ราชครูมายังถ้ำแห่งเดิมอีกครั้ง
ยามเงยหน้าอีกครั้งก็ไม่เห็นฟ้าสีครามและหมู่เมฆแล้ว เห็นเพียงท้องฟ้าที่มืดมิดและแสงดาว
ยามมองจึงเห็นเป็แผ่นฟ้ากลมๆ กะพริบพราวระยับ ดูคล้ายกับจานที่ฝังอัญมณี
ครั้งนี้ราชครูไม่ได้มากับเฉินโย่วสองคน
เขานั้นไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่นางหลัวต้องกล่าวว่าตนเป็คนกันเอง
คนในค่ายนั้นเชื่อคนง่ายเช่นนี้เลยหรือ หากเขานั้นเป็คนไม่ดีจะทำเช่นไรเล่า
ถึงอย่างไรเสียในใจเขาก็ยังรู้สึกกังวล
ทว่าถูกกล่าวถึงเช่นนี้ นอกความกังวลใจแล้วในใจเขาก็พลันรู้สึกยินดีอยู่เหมือนกัน
เพียงแต่ยามแม่นางหลัวกล่าวประโยคนั้นออกมา แววตาของนางนั้นออกจะดูประหลาดสักหน่อย
ทว่าควรรู้หรือไม่ควรรู้เื่อะไรนั้น ราชครูก็ได้แต่มารู้กันที่นี่
เฉินโย่วเมื่อกินข้าวอิ่มแล้วก็หลับ บัดนี้จึงนอนซบฝันหวานอยู่บนหลังอาลู่
ราชครูโดยปกติก็รู้สึกหวั่นใจกับเ้าเด็กปราบพยัคฆ์อยู่แล้ว ทว่าเมื่อมองท่าทางที่เขาแบกน้องสาวตนนั้นดูชำนาญเหลือเกิน ราวกับแบกมาแล้วนับร้อยนับพันครั้ง
อีกทั้งท่าทีที่เด็กหนุ่มมีต่อน้องสาวตนก็ช่างอ่อนโยนนัก มือเรียวยาวยามรวบผมยุ่งๆ ของเด็กหญิงก็ไม่กระชากหรือรั้งเส้นผมนางแม้เพียงเส้น ท่าทางเพ่งสมาธิของเด็กหนุ่มนั้นราวกับกำลังพยุงทั้งโลกไว้ด้วยฝ่ามือตน
ราชครูนั้นจึงได้รู้สึกถูกใจเด็กหนุ่มขึ้นมาสักหน่อย
โดยเฉพาะหลังที่เขาได้รู้อายุขัยของเด็กหญิง
หลังจากที่แม่นางหลัวกล่าวให้เขาฟัง เขาก็อดจะใช้วิชาการคำนวณของตระกูลจ้งมาคำนวณดูไม่ได้ แต่เมื่อคำนวณดูแล้ว ก็รู้ว่าเป็เื่จริง
เ้าเด็กนั่นจะอยู่ได้อีกไม่นาน
เขาดูจากเปลวไฟสีดำที่ช่างมืดมิดนั้น
ไฟชีวิตของคนปกตินั้นจะเป็สีแดง แตกต่างกันก็แค่สีเท่านั้น
ไฟสีดำนั้นช่างรุนแรงราวกับจะกลืนกินทุกสรรพสิ่งจนราชครูนั้นแทบล้มลง
“ย่อมต้องเป็ที่นี่”
ราชครูยืนขึ้น แล้วชี้ไปทางูเาลูกเล็ก
“เสี่ยวโย่วใช้หินเหล็กไฟจุดไฟขึ้นที่นี่ จนไฟลุกท่วมทั้งูเา”
อาลู่ อาสวิน เสี่ยวอู่ และนายท่านสามเมื่อได้ยินก็อึ้งไปตามๆ กัน
แม่นางหลัวนั้นไม่ได้มาด้วย นางนับว่าใจเย็นที่สุดในกลุ่ม กระทั่งได้ยินเื่ดินของแคว้นจิงที่ล้ำค่าเสียยิ่งกว่าทองก็ไม่สะทกสะท้าน หน้าที่ของนางมีเพียงดูแลเฉินโย่วไม่ให้นางไปเล่นไฟเท่านั้น
ทว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นทำให้ทั้งเด็กหนุ่มและนายท่านสามต่างก็หายใจกระชั้นขึ้น
ราชครูนั้นก็ตื่นเต้นมาก
แค้นเชินและแคว้นจิงมีพรมแดนติดกัน แม้ว่าแคว้นจิงจะยากจน ส่วนแคว้นเชินร่ำรวยยิ่งใหญ่ แต่ชายแดนแคว้นเชินนั้นก็ยังถูกแคว้นจิงระรานอยู่เสมอ ประชาชนก็ยากลำบากเกินจะทน ด้วยเพราะแคว้นจิงมีอาวุธเป็ของตนเอง แต่ถึงกระนั้นหากแคว้นเชินคิดจะไปตีแคว้นจิงก็ใช่ว่าจะเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้ เพียงแต่ยากลำบากนัก ทั้งยังไม่ได้ประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้แคว้นข้างๆ อย่างแคว้นซีได้ประโยชน์ไป
แคว้นจิงก็น่ารังเกียจราวกับหมาป่าก็ไม่ปาน วันดีคืนดีก็มาลอบกัด กัดแล้วก็หนีไปช่างน่าแค้นเคืองนัก
โดยเฉพาะฮองเฮาเ้าก็กำเนิดในแคว้นจิง เดิมทีราชครูไม่พอใจนัก ด้วยหากว่าแคว้นเชินสามารถผลิตอาวุธเองได้ อาวุธนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้แคว้นร่ำรวย แต่จะทำให้แคว้นเชินเข้มแข็งไปทั้งแคว้น
ตรงหน้าเขาบัดนี้ไม่ใช่ดินดำเพียงหนึ่งกำ หนึ่งกอง หรือหนึ่งลัง แต่เป็ูเาหนึ่งลูก
เดิมทีพวกเขาวันนี้ก็ทุ่มเททั้งแรงกายเพื่อจะได้ดินจากแคว้นจิงลังนั้นมา ทว่าบัดนี้พวกเขากลับมีทั้งูเาเป็ของตนเอง เช่นนี้จะไม่ให้พวกเขาดีใจได้อย่างไร
กระทั่งคนรักสะอาดเช่นอาสวินยังโน้มกายลงไปตักดินบนพื้นนั้นขึ้นมาดู
“อาสวิน ข้าทำเอง” เสี่ยวอู่กระวีกระวาดมาบอกอาสวิน
อาลู่นั้นเพราะอุ้มน้องสาวอยู่จึงไม่ได้ไปร่วมด้วย
นายท่านสามก็โน้มกายลงมาช่วยด้วยเช่นกัน
อาสวินจึงเอาของที่เตรียมมาออกมาได้แก่น้ำ หินเหล็กไฟ และอุปกรณ์ชั่งน้ำหนัก แล้วเริ่มดำเนินการอยู่อีกด้านหนึ่ง
ราชครูรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นท่าทางของศิษย์ตน จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “พวกเ้าทำอันใดกันอยู่รึ”
“คำนวณน้ำหนักของมันขอรับ สิ่งสำคัญในการจุดไฟมีความร้อนของไฟ พื้นผิวของดินแคว้นจิงสามารถจุดไฟได้นาน ยิ่งกว่านั้นคือทนต่อการเผาไหม้ ข้าคิดว่าอาวุธของแคว้นจิงน่าจะเกี่ยวข้องกับความร้อนของไฟ ดินแคว้นจิงยามจุดไฟจะต้องร้อนแรงกว่าเป็แน่”
ราชครูมองเด็กหนุ่มนั่งลงเงียบๆ แล้วเริ่มลงมือแบ่งดินกองหนึ่งออกเป็หลายส่วน
จากนั้นจึงเห็นเด็กหนุ่มมือพันกันเป็ระวิง
มิรู้ว่ายามใดที่เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็พระจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางความมืดมิด
แสงจากดวงจันทร์ลอยเด่นนั้นพลอยทำให้ถ้ำสว่างขึ้นเช่นกัน
เฉินโย่วนั้นเพิ่งจะตื่นก็เห็นเหล่าพี่ชายและท่านลุงกำลังวุ่นอยู่ ดูยุ่งเหยิงยิ่งนัก ทั้งยังกลับมาที่ถ้ำอีกแล้ว
นางเห็นพี่สวินกับท่านอาจารย์กำลังเล่นไฟอยู่ ดวงตาของเฉินโย่วน้อยจึงพลันเป็ประกาย
เด็กหญิงตัวน้อยดิ้นรนจะลงจากหลังพี่ชายตนให้ได้
อาลู่นั้นจนปัญญา ยามนางหลับก็ยังนิ่งๆ ดีอยู่ ทว่ายามตื่นแล้วนั้นกลับไม่ไหว ยามยังเล็กก็เป็เช่นนี้ เช่นนั้นยามโตมาจึงไม่อาจหวังให้นางอยู่นิ่ง
เฉินโย่วไถลตัวลงจากหลังพี่ชาย เมื่อเท้าแตะพื้นก็รีบวิ่งไปทางอาจารย์ทันที
เมื่อนางเห็นไฟก็พลันเบิกบานใจ สำหรับนางแล้วนางนั้นรู้สึกเหมือนว่าตนจะชอบไฟโดยกำเนิด
นางชอบเล่นไฟเหลือเกิน
ทว่านางเพียงแค่ก้าวไปตรงหน้าก็ถูกพี่ชายลากกลับมาเสียแล้ว
“ยืนดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น ห้ามแตะต้อง มิเช่นนั้นพี่จะให้เสี่ยวอู่ส่งเ้ากลับไปเสีย” อาลู่กล่าวขึ้น
เฉินโย่วจึงได้แต่ฝืนใจพยักหน้ารับทราบ
ดังนั้นร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงจึงทำได้เพียงนั่งยองๆ อยู่ข้างกายท่านอาจารย์ ดวงตาแฝงแววริษยามองไปยังพี่สวินที่เล่นไฟอย่างตั้งอกตั้งใจ
เปลวไฟไหวระริกนั้นเมื่อจุดขึ้นมาก็ดับลง
นางดูแล้วช่างรู้สึกคุ้นเคยกับมันนัก
เฉินโย่วเริ่มรู้สึกล้า จึงหย่อนก้นลงไปนั่งกับพื้น แล้วกล่าวเสียงเบา “โตแล้วช่างดีจริงๆ จะเล่นไฟเช่นใดก็ได้ เป็ข้าเล่นไฟเช่นนี้คงได้โดนหวด รอข้าโตก่อนเถิด ทุกวันข้าจะถือกระถางไฟไปเล่นทุกที่เลยคอยดู”
ทุกครั้งที่เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวอะไรขึ้นมา ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าชวนขันนัก
ที่นางเพิ่งกล่าวมานี้แท้จริงก็เป็เื่ที่ตลกมากเช่นกัน
คิดภาพตามว่าเมื่อเฉินโย่วโตขึ้นโฉมงามแล้วยังคงแบกกระถางไฟอยู่ย่อมเป็เื่ที่น่าขันนัก
ทว่าประโยคที่นางกล่าวว่า ‘รอให้ข้าโตก่อนเถอะ’ นั้นกลับให้คนทั้งถ้ำพลันเปลี่ยนเป็เงียบงัน
แม้แต่คนที่เยือกเย็นอยู่เสมออย่างอาสวิน มือทั้งคู่ที่ถือดินอยู่นั้นก็อดจะสั่นขึ้นมาไม่ได้
จากตอนแรกที่จะจุดไฟอยู่ก็พลันเป่าให้มอดลง
เสี่ยวอู่ที่ขุดดินอยู่อีกด้าน เขาใช้จอบเฉาะดินลงไปแรงๆ ทีหนึ่ง จึงมีเสียง “แกร๊ง” ของโลหะที่กระทบกันดังขึ้น
อาลู่ยังคงก้มหน้าทำงานต่อ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
ราชครูบัดนี้อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเด็กหญิง แม้นางนั้นจะแสนซน ทว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อใดที่เื่นี้มีผลกระทบต่อใจเขาถึงเพียงนี้
นายท่านสามกระแอมขึ้นดังๆ ครั้งหนึ่ง
“น้องสาวมาช่วยพี่ชายทำงานดีกว่า เ้าจุดดินกองนั้นที พี่จุดเท่าใดมันก็ไม่ติดไฟ” อาสวินตักดินตรงหน้าตนมากองตรงหน้าน้องสาว
เฉินโย่วเมื่อได้ว่าตนนั้นช่วยจุดไฟได้ สิ่งแรกที่ทำคือหันไปมองอาลู่พี่ชายตนก่อน
อาลู่นั้นยืนอยู่ไกลๆ แต่สายตาเขาดีนัก
สายตาของน้องสาวก็ดีมากเช่นกัน
เขาฝืนความเก็บงำความเ็ปที่ทอดผ่านดวงตาเอาไว้ พยักหน้าให้น้องสาวเบาๆ
จากนั้นจึงเห็นนางเริงเร่าเข้าไปคลอเคลียอยู่ข้างอาสวิน เห็นเป็แผ่นหลังยืดตรงของเด็กหญิงตัวน้อยกำลังตั้งใจจุดไฟ
ใต้แสงไฟนั้นมีเงาผมชี้ราวกับลูกนกของนางกำลังไหววูบอยู่
อาสวินเดิมทีกำลังรู้สึกเศร้า จึงให้น้องสาวมาเล่นข้างกายตน
ผลลัพธ์คือนางจุดไฟกองแรกก็ติด กองที่สองก็ติด กองที่สามก็ติด เพียงครู่เดียวก็จุดได้ถึงสามกอง
ตอนแรกนั้นเขาคิดว่าน้องสาวนั้นแค่เล่นสนุก ทว่ากลับเห็นนางเก็บดินชนิดต่างกันใส่ลงไปในกองไฟกองต่างกัน ก็รู้สึกประหลาดใจนัก
“ทำไมจึงต้องจุดถึงสามกองเล่า” อาสวินถามขึ้น
“ก็มันร้อนไม่เหมือนกันน่ะสิ กองนี้น่ะร้อน ส่วนกองนี้น่ะร๊อนร้อน ส่วนกองนี้น่ะร๊อนร๊อนร้อน” เฉินโย่วตอบด้วยใบหน้าขึงขัง