วันถัดมา เสี่ยวหมี่ตื่นแต่เช้าบอกว่าจะเข้าเมืองไปซื้อของ เมื่อพี่ใหญ่รู้ก็ออกไปเตรียมรถ เตรียมจะเข้าเมืองไปพร้อมน้องสาวของเขา ถึงแม้ระหว่างทางจะปลอดภัยดี แต่จะให้น้องสาวเข้าเมืองไปคนเดียวก็คงไม่ได้ หากเจอคนไม่ดีเข้าจะทำอย่างไร
พี่รองลู่เดินวนรอบรถม้าหน้าแดง เขาลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็เข้าไปพูดกับน้องสาวว่า “เสี่ยวหมี่ เมื่อคืนข้าฝันว่าได้กินผลไม้เชื่อม เ้าซื้อกลับมาฝากข้าบ้างได้หรือไม่”
เสี่ยวหมี่พินิจมองพี่ชายของตนที่ทำตัวเรียบร้อยราวกับสุนัขตัวใหญ่ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง “วางใจเถอะ ข้าจะซื้อกลับมา”
“ดีจัง น้องพี่ เสี่ยวเอ๋อชอบกินผลซิ่งสีเหลืองกับผลท้อ เ้าอย่าลืมนะ”
พูดจบพี่รองลู่ก็วิ่งหายไป ทิ้งให้เสี่ยวหมี่รู้สึกทั้งขบขันและขุ่นเคือง
พี่ชายข้า จะโกหกให้แเีกว่านี้หน่อยได้หรือไม่ ตอนแรกยังบอกว่าฝันว่าได้กินผลไม้เชื่อม เพียงพริบตาก็เปิดเผยเป้าหมายที่แท้จริงออกมาแล้ว
ถึงแม้พี่ใหญ่ลู่จะยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมรถม้า แต่ก็ยังได้ยินบทสนาของทั้งสองเช่นกัน เขาจึงยิ้มแย้มรีบเรียกน้องสาวของตน “เสี่ยวหมี่ ไปกันเถอะ”
“เ้าค่ะ”
เสี่ยวหมี่ถือตะกร้าสานะโขึ้นรถม้า สองพี่น้องนั่งตากลมชมวิวไปตลอดทาง นับว่าเดินทางอย่างราบรื่น
สองวันมานี้เจิ้งซื่อเหมือนจะว้าวุ่นใจอยู่ตลอด นางกินไม่อิ่มนอนไม่หลับ เหตุผลก็เพราะั้แ่วันนั้นที่ให้พ่อบ้านไปหยั่งเชิงสกุลลู่ จนถึงตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังไม่มีท่าทีอะไรตอบกลับมา
หรือว่าสกุลลู่จะไม่เข้าใจสิ่งที่พวกนาง้าจะสื่อ อย่างไรเสียแม่นางน้อยสกุลลู่ก็ยังอายุน้อยอยู่มาก ยังไม่ทันปักปิ่น หรือไม่แน่สกุลลู่อาจจะไม่เห็นพวกเขาตระกูลพ่อค้าอยู่ในสายตา หากเป็เช่นนั้นก็คงน่าโมโหมาก พวกเราสกุลเฉินยังไม่รังเกียจที่สกุลลู่ยากจนเลย
กลับเป็เถ้าแก่เฉินที่ไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย เขานั่งดื่มชากินของว่างอย่างสบายอารมณ์
เจิ้งซื่ออดระบายความโกรธใส่เขาไม่ได้ จึงเข้าไปแย่งของว่างจากมือเขา ะโว่า “เถ้าแก่ ท่านพูดอะไรหน่อยสิ สกุลลู่มีท่าทีอย่างไรบ้าง”
“แหม เ้าจะรีบร้อนอะไรนักหนา?” เถ้าแก่ลู่ดึงให้นางนั่งลง ปลอบโยนว่า “อายุเท่าใดกันแล้ว ยังแก้นิสัยนี้ไม่หายเสียที เื่มงคลของลูกๆ ไม่ว่าบ้านใดล้วนเป็เื่ใหญ่ อีกอย่างฝูเซิงยังเป็ถึงบุตรชายคนโตของสกุลลู่ แต่งภรรยาในวันหน้าก็จะต้องกลายเป็นายหญิงแห่งสกุลลู่ การที่สกุลลู่ปรึกษากันหลายวันหน่อยก็เป็เื่สมควรไม่ใช่หรือ”
“ข้า...ข้าก็รู้ว่าเื่นี้จะรีบร้อนไม่ได้ แต่บุตรสาวของเราอายุสิบแปดแล้ว ข้ากลัวว่าหากพลาดจากสกุลลู่ไปแล้ว คงไม่มีตระกูลที่ดีเท่านี้แล้ว”
เจิ้งซื่อดึงผ้าเช็ดหน้าในมือไปมา จิตใจร้อนรุ่มจนต้องรินน้ำชาดื่มดับร้อน ครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าให้คนลองไปสืบในตลาดมาแล้ว ต่างก็พูดว่าแม่นางลู่คนนี้มีความสามารถ ทั้งยังดูแลเพื่อนบ้านของตนอย่างดี เป็คนจิตใจดี หากบุตรสาวของเราแต่งไปอยู่สกุลลู่ ไม่มีแม่สามี ขอแค่ไม่มีปัญหากับน้องสามี ก็คงอยู่ได้อย่างมีความสุข”
เถ้าแก่เฉินฟังแล้วก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย แต่ลองคำนวณวันดูแล้ว สกุลลู่ก็ควรจะมีความเคลื่อนไหวได้แล้ว หรือว่าจะดูถูกพวกเขาสกุลเฉินที่เป็เพียงแค่สกุลพ่อค้าจริงๆ...
ตอนที่สองสามีภรรยากำลังคาดเดาอะไรอยู่ในใจนั้น จู่ๆ ก็มีคนมารายงาน “นายท่าน ฮูหยิน คุณชายใหญ่และคุณหนูสกุลลู่จากหมู่บ้านเขาหมีมาขอพบขอรับ”
“อะไรนะ?” สองสามีภรรยาสีหน้าเบิกบานขึ้นทันตา รีบะโว่า “รีบเชิญเข้ามาเร็วเข้าๆ”
สกุลเฉินไม่ใช่ตระกูลใหญ่อะไร เสี่ยวหมี่เพิ่งก้าวขาเข้ามาด้านในก็เห็นสองสามีภรรยาออกมาต้อนรับ นางและพี่ชายจึงแสดงความเคารพ ยิ้มกล่าวว่า “ท่านลุงเฉิน ไม่พบกันนานเลยนะเ้าคะ สุขภาพของท่านเป็อย่างไรบ้าง”
“ดีๆ ข้ายังคิดอยากจะไปที่หมู่บ้านเขาหมีอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าพวกเ้าสองพี่น้องจะมาหาเสียก่อน”
เถ้าแก่เฉินยิ้มอย่างเมตตาราวพระโพธิสัตว์ จากนั้นจึงแนะนำเจิ้งซื่อที่อยู่ด้านหลังเขา “นี่คือภรรยาข้า”
เสี่ยวหมี่ยอบกายคารวะอีกครั้ง “คารวะท่านป้าเ้าค่ะ วันก่อนพี่ใหญ่ข้ากลับบ้านไปบอกว่าวันนั้นรบกวนท่านป้าไปไม่น้อย ทั้งยังฝากท้องไว้ที่บ้านท่านตั้งหนึ่งมื้อ ทำให้ท่านป้าต้องเหนื่อยแล้ว จึงรู้สึกผิดยิ่งนัก พอดีวันนี้เข้าเมืองมาซื้อของ ข้าจึงนำของว่างที่ทำอย่างหยาบๆ ของที่บ้านข้ามาเพื่อตอบแทนท่านป้าเ้าค่ะ ขอบคุณที่วันก่อนท่านดูแลพี่ใหญ่ข้าเป็อย่างดี”
“แหม เกรงใจเกินไปแล้ว ก็แค่ข้าวมื้อเดียวเอง ไม่นับเป็อะไรได้หรอก ฝูเซิงเป็เด็กดี ยามปกติก็ช่วยลุงเฉินของเ้าจัดการงานไม่น้อย”
เจิ้งซื่อพิจารณาเสี่ยวหมี่ั้แ่หัวจรดเท้า แม่นางน้อยอายุสิบสี่กำลังเปล่งประกาย เส้นผมสีดำถูกหวีเก็บเรียบร้อย ปักปิ่นลายผีเสื้อเล็กๆ สองข้างซ้ายขวา ผิวขาว ดวงตากลมโตดูเฉลียวฉลาด ดูอย่างไรก็น่ารักน่าเอ็นดู นางสวมอาภรณ์สีฟ้าสดใส จึงดูน่ามองขึ้นไปอีก
ครั้นเอ่ยปากพูดก็มีมารยาทและเกรงอกเกรงใจ จึงยิ่งถูกใจนางยิ่งนัก
นางเดินเข้ามาจูงมือเสี่ยวหมี่เข้าไปด้านใน “คนกันเองไม่ต้องเกรงใจ รีบเข้าไปด้านในเถอะ”
ทุกคนนั่งลงในโถงรับรอง เสี่ยวหมี่มอบของว่างให้ฮูหยินเฉิน แล้วก็เล่าเื่น่าสนใจบนูเาให้พวกเขาฟัง ทำเอาเจิ้งซื่อหัวเราะไม่หยุด ส่วนพี่ใหญ่ลู่นั้นนั่งอย่างเรียบร้อยอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร บางครั้งยังหันไปมองน้องสาวของตน พร้อมระบายรอยยิ้มรักใคร่เอ็นดูและภาคภูมิใจออกมา ไม่มีท่าทีไม่พอใจแม้แต่น้อยที่มีน้องสาวที่โดดเด่นกว่าเช่นนี้
สิ่งนี้ทำให้เจิ้งซื่อพอใจยิ่งกว่าเดิม ส่วนเถ้าแก่เฉินนั้นก็ยิ่งไม่มีอะไรจะติอีก
เสี่ยวหมี่เห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มแล้วเล่าถึงสาเหตุในการมาวันนี้ “ท่านป้า ่นี้อากาศร้อนขึ้นทุกวัน ข้าคิดจะทำชุดใหม่สักสองชุด แต่ข้ากลับไม่รู้เลยว่าในเมืองตอนนี้ชุดแบบใดกำลังเป็ที่นิยมอยู่ ได้ข่าวว่าบ้านท่านมีคุณหนูท่านหนึ่งที่ฝีมืองานเย็บปักเป็เลิศ ไม่ทราบว่าข้าจะขอพบนางสักครั้งได้หรือไม่เ้าคะ ข้ามีเื่อยากจะสอบถามเป็ความรู้เ้าค่ะ”
ได้ยินน้องสาวพูดเช่นนี้ พี่ใหญ่ลู่ก็รู้สึกใเล็กน้อย ยามปกติงานเย็บปักในบ้านล้วนขอให้ท่านป้าหลิวและพี่สะใภ้คนอื่นๆ ในหมู่บ้านช่วย น้องสาวของเขาที่ปกติไม่สนใจงานเย็บปักนั้นเหตุใดวันนี้ถึงได้สนใจขึ้นมา?
เสี่ยวหมี่ราวกับมองไม่เห็นสีหน้าสงสัยของพี่ชาย นางยังคงคลี่ยิ้มเจิดจ้าให้สองสามีภรรยาสกุลเฉิน
นี่แสดงว่าครอบครัวฝ่ายชายอยากจะพบบุตรสาวของเขา สองสามีภรรยาแซ่เฉินสบตากันทีหนึ่งจากนั้นก็พยักหน้า หนึ่งเพราะเื่แต่งงานไม่ใช่แค่เื่ของหนุ่มสาวสองคน แต่เป็เื่การเกี่ยวดองกันของทั้งสองตระกูล การได้พบเจอกันก่อนดีกว่าแต่งไปโดยที่ไม่รู้อะไรมากนัก เพราะหากแต่งกันไปแล้วมีปัญหาอะไรกันขึ้นมา ฝั่งที่เสียเปรียบก็มักจะเป็ฝ่ายหญิงเสมอ สองบุตรสาวของพวกเขาย่อมเป็สตรีชั้นยอด จะอย่างไรก็ไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะหาเื่ตำหนิอะไรออกมาได้
“ได้” เจิ้งซื่อออกปากอนุญาต แล้วหันไปสั่งสาวใช้ข้างกาย “เชิญคุณหนูลู่ไปที่เรือนหลัง บอกให้เยว่เซียนต้อนรับนางให้ดี”
“เ้าค่ะ ฮูหยิน”
สาวใช้คนนั้นขานรับ นางประสานมือเชิญเสี่ยวหมี่ไปยังเรือนหลัง พี่ใหญ่ลู่รู้สึกใเล็กน้อย คิดจะถามน้องสาวสองสามประโยค กลับถูกเถ้าแก่เฉินรั้งไว้เพื่อสอบถามเื่ผักสดในสวน
เสี่ยวหมี่ได้ยินแล้วก็ทั้งขบขันและรู้สึกปลง พี่ชายของนางน่ะดีไปหมดทุกอย่าง เว้นอยู่เื่เดียวคือใจอ่อนเกินไป หากว่าแม่นางสกุลเฉินเป็คนมีความคิดเป็ของตนเองและมีเหตุมีผลก็ย่อมเป็เื่ดี อย่างไรเสียระหว่างสองสามีภรรยาก็ต้องมีสักคนหนึ่งที่สามารถคิดตัดสินใจและจัดการเื่ราวในบ้านได้
นางคิดพลางเดินตามสาวใช้ก้าวลึกเข้าไปในเรือนเรื่อยๆ เรือนหลังหน้าต่างทุกบานถูกเปิดไว้ พระอาทิตย์กำลังสาดแสงแรงกล้า แสงแดดสาดส่องลงไปบนร่างของแม่นางคนหนึ่งผ่านทางหน้าต่าง นางสวมเสื้อตัวยาวสีเนื้อ จากด้านข้างแลดูเป็สาวงามที่อ่อนโยน ปิ่นปักผมเป็ระย้ามุก ยามนี้เหมือนกำลังกลัดกลุ้มเื่อะไรบางอย่างอยู่ คิ้วขมวดแน่น ทำให้คนเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้
“คุณหนู”
สาวใช้คนหนึ่งส่งเสียงเรียก ทำให้แม่นางคนนั้นหันมามอง เห็นมีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาด้วยก็รีบยืนขึ้นทันที
สาวใช้คนนั้นสาวเท้าขึ้นหน้าไปกระซิบใกล้ๆ สองสามประโยค เพียงไม่นานเสี่ยวหมี่ก็เดินเข้ามาในเรือน
“แม่นางลู่ ขออภัยที่ต้อนรับบกพร่องนะเ้าคะ”
“ไม่หรอกเ้าค่ะ พี่หญิงเฉินเกรงใจเกินไปแล้ว เป็ข้าที่มารบกวนแล้ว”
เสี่ยวหมี่ทักทายกลับแล้วจึงก้าวเข้าไปนั่งในห้อง
เฉินเยว่เซียนสั่งให้สาวใช้ไปเตรียมของว่างและน้ำชามา เสี่ยวหมี่อาศัยจังหวะที่เดินเข้าไปในห้องกวาดตามองไปรอบหนึ่ง
สกุลเฉินร่ำรวย แต่เรือนพักของบุตรสาวเพียงคนเดียวกลับตกแต่งอย่างเรียบง่าย นอกจากโต๊ะเก้าอี้และของที่จำเป็แล้ว ยังมีตู้หนังสือสองตู้ถูกวางไว้ติดผนัง ตำราหลายเล่มที่มีขนาดไม่เท่ากัน ทั้งใหม่และเก่าวางเรียงรวมๆ กัน มีแท่นไม้สำหรับจัดแสดงของล้ำค่าวางอยู่กลางห้อง โดยในช่องสำหรับจัดแสดงของล้ำค่าวางแจกันดอกไม้เอาไว้ แท่นจัดแสดงนี้ถูกใช้เป็ที่แบ่งห้องชั้นในและชั้นนอก
ที่ตั่งข้างหน้าต่างมีตะกร้าเข็มกับด้ายวางไว้ โต๊ะที่อยู่ข้างๆ มีหมึก กระดาษและพู่กันวางไว้อย่างครบครัน ทั้งยังมีตำราสองเล่มถูกเปิดไว้พร้อมลูกคิดอยู่ข้างๆ เกรงว่าคงกำลังตรวจบัญชีของร้านอยู่
เสี่ยวหมี่รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก ถึงแม้ต้าหยวนจะไม่ยึดหลักสตรีที่ดีคือสตรีไร้ปัญญา แต่สถานะของสตรีก็ยังห่างชั้นกับบุรุษมากนัก สกุลเฉินถึงขนาดให้บุตรสาวเรียนหนังสือทั้งยังให้จัดการบัญชีของร้าน เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เฉินสองสามีภรรยาเป็ผู้ใหญ่ที่มีเหตุมีผลและมองการณ์ไกลเพียงใด และแม่นางเฉินเองก็เป็คนเฉลียวฉลาด
เฉินเยว่เซียนจัดการของบนโต๊ะอย่างเรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นก็รินชาให้เสี่ยวหมี่ด้วยตัวเอง เสี่ยวหมี่เอ่ยขอบคุณ เมื่อคนทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้วยังไม่ทันได้สนทนาอะไรกัน ก็มีสาวใช้เดินเข้ามา ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “คุณหนู ของว่างที่มีอยู่ในบ้านเราไม่สดใหม่แล้วเ้าค่ะ ให้บ่าวออกไปซื้อดีกว่าไหมเ้าคะ”
เฉินเยว่เซียนมองสาวใช้พลางเอ็ดเบาๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “ต้องเป็พวกเ้าที่แอบกินไปเมื่อคืนนี้เป็แน่ ตอนนี้ไม่เหลือของว่างในครัวแล้ว ดูสิขายหน้าต่อหน้าแม่นางลู่อีก รีบไปซื้อเร็วเข้า”
“เ้าค่ะ คุณหนู” สาวใช้หน้าแดง รีบหมุนกายจากไปอย่างรวดเร็ว
เฉินเยว่เซียนดันแก้วน้ำชาไปตรงหน้าเสี่ยวหมี่ด้วยสีหน้าขออภัยเล็กน้อย “เสียมารยาทต่อหน้าแม่นางลู่แล้ว สาวใช้ในเรือนพวกนี้ติดตามข้ามาั้แ่เล็กๆ จึงออกจะไม่มีมารยาทไปบ้าง”
“ไม่หรอกเ้าค่ะ พี่หญิงเฉินวางใจ พี่รองของข้าและน้องชายอีกสองคนที่บ้านต่างก็เป็พวกตะกละ ยามปกติถึงเวลาอาหารไม่ต้องรอให้ใครไปเรียก พวกเขาก็ตามกลิ่นมาได้เอง”
เสี่ยวหมี่พูดอย่างขบขัน ทำให้เฉินเยว่เซียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ข้าเองก็ได้ยินท่านพ่อพูดถึงบ่อยๆ ว่าแม่นางลู่เฉลียวฉลาดแค่ไหน เพียงแต่ไม่เคยมีโอกาสได้พบกัน วันนี้ได้มีโอกาสพบเสียที ช่างเป็เื่น่ายินดียิ่งนัก”
“พี่หญิงเฉิน ข้าอายุน้อยกว่าท่าน เรียกข้าว่าเสี่ยวหมี่เถอะ คนที่บ้านข้าก็เรียกเช่นนี้ เรียกแม่นางลู่ดูห่างเหินเกินไป”
“ได้สิ เช่นนั้นเ้าก็เรียกข้าว่าพี่เยว่เซียนก็แล้วกัน”
เสี่ยวหมี่ยามปกตินอกจากวุ่นวายอยู่กับการหาเงินแล้ว ก็ต้องคอยดูแลทั้งผู้ใหญ่และเด็กๆ ในบ้าน ไม่มีโอกาสได้สนทนาทำความรู้จักกับเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันเลย เฉินเยว่เซียนเองก็วุ่นอยู่ในเรือนหลังทั้งวัน จึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้พบเสี่ยวหมี่
เมื่อคนทั้งสองสนทนากันเื่แบบเสื้อผ้าเสร็จก็สนทนาเื่ในครัวต่อ เื่ในครัวเสร็จแล้วก็ไปสนทนาเื่บัญชีต่อ กลายเป็ว่ายิ่งคุยยิ่งถูกคอ หากไม่ใช่เพราะเจิ้งซื่อที่เรือนหน้าเห็นเสี่ยวหมี่ไม่กลับออกไปเสียทีจึงส่งคนมาตาม ก็ไม่รู้ว่าคนทั้งสองจะยังสนทนากันต่ออีกนานแค่ไหน
เสี่ยวหมี่กลัวว่าพี่ใหญ่จะร้อนใจ จึงรีบยืนขึ้นและขอตัวลา
“พี่เยว่เซียน ได้รู้จักกับท่านเป็โชคดียิ่งนัก วันหน้าหากข้าเข้าเมืองมาอีก จะต้องขอมารบกวนอีกแน่”
“ข้าเองก็เช่นกัน น้องเสี่ยวหมี่ต้องมาบ่อยๆ เล่า”
เฉินเยว่เซียนลุกขึ้นยืนเดินมาส่งเสี่ยวหมี่ คนทั้งสองจับมือกัน เมื่อเดินออกไปถึงหน้าประตูเสี่ยวหมี่ก็หันกลับมา ขบคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “พี่เยว่เซียน ไม่ต้องส่งข้าแล้ว วันหน้าไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสให้เราได้อยู่ด้วยอีกมากก็ได้นะเ้าคะ”
เฉินเยว่เซียนหน้าแดง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็จับมือเสี่ยวหมี่ “น้องเสี่ยวหมี่ เ้า...เกรงว่าคงจะรู้ความคิดของบิดามารดาข้าแล้วกระมัง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้