เว่ยฉีหลานมองหญิงสาว แล้วเอ่ยถามอย่างมีชั้นเชิง “ท่านคือคุณหนูหนี สตรีผู้เก่งกาจอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงหรือ?”
มีมือสังหารบุกเข้ามาหมายจะปลิดชีพองค์รัชทายาท แต่เขากลับไม่แยแส ทั้งยังหันไปถามถึงเื่อื่นได้อย่างหน้าตาเฉย
นั่นเป็เพราะเขาไม่เห็นมือสังหารผู้นั้นจริงๆ หรือพยายามจะเปลี่ยนเื่ ด้วยเกรงว่าความลับในบ้านจะถูกคนนอกล่วงรู้กันแน่?
หนีเจียเอ๋อร์ค้อมศีรษะลง และตอบเสียงนอบน้อม “ข้าน้อยหนีเจียเอ๋อร์ มิกล้ารับคำเยินยอ ว่าเป็สตรีผู้เก่งกาจขนาดนั้นเ้าค่ะ”
พูดจบ ก็ถามขึ้นอีกว่า “บังอาจเรียนถามซ้ำ ว่าเหตุใดใต้เท้าถึงไม่อนุญาตให้พวกเราเข้าไปตรวจสอบ ความปลอดภัยขององค์รัชทายาทหาใช่เื่ที่จะละเลยได้ หากไม่มีคำอธิบายที่เหมาะสมไปกราบทูล เกรงว่าฮ่องเต้จะทรงกริ้วเอาได้ ใต้เท้าเว่ยโปรดเห็นใจด้วย”
พอหนีเจียเอ๋อร์ก้มศีรษะขอร้อง ทุกคนก็ทำเช่นเดียวกัน
แต่เว่ยฉีหลานยังคงยืนนิ่ง ก่อนมุมปากจะยกขึ้น ราวกับกำลังแสยะยิ้ม
“เ้าคือผู้ที่ฮองเฮาได้เลือกให้มาเป็อาจารย์ขององค์รัชทายาท ไม่จำเป็ต้องทำตัวต่ำต้อยเช่นนี้”
เขายังคงไม่เอ่ยถึงมือสังหาร ทั้งยังไม่ยอมเปิดทางให้เข้าไปตรวจค้นได้ง่ายๆ
หัวหน้าองครักษ์จากตำหนักบูรพา จึงอดชักสีหน้ามิได้
หนีเจียเอ๋อร์มองดูหัวหน้าองครักษ์ ก่อนถอนหายใจ “หัวหน้าองครักษ์คงจะเห็นแล้ว ว่าท่านแม่ทัพเว่ยไม่ยอมให้เข้าไปค้นหา เช่นนั้น ถึงพวกเราจะยืนอยู่ตรงนี้ก็ไร้ประโยชน์ มิสู้กลับไปสารภาพผิดกับฮ่องเต้และฮองเฮาเสียยังดีกว่า”
ว่าแล้ว นางก็ยืดตัวขึ้น พลางสั่นศีรษะอย่างทำอะไรไม่ถูก
เว่ยฉีหลานนึกเหยียดหยาม และเหลือบมององครักษ์ด้วยสีหน้าลำพองใจ ก่อนกล่าว “คุณหนูหนีพูดถูกแล้ว ข้าไม่อนุญาตให้พวกเ้าค้นหา แต่หากนักฆ่าผู้นั้นอยู่ในจวนจริง ทางเราจะเป็คนจับตัวเขาส่งทางการ และรายงานให้ฝ่าาทรงทราบเอง พวกเ้ากลับไปเถิด”
หัวหน้าองครักษ์พูดอย่างระมัดระวัง “แม่ทัพเว่ย ก็เห็นๆ กันอยู่ ว่ามือสังหารหนีเข้าไปในจวนของท่าน แต่ก็ยังยืนกรานมิให้เราค้นหา เช่นนี้แล้ว ฝ่าาจะทรงคิดเช่นไร หากว่าท่านจงใจให้ที่หลบซ่อนคนร้าย...”
เพียะ!
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังขึ้น
ปรากฏว่าเว่ยฉีหลานไม่อาจระงับโทสะได้ จนถึงกับตบหน้าอีกฝ่ายไปแล้ว…
หนีเจียเอ๋อร์ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หัวหน้าองครักษ์ลูบแก้มที่โดนตบไป แม้จะขุ่นเคือง แต่ก็จำต้องสงบปาก
องครักษ์ที่เหลือต่างเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยว
เว่ยฉีหลานมักจะยโสโอหังเช่นนี้ จนเป็ที่เลื่องลือในราชสำนัก นอกจากฮ่องเต้แล้ว ก็ไม่เคยเห็นผู้ใดในสายตา ด้วยเหตุนี้เขาจึงไร้สหาย ทั้งยังก่อศัตรูไปทั่ว
ทุกคนไม่อาจล่วงรู้ ว่าเหตุใดฮ่องเต้ผู้อ่อนโยนและสง่างาม จึงแต่งตั้งให้คนผู้นี้เป็แม่ทัพแห่งแคว้นฉีหลานได้
หัวหน้าองครักษ์กัดฟันกรอด ก่อนจะถอนตัว เดินจากไปโดยไร้คำพูด
องครักษ์ที่เหลือ ก็ติดตามเขาไปเช่นกัน
ดังนั้นหนีเจียเอ๋อร์จึงต้องกลับไปด้วย แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เว่ยฉีหลานก็เอ่ยตามหลังมา
“คุณหนูหนี หากฉลาดเกินไป ก็อาจจะชักนำเภทภัยมาโดยไม่รู้ตัว!”
หญิงสาวชะงักงัน ก่อนหันกลับไปประสานสายตากับอีกฝ่าย แล้วเหยียดยิ้ม “ขอบคุณท่านแม่ทัพเว่ยที่ตักเตือน”
เมื่อเห็นสีหน้าไม่แยแสของนาง ใบหน้าของเว่ยฉีหลานก็เยียบเย็น เขาหลุบตาลง และพูดเบาๆ “ระวังตัวให้ดี!”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพเว่ยที่เป็ห่วง” หนีเจียเอ๋อร์เอ่ย ทั้งรอยยิ้มและน้ำเสียงของนาง ช่างอ่อนหวานนุ่มนวล แต่กลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกราวกับถูกเข็มทิ่มแทงใจ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ท่าทีของนางจึงส่งผลให้หัวใจของเขาหนาวเหน็บ เต็มไปด้วยแรงกดดัน
เว่ยฉีหลานมองไปรอบๆ แล้วหันหลังกลับ พลางกวาดตาไปทั่ว ก่อนพูดพึมพำ “น่าสนใจ!”
หนีเจียเอ๋อร์หันหลังจากไปพร้อมสายตาชิงชัง นางกำหมัดแน่น แรงกดดันและจิตสังหารแผ่ออกมาจากร่าง จนเหล่าองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ต่างก็รับรู้ได้
สตรีผู้นี้ หาได้อ่อนหวานและไร้เดียงสาอย่างที่คิด
หัวหน้าองครักษ์สะกิดเรียก “คุณหนูหนี”
รังสีเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างของหนีเจียเอ๋อร์ลดฮวบ รอยยิ้มอ่อนหวานกลับมาประดับใบหน้างาม หญิงสาวพยักหน้า และก้าวเดินต่อ
คนผู้นี้ สามารถเปลี่ยนอารมณ์อย่างปุบปับได้อย่างไร?
องครักษ์ทุกคนจึงสงสัย ว่าพวกเขาตาฝาดไปเองหรือไม่!
ทุกคนเคลื่อนขบวนไปที่พระราชวัง
ขณะเดียวกัน หนีเจียเฮ่อก็กำลังมุ่งหน้ามาที่จวนสกุลเว่ย พร้อมป้ายอาญาสิทธิ์และทหารหลวงกลุ่มหนึ่ง
ผ่านไปครึ่งทาง ก็พบเข้ากับหนีเจียเอ๋อร์ หนีเจียเฮ่อพยักหน้าให้น้องสาวเล็กน้อย เป็เชิงบอกให้นางกลับไปก่อน เขาจะเป็คนลงมือตรวจค้นจวนสกุลเว่ยเอง
เมื่อเห็นว่าหนีเจียเฮ่อมีป้ายอาญาสิทธิ์ ที่ฮ่องเต้ประทานอนุญาตให้ทำการตรวจสอบจวนสกุลเว่ย หัวหน้าองครักษ์ที่ถูกเว่ยฉีหลานตบจนกลืนน้ำลายมิได้ ก็ไม่ลังเลที่จะย้อนกลับไปพร้อมอีกฝ่าย เพื่อระบายโทสะที่สั่งสม
เว่ยฉีหลานนั้น แม้จะเป็ทหารระดับสูง แต่กลับไม่เป็ที่ชื่นชอบของเหล่าขุนนางนัก ดังนั้น บรรดาองครักษ์ที่นำโดยหนีเจียเฮ่อ จึงพากันยกยิ้มมุมปาก
มาถึงจวนสกุลเว่ย พอหนีเจียเฮ่อชูป้ายอาญาสิทธิ์ของฮ่องเต้ เว่ยฉีหลานก็จำต้องก้มหน้าหลีกทางให้พวกเขา
ทว่า ต่อให้พลิกจวนสกุลเว่ยจนทั่วแล้ว ก็ยังค้นหาบุคคลต้องสงสัยไม่พบ
ทุกคนจึงได้แต่กัดฟันกรอด ด้วยความเจ็บใจ
เว่ยฉีหลานมองพวกเขาด้วยสายตาดูถูก พลางชำเลืองไปยังหนีเจียเฮ่อ แล้วถามเบาๆ “นี่เ้าเชื่อจริงๆ หรือ ว่าคนร้ายหลบอยู่ในจวนของข้า?”
หนีเจียเฮ่อจึงตอบ “ท่านแม่ทัพเว่ย ก่อนนักฆ่าจะหลบหนี ได้ถูกฟันเข้าที่หลัง ท่านแม่ทัพโปรดให้ความร่วมมือ ช่วยเรียกคนคุ้มกันทุกคนมาที่นี่ แล้วให้พวกเขาถอดเสื้อ เพื่อพิสูจน์ตนด้วยขอรับ”
หัวหน้าองครักษ์และพวกต่างใ เพราะไม่มีใครรู้ว่าคนร้ายาเ็ แต่ทุกคนก็เลือกที่จะเงียบ
เว่ยฉีหลานดูเหมือนจะขบขันกับคำพูดของชายหนุ่ม ทั้งยังจงใจหัวเราะเยาะความคิดอันโง่เขลาเช่นนี้ “ได้! ข้าจะช่วยเ้า”
ว่าแล้ว ก็หันไปหาบรรดาสมุน ก่อนสั่ง “ทำตามที่เขาบอก”
เหล่าสมุนทำตามคำสั่งอย่างไม่รอช้า และรอให้หนีเจียเฮ่อกับเหล่าองครักษ์จากวังหลวง เข้ามาตรวจสอบทีละคน
พวกเขามีรอยแผลอยู่ราวสามสิบแห่ง ซึ่งเป็รอยแผลเก่าทั้งหมด ทั้งยังไม่มีแผลไฟไหม้
หนีเจียเฮ่อกำหมัดแน่น กล่าวขอบคุณเว่ยฉีหลานเสียงห้วน แล้วเดินทางกลับวังไปทูลรายงานฮ่องเต้อย่างหัวเสีย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้