนับสนุนการโจมตีจากระยะประชิดด้วยมีดดาบอย่างแม่นยำ แต่เขาก็ได้รับาแจากการโดนปลายดาบของผีดิบขูดเอาเนื้อไป
การต่อสู้ดำเนินไปอีก ชั่วหม้อข้าวเดือด (ประมาณ 15 นาที) ร่างกายของเด็กหนุ่มทั้งสาม เืโทรมตัวไปตาม ๆ กัน พลังกายและพลังใจเริ่ม หร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว ต่างจากกองทัพผีดิบที่ ทยอยลงมาจากเขาเรื่อย ๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
ในวินาทีที่ต้วนผิงอันกำลังเงื้อดาบตัดไม้ขึ้นฟันผีดิบตนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาโจมตีจากด้านข้าง และกำลังจะถูกผีดิบอีกตนสวนกลับ พลันมีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!
บน ศีรษะของต้วนผิงอัน ที่เต็มไปด้วยเหงื่อและฝุ่นผง พลันปรากฏแสงสีทองเรืองรอง จาง ๆ ล้อมรอบตัวเขาไว้ชั่วขณะ กล้ามเนื้อของเขากระตุก อย่างรุนแรง พลังที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขากำลังถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงด้วยแรงกดดันจากการต่อสู้เอาชีวิตรอด
ต้วนผิงอันกำลังจะทะลวงระดับเข้าสู่ระดับ เสินจวี้ (จิตรวม) โดยไม่ทันตั้งตัว!
ตลอดระยะเวลาที่ทำงานหนักในปศุสัตว์ ร่างกายของต้วนผิงอันได้สะสมพลังปราณพื้นฐานไว้จำนวนมหาศาล และความกดดันของการต่อสู้ครั้งนี้ได้ผลักดันให้พลังงานเ่าั้ หลอมรวมแก่นปราณ ได้สำเร็จ!
"นี่มัน... พลังอะไรกัน!" ต้วนผิงอันร้องออกมาด้วยความตกตะลึง แต่ในมือเขาก็กำดาบไว้แน่น พลังปราณที่เพิ่งตื่นขึ้นภายในร่างกายได้ทำให้ความกลัวของเขาลดลงไปอย่างมาก
อวิ่นหนิงเจี่ยเห็นแสงสีทองที่ต้วนผิงอันเปล่งออกมา ก็ตื่นตะลึงเช่นกัน! ต้วนผิงอันกลายเป็ผู้ฝึกตนแล้ว!
ไม่รอให้ทั้งสามตะลึงกับพลังใหม่ที่ต้วนผิงอันได้รับนานนัก กองทัพผีดิบ ก็บุกโจมตีเข้ามาอีกระลอกอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย พวกมันเรียนรู้จากการปะทะครั้งก่อนและเคลื่อนไหวอย่างมีระเบียบยิ่งขึ้น
"มู่อี้! หนิงเจี่ย! ถอยหลังไป!" ต้วนผิงอันะโสั่ง
ต้วนผิงอันสลัดความเหนื่อยล้าและความตกตะลึงทิ้งไป เขารู้ดีว่าพลังใหม่นี้มาใน่เวลาที่สำคัญที่สุด เขาจึง สวมบทบาทผู้นำการต่อสู้แทนอวิ่นหนิงเจี่ย ทันที
ต้วนผิงอันเคลื่อนตัวเข้าสู่ตำแหน่งด้านหน้า พลังปราณสีทองจาง ๆ ห่อหุ้มร่างกายของเขาไว้ เมื่อเขาเงื้อดาบตัดไม้ขึ้นฟัน ปราณก็ถูกถ่ายทอดสู่คมดาบ ทำให้ดาบนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ปัง! ปัง! ทุกการโจมตีของต้วนผิงอันเต็มไปด้วยพละกำลัง ผีดิบทุกตัวที่ถูกดาบของเขาฟันจะแตกสลาย หรือถูกกระแทกจนร่างกระเด็นไปไกล
อวิ่นหนิงเจี่ย ใช้ดาบสนิมที่ยังคงความคมประหลาด คอยป้องกัน และรับมือกับการโจมตีที่เล็ดลอดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
หนิวมู่อี้ คอย สนับสนุน ด้วยมีดดาบเดินป่าอย่างแม่นยำและช่วย ปฐมพยาบาล แผลที่เปิดกว้างของต้วนผิงอันอย่างรวดเร็วด้วยสมุนไพรที่เตรียมมา
แม้ต้วนผิงอันจะทะลวงพลังเข้าสู่ระดับจิตรวมแล้ว แต่กองทัพผีดิบก็มีจำนวนมากเกินไป พวกมันมิได้อ่อนแอลงเลยแม้แต่น้อย การต่อสู้ดำเนินไปอย่างทุลักทุเล พลังปราณที่เพิ่งก่อตัวขึ้นในร่างกายของต้วนผิงอันเริ่มถูกใช้จนหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด ต้วนผิงอันก็ถูกผีดิบม้ากระดูกตัวหนึ่งพุ่งเข้าชนอย่างจัง แม้ปราณจะช่วยลดแรงกระแทกได้มาก แต่เขาก็ เสียเืมาก จากาแที่ได้รับมาก่อนหน้านี้
"ผิงอัน!" อวิ่นหนิงเจี่ยร้องเรียกด้วยความใ
ต้วนผิงอันร่างทรุดลงกับพื้นด้วยอาการ หมดสติ ปล่อยให้ดาบตัดไม้หลุดมือ
หนิวมู่อี้พยายามเข้ามารักษาเพื่อนอย่างไม่คิดชีวิต แต่เขาก็ถูกผีดิบที่ตามมาโจมตีเข้าที่ด้านข้างอย่างรุนแรง เขาทนรับาแใหม่ไม่ไหวเนื่องจาก เสียเืมาก และ พลังกายหมดลงอย่างสมบูรณ์ ร่างของหนิวมู่อี้ล้มลงทับร่างของต้วนผิงอัน สองสหาย หมดสติไปแล้ว
อวิ่นหนิงเจี่ยเหลือเพียงลำพัง ดาบสนิมในมือของเขาสั่นเทา ร่างกายเต็มไปด้วยาแ ความสิ้นหวังเข้าปกคลุม แต่จิตปณิธานของเขายังคง แน่วแน่
เขามองไปยังสหายทั้งสองที่ล้มอยู่เื้ั แล้วมองไปยังกองทัพผีดิบที่กำลังเข้ามาล้อมกรอบ ไม่มีความคิดที่จะยอมแพ้ หรือแม้แต่จะวิ่งหนี
· ข้าต้องสู้... ข้าต้องปกป้องพวกเขา!ข้าจะสู้จนตัวตาย!
อวิ่นหนิงเจี่ยรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย ความสิ้นหวังและความเด็ดเดี่ยว นั้นได้ถูกหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกัน เขาเงื้อดาบสนิมขึ้นเหนือศีรษะ
เขาะโออกมาด้วยเสียงที่มาจากก้นบึ้งของจิติญญา "ยากกกกกกกก!!!"
แล้ว กระโจน เข้าฟันผีดิบตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างบ้าคลั่ง!
ในวินาทีที่ดาบสนิมปะทะกับร่างของผีดิบจนมัน กระเด็น ออกไป พลังที่ถูกกดทับมาตลอดชีวิตของอวิ่นหนิงเจี่ยก็ถูกปลดปล่อยออกมา
ภายในร่างกายของอวิ่นหนิงเจี่ย เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง พลังปราณที่บริสุทธิ์ ซึ่งถูกกักเก็บไว้โดยไม่รู้ตัว ได้ทะลักออกมาตามเส้นลมปราณที่เคยถูกบิดเบี้ยว แก่นปราณแรกเริ่มได้ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์
อวิ่นหนิงเจี่ยได้พุ่งทะลวงระดับเข้าสู่ระดับ จิตรวม ทันทีภายใต้ความสิ้นหวัง!
แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ปราณที่ไหลเวียนในตัวเขานั้นไม่ได้มีสีทอง เหมือนต้วนผิงอัน แต่มันมีสี ดำทมิฬ ราวกับความมืดมิดของูเาหลงเซี่ยง และสี ครามเข้ม จากดาบสนิมที่ดูดกลืนมา...
อวิ่นหนิงเจี่ยได้พุ่งทะลวงระดับเข้าสู่ระดับ เสินจวี้ (จิตรวม) ทันที
แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ปราณที่ไหลเวียนในตัวเขานั้นไม่ได้มีสีทอง เหมือนต้วนผิงอัน แต่มันมีสี ดำทมิฬ ราวกับความมืดมิดของูเาหลงเซี่ยง
