เซี่ยโม่จูงจักรยานไปตามถนน ทั้งเบาะหลังและเบาะหน้าของรถล้วนคือถุงกระสอบที่ข้างในเต็มไปด้วยหยกดิบ
หลังจากบอกลาสหายต่างวัยทั้งสองคนแล้ว เธอเดินจูงจักรยานไปยังป่าแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
เธอจูงจักรยานเข้าไปในโกดังสินค้า หยิบเอาหยกดิบที่ซื้อไว้มาเก็บในนี้ จากนั้นจึงปั่นจักรยานไปโรงเรียนประถมต่อด้วยความเบิกบาน
พอไปถึงพบว่าเด็กนักเรียนทุกคนเลิกเรียนกันแล้ว มองหาไม่นานก็เจอน้องชายกับสือโถวน้อย วันนี้น้องชายเธอหน้าตาบึ้งตึง ผิดกับสือโถวที่ยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจ
เซี่ยโม่ถามอย่างเป็ห่วง “ทั้งคู่เป็อะไรไป”
พอน้องชายเห็นเธอก็น้ำตาคลอเบ้าแล้ววิ่งเข้ามาหา เธอกอดเซี่ยเฉินเฟิงเอาไว้พร้อมกับถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ หรือถูกใครรังแกมา”
เซี่ยเฉินเฟิงส่ายหน้า ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “พี่ครับ ผมแย่แล้ว ผมสอบไม่ได้ร้อยคะแนนเต็ม…”
ได้ยินดังนั้นเซี่ยโม่ถึงค่อยมีสีหน้าโล่งใจ
“เฉินเฟิง ครั้งนี้ไม่ได้ร้อยคะแนนเต็มก็ไม่เป็ไร ครั้งหน้าค่อยพยายามใหม่ก็ได้ ไม่เห็นจะเป็อะไรเลย พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าขอแค่ขยันและพยายาม ไม่ต้องไปใส่ใจกับคะแนนให้มากนัก แบบนี้ถึงจะทำให้เราไปได้ไกล”
แม้เซี่ยเฉินเฟิงจะพยักหน้า หากคิ้วยังคงขมวดเป็ปมแน่น
เธอรู้ดีว่าน้องชายยังปรับอารมณ์ไม่ได้ จึงหันไปถามสือโถวบ้าง “แล้วเราล่ะสอบเป็ยังไงบ้าง”
“ผมกับเฉินเฟิงได้คะแนนเท่ากัน ผมเห็นเขาขยันเรียนกว่าผม ไม่คิดว่า…”
เซี่ยโม่เข้าใจแล้วว่าทำไมสือโถวน้อยถึงมีท่าทางดีอกดีใจ
กระนั้นเธอก็ไม่วายกำชับเด็กชาย “เราต้องตั้งใจเรียน จะประมาทแค่เพราะได้คะแนนดีไม่ได้เด็ดขาด”
“พี่โม่โม่พูดถูกครับ” สือโถวน้อยพยักหน้า
เวลานี้เองเซี่ยเฉินเฟิงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงหม่นเศร้าไม่หาย “พี่ครับ แล้วผลสอบของพี่เป็ยังไงบ้าง”
“คะแนนของพี่ยังไม่ออกเลย แต่คงได้ไม่เยอะเท่าเราหรอก” เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ น้องชายยังจำเื่การแข่งขันที่ตกลงกับเธอเอาไว้ได้
เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยถูกผลคะแนนสอบโจมตีจนหมดความมั่นใจ แต่พอได้ยินพี่สาวพูดเช่นนี้ เลยอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “พี่ครับ ทำไมถึงจะได้คะแนนไม่เยอะเท่าผมล่ะ หรือพี่จงใจอ่อนข้อให้ผม”
“พี่เรียนม.ปลาย วิชาที่จะสอบก็มีเยอะ ไม่เหมือนนักเรียนประถมที่สอบแค่ไม่กี่เื่ เพื่อนร่วมห้องพี่มีน้อยคนมากที่จะสอบได้ร้อยคะแนนเต็ม สอบได้เก้าสิบเก้าคะแนนก็มีน้อยเช่นกัน” เธออธิบายให้น้องชายเข้าใจถึงความซับซ้อนของเนื้อหาการเรียนในระดับชั้นมัธยมปลาย
ที่แท้ก็แบบนี้เอง
น้องชายตัวน้อยได้ฟังเช่นนั้น หางที่เคยตกลู่พลันแกว่งไปแกว่งมาทันที
“พี่ครับ ที่พี่มาแข่งกับผมแบบนี้จะไม่เสียเปรียบผมเหรอ” เซี่ยเฉินเฟิงถามเพราะเพิ่งรู้ว่าความยากของบทเรียนระหว่างชั้นประถมกับมัธยมปลายนั้นแตกต่างกัน
“เฉินเฟิง อะไรคือเสียเปรียบแล้วอะไรคือได้เปรียบ การที่เราได้คะแนนดีจะทำให้พี่ยิ่งมีแรงฮึดกับการเรียน”
ครั้นเห็นน้องชายตัวน้อยมองมาอย่างไม่แน่ใจ เธอจึงขยายความเพิ่ม “ถ้าเราสอบได้คะแนนไม่สูง พี่คงชะล่าใจไม่สนเื่เรียนแล้วก็คงี้เีอ่านหนังสือ”
ฟังคำพี่สาวแล้วเซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยถึงค่อยมีสีหน้าดีขึ้น เด็กชายพลันชูกำปั้นขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยอย่างหนักแน่น “พี่ครับ ถึงครั้งนี้ผมจะสอบได้ไม่ดี แต่ครั้งหน้าผมต้องได้ร้อยคะแนนเต็มแน่นอน พี่จะได้มีแรงผลักดันในการเรียน”
“ต้องแบบนี้สิ” เซี่ยโม่ยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นสองพี่น้องก็พูดคุยหัวเราะกันไปตลอดทางจนกระทั่งกลับถึงบ้าน
คุณยายที่เพิ่งเลิกงานกลับมา พอเห็นหลานชายหลานสาวจึงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามประสา “คะแนนสอบออกมาแล้วใช่ไหม เป็ยังไงบ้าง”
เซี่ยเฉินเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าแข็งขันแน่วแน่ “คุณยาย ถึงครั้งนี้ผมจะสอบไม่ได้ร้อยคะแนนเต็ม แต่ครั้งหน้าผมต้องทำคะแนนเต็มให้ได้”
เซี่ยโม่รู้ทันทีว่าน้องชายปรับสภาพจิตใจให้ยอมรับผลคะแนนสอบได้แล้ว ที่เธอพูดไปมากมายก่อนนี้นับว่าไม่เสียเปล่า
“ถึงเฉินเฟิงจะสอบไม่ได้ร้อยคะแนนเต็ม แต่ก็ได้ตั้งเก้าสิบเก้าคะแนน ถูกหักไปแค่คะแนนเดียวเอง” เธอพูดเสริม
หลานชายยังเล็กนัก ที่คุณยายอนุญาตให้ไปเรียนก็เพื่อลองดูว่าเ้าตัวจะเรียนไหวหรือไม่ ถ้าไม่ไหวปีหน้าค่อยเข้าโรงเรียนก็ยังไม่สาย นึกไม่ถึงเลยว่าหลานชายของเธอจะเก่งและฉลาดขนาดนี้
“เฉินเฟิง หลานยังเด็ก ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว” คุณยายพูดให้กำลังใจ
เซี่ยเฉินเฟิงพูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “คุณยายครับ สอบครั้งต่อไปผมจะพยายามให้ได้ร้อยคะแนนเต็มให้ได้ จะได้เป็ตัวอย่างให้พี่สาว”
เห็นคุณยายทำหน้าสงสัย เซี่ยโม่จึงอธิบายให้ฟัง
“เฉินเฟิงของเราสามารถช่วยพี่สาวได้แล้ว เป็เด็กที่มีประโยชน์จริงๆ” หญิงชราพยักหน้าพลางกล่าวชมหลานชายตัวน้อย
เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าด้วยสีหน้าที่แฝงความมั่นใจเต็มเปี่ยม “คุณยาย พี่สาว รอดูผมนะครับ”
เวลานี้เองคุณตากับคุณปู่จ้าวกลับมาถึงบ้านพอดี เซี่ยโม่จึงเล่าให้พวกท่านฟัง
รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจระบายเต็มใบหน้าของชายชราทั้งสองคน “เฉินเฟิงของพวกเราต่อไปต้องเป็เด็กหัวกะทิแน่นอน”
“ผมเป็เด็กที่มีประโยชน์…” เซี่ยเฉินเฟิงพึมพำกับตัวเองไม่หยุด เมื่อได้ยินคำชมก็ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม หากที่ก้นมีหางงอกออกมาละก็ ตอนนี้คงกำลังแกว่งไปแกว่งมาอย่างแน่นอน
หลังจากเห็นน้องชายหายเศร้าเพราะผลสอบแล้ว เซี่ยโม่ก็เดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อทำอาหาร
ระหว่างกินข้าวเธอเล่าอาการป่วยของหญิงชราที่ไปตรวจในวันนี้ รวมถึงลักษณะเส้นชีพจรให้อาจารย์ฟังอย่างละเอียด
คุณปู่จ้าวยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “เราเรียนรู้ได้ไม่เลว ทั้งยังวิเคราะห์ได้แม่นยำ เป็ต้นกล้าของวงการแพทย์ในอนาคต ฉันเห็นเธอทำความเข้าใจเนื้อหาบทเรียนของชั้นม.ปลายหมดแล้ว งั้นก็แบ่งเวลามาเรียนเื่การแพทย์บ้าง”
“อาจารย์พูดถูกต้องค่ะ เดี๋ยวหนูกินข้าวเสร็จจะไปท่องจำจุดชีพจรทั้งสามร้อยหกสิบเอ็ดจุด แล้วพรุ่งนี้อาจารย์ค่อยลองทดสอบดู หนูอยากเรียนเื่ฝังเข็มให้แตกฉานก่อน” เซี่ยโม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด บอกตามตรง หลายวันมานี้เธอเอาแต่อ่านหนังสือเรียน ไม่ได้แตะหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์เลย
“ได้” ชายชราคิดในใจ ทำไมหมู่นี้เด็กสาวถึงได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อยนัก ไม่ได้ศึกษาความรู้เื่การแพทย์หลายวัน แต่บทจะฮึดขึ้นมาก็คิดจะเอาให้ตัวเองไปข้างหน้าเสียก้าวใหญ่
จุดชีพจรทั้งสามร้อยหกสิบเอ็ดจุดไม่ใช่สิ่งที่คืนเดียวจะจดจำได้ทั้งหมด พรุ่งนี้เด็กสาวต้องไปเรียน ่กลางวันย่อมไม่มีเวลาอ่านหนังสือ เขานึกถึงสมัยที่ตัวเองเรียนเื่การแพทย์แรกๆ ใช้เวลาอยู่หนึ่งอาทิตย์กว่าจะท่องจำได้ทั้งหมด ตอนนั้นบิดาถึงกับออกปากชมว่าเรียนรู้ได้เร็วกว่าใครๆ
คิดได้ดังนั้นเขาเลยอยากหาอะไรมาเป็สิ่งกระตุ้นเด็กสาว “โม่โม่ แล้วถ้าเราท่องไม่ได้ล่ะจะทำยังไง”
“ถ้าหนูท่องจำไม่ได้อาจารย์จะตีมือหนูก็ได้นะคะ” เซี่ยโม่ตอบออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร ทว่าเซี่ยเฉินเฟิงกลับสะดุ้งเมื่อได้ยิน
“เฉินเฟิง เราเป็อะไรไป” เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามน้องชายด้วยความสงสัย
“พี่ครับ ตีมือมันเจ็บมาก ถ้าเกิดพี่ท่องไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง อย่าลงโทษแบบนี้เลย” ผู้เป็น้องชายพูดพลางน้ำตาคลอเบ้า
เธอนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เฉินเฟิง ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนั้นตีเราบ่อยๆ ใช่ไหม”
น้องชายนิ่งไปครู่ใหญ่ถึงค่อยพยักหน้า
เซี่ยโม่ดึงตัวน้องชายเข้ามากอดอย่างปวดใจ เดิมทีเธอนึกว่าน้องชายสามารถเดินออกมาจากเงาในอดีตอันน่าเ็ปพวกนั้นได้แล้วเสียอีก ที่ไหนได้ าแจากอดีตยังคงฝังอยู่ในกระดูกและตามหลอกหลอน น้องชายของเธอคงไม่อาจลืมมันได้ไปชั่วชีวิต
เป็เธอที่ทำให้น้องชายนึกถึงเื่ไม่น่าจดจำพวกนั้น
สภาพจิตใจของน้องชายแย่ลงอีกแล้ว
เธอทั้งสงสารและรู้สึกผิด “เฉินเฟิง พี่ผิดเองที่ไม่ดูแลเราให้ดี พี่ผิดเองที่ไม่รู้ให้เร็วกว่านี้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็คนไม่ดี ต่อไปพี่จะระวัง เวลาจะพูดอะไรพี่จะคิดให้ดีก่อน”
“พี่ไม่ผิดหรอกครับ คนที่ผิดคือผู้หญิงคนนั้นต่างหาก”
คุณตาเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้เลยเอ่ยทัก “นี่ก็ผ่านมาสองเดือนกว่าแล้ว ผู้หญิงคนนั้นคงจะออกมาแล้วสินะ”
เซี่ยโม่มีท่าทีระแวดระวังขึ้นมาทันที
เธอไม่กลัวเพราะในโกดังสินค้ามีกระบองไฟฟ้าไว้ใช้ป้องกันตัว ส่วนคุณตาคุณยายตอนกลางวันไปทำงาน มีคนอื่นอยู่ด้วยเยอะแยะมากมาย จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีเหตุร้ายใดเกิดขึ้นกับพวกท่าน
ที่น่าเป็ห่วงที่สุดก็คือน้องชายของเธอ
“เฉินเฟิง ต่อไปไม่ว่าจะตอนเที่ยงหรือตอนเลิกเรียน เราต้องรอพี่อยู่ในโรงเรียนรู้ไหม หากมีคนมาบอกให้เราออกไปหาหน้าโรงเรียน เราต้องถามให้แน่ใจก่อนว่าคือใคร ถ้าไม่รู้ว่าเป็ใครก็อย่าออกไปเด็ดขาด หรือไม่งั้นก็เรียกให้สือโถวกับโฉ่วหวาไปด้วย” เธอกำชับเซี่ยเฉินเฟิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เซี่ยเฉินเฟิงพยักหน้ารับรู้ “ครับพี่ ผมจะจำเอาไว้ จะไม่ออกไปข้างนอกโรงเรียนคนเดียวเด็ดขาด”
