แม่หม้ายผู้นั้นช่างใจดำยิ่งนักหลังจากเมิ่งอวี๋เจียวตามอวี๋หวงฉีมายังจวนสกุลอวี๋ นางก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยียนแม้แต่ครั้งเดียว
“เ้าไม่รู้ ก่อนหน้านี้นางลอบปีนขึ้นเตียงเ้าห้าแต่ถูกอาสามของเ้าทุบตีจนเกือบจะสิ้นใจนับั้แ่นั้นมานางก็เปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคนครั้นโรคร้ายแรงแทบคร่าชีวิตคนหลายโรค พอมาถึงมือของนางหลังจากกินเทียบยาของนางก็ถูกยื้อเอาชีวิตกลับมาได้”
สตรีแซ่จางพรรณนาว่าวิชาหมอของอวี๋เจียวล้ำเลิศถึงเพียงใดรวมถึงเื่ช่วยโจวไหวและนายท่านรองสกุลมู่ให้อวี๋กานเฉ่าฟังโดยไม่หยุดปาก
อวี๋กานเฉ่าอุทานหลังได้ฟัง“วิชาหมอของนางเก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือเ้าคะ? เพียงแต่น่าเสียดายที่เป็สตรี ใต้หล้านี้อคติกับสตรีอย่างมากหากเป็บุรุษ นางคงได้กลายเป็ท่านหมอเลื่องชื่อแห่งป่าต้นซิ่งไปแล้ว”
“โดยสรุปก็คือนางเป็คนมีความสามารถ นี่เพิ่งจะตรวจโรคให้ผู้อื่นไม่กี่ครั้งก็ยังหาเงินได้ตั้งหลายสิบตำลึงนอกจากนั้นยังทำให้ท่านปู่ของเ้ายอมรับปากแบ่งค่ารักษาครึ่งหนึ่ง”สตรีแซ่จางเอ่ยพลางถอนหายใจ “ในมือของนางมีเงินตั้งสิบกว่าตำลึง!หากนางยอมเอาออกมาน้องเล็กของเ้าคงได้เข้าไปในสำนักศึกษาระดับอำเภอแล้วซื้อจดหมายแนะนำเข้าสอบขุนนางในฤดูใบไม้ร่วงได้”
อวี๋กานเฉ่ารู้แล้วว่ามารดาของตนอ้างว่าป่วยไม่ยอมลงนาและทะเลาะกับท่านปู่ก็เพราะเื่ส่งจือโจวไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอถึงแม้จะคบค้าสมาคมกับอวี๋เจียวไม่มากนักแต่อวี๋กานเฉ่ารู้สึกว่าอวี๋เจียวไม่เหมือนกับแม่นางในหมู่บ้านเหล่านี้สักเท่าใด ช่างน่าประหลาดแท้จริงแล้วแตกต่างกันเพราะอะไร นางกลับอธิบายไม่ถูกโดยรวมคือรู้สึกว่านางไม่เหมาะกับหมู่บ้านบนเขาเล็กๆ เช่นนี้เลย
“ท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่ากำเงินในมือแน่นมาโดยตลอด เงินที่คนในจวนไม่กี่ครอบครัวหามาล้วนแต่เข้าไปอยู่ในมือของพวกเขานอกจากอาสามและอาสะใภ้สาม พวกเราสองครอบครัวจะเอาเงินออกมาได้อย่างไร?น้องสะใภ้ห้าสามารถแบ่งเงินค่ารักษาครึ่งหนึ่งมาจากมือของท่านปู่ได้ความคิดย่อมไม่ธรรมดาท่านเลิกคิดจะให้ผู้อื่นเอาเงินออกมาส่งน้องเล็กไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอเถิดเ้าค่ะอย่าได้หมางใจกับนางเชียว” อวี๋กานเฉ่าครุ่นคิดครู่หนึ่งนางกลัวว่ามารดาของตนจะทำเื่เกินสมควรถึงยามนั้นกลับกลายเป็ต้องอึดอัดใจกับครอบครัวรอง
สตรีแซ่จางพยักหน้า“ข้าฟังคำกล่าวพี่สะใภ้ใหญ่ของเ้าจนจำขึ้นใจแล้วอวี๋จิ่นซูกับอวี๋จิ่นเหยียนของครอบครัวสามต่างไปเรียนโดยใช้เงินส่วนรวมครั้นถึงคราวจือโจวของพวกเรา ครอบครัวใหญ่ของเราจะใช้คืนเองได้อย่างไรหากจะคืนก็ต้องคืนด้วยเงินส่วนรวมจะปล่อยให้ครอบครัวสามไม่กี่คนนั้นได้ประโยชน์ไปทุกเื่ได้อย่างไร”
อวี๋กานเฉ่าโน้มน้าว“ท่านก็ไม่อาจไม่ลงนาไปทำงานแม้แต่นิดเพราะเื่นี้นะเ้าคะภายในจวนมีรวงข้าวมากมายถึงเพียงนั้น ต่อให้อาสะใภ้ร้องเหนื่อยเจียนตายนางก็ทำไม่เสร็จเ้าค่ะ”
“ข้ารู้ว่าอาสะใภ้รองของเ้าทำไม่หมดข้าทำเช่นนี้ก็เพราะอยากบีบบังคับให้ท่านปู่ของเ้าตกปากรับคำยอมใช้เงินส่วนกลางมิใช่หรือ!หากใช้เงินส่วนกลาง ภายหน้าครอบครัวใหญ่ของพวกเราก็ไม่ต้องคืนเงินเพียงแต่ภายหน้ายามเมิ่งอวี๋เจียวตรวจไข้ขอแค่นางหักเงินค่ารักษาไว้กับตนเองก็พอแล้ว เมื่อเป็เช่นนี้ทั้งหมดล้วนแต่เป็เงินที่นางหามาด้วยตนเอง” สตรีแซ่จางวางแผนการอย่างดี
ในขณะเดียวกัน หลี่ฮั่นชิวกำลังเดินเข้ามาจากข้างนอกเดิมทีอวี๋กานเฉ่ายังคิดจะเอ่ยบางสิ่ง สตรีแซ่จางกลับออกปากเร่งเร้าว่า“เ้ากับลูกเขยฮั่นชิวไปนอนในห้องของจือโจว รีบไปพักผ่อนเถิด”
เพราะมีอวี๋เฉียวซานคอยช่วยเหลือรวงข้าวในลานเรือนถูกสีจนใกล้เสร็จหมดแล้วสตรีแซ่ซ่งเอาฟางข้าวไปกองรวมกันอีกด้านหนึ่งก่อนจะกลับเข้าห้องไปพักผ่อน
อวี๋ฝูหลิงที่นั่งเย็บชุดมงคลอ้าปากหาวด้วยความง่วงนางวางเข็มกับด้ายในมือลง วางตะกร้าเย็บปักไว้บนหัวนอนครั้นเห็นอวี๋เจียวยังคงอ่านตำราจึงเอ่ยถามว่า “เ้าจะนอนยามใด?”
อวี๋เจียวเงยหน้าขึ้นจากตำราแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างครู่หนึ่งนางไม่คุ้นชินกับยุคสมัยที่ไร้นาฬิกาเช่นนี้กระทั่งเวลายังไม่อาจรู้แน่ชัดเสียแล้ว
“ตอนนี้เป็เวลาใดแล้ว?” นางขยี้ดวงตาเอ่ยถามไปทางอวี๋ฝูหลิง
อวี๋ฝูหลิงเอนกายลงนอน ถดกายเข้าในผ้าห่ม "ยามไฮ่แล้ว (21:00-23:00น.)"
อวี๋เจียวลองคำนวณในใจ น่าจะเป็เวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วนางปิดตำราในมือแล้ววางไว้บนตู้ไม้ตรงหัวเตียงอย่างระแวดระวัง จากนั้นลงจากเตียงไปเตรียมไปปิดหน้าต่างเข้านอน
ครั้นเดินมาถึงตรงหน้าต่าง อวี๋เจียวมองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนมือที่กำลังจะปิดบานหน้าต่างเข้าหากันชะงัก เอ่ยเสียงเบาว่า “วันพรุ่งนี้ฝนจะตก”
อวี๋ฝูหลิงที่ปิดเปลือกตาเตรียมนอนพลันลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ของอวี๋เจียวนางหยัดกายลุกขึ้น “เ้าพูดว่าอะไรนะ?”
อวี๋เจียวมองออกไปยังท้องฟ้าข้างนอก เอ่ยย้ำอีกครั้งอย่างเชื่องช้า“พรุ่งนี้ฝนจะตก”
“เ้าบอกว่าพรุ่งนี้ฝนจะตก?” อวี๋ฝูหลิงถามย้ำอีกครั้ง
อวี๋เจียวพยักหน้า อวี๋ฝูหลิงคลานลงจากเตียงเสียแล้วหลังจากรีบสวมอาภรณ์อย่างรวดเร็วก็เดินออกไปนอกห้อง
สตรีแซ่ซ่งพึ่งอาบน้ำเสร็จและกำลังจะขึ้นเตียงนอน เมื่อเห็นอวี๋ฝูหลิงเดินออกมาอย่างรีบร้อนยังนึกว่านางจะไปเข้าห้องน้ำครั้นกำลังจะส่งตะเกียงตรงหัวเตียงให้นาง กลับได้ยินอวี๋ฝูหลิงเอ่ยขึ้นว่า“ท่านแม่ อวี๋เจียวบอกว่าวันพรุ่งนี้ฝนจะตกเ้าค่ะพวกเรารีบเก็บข้าวในลานเรือนโดยเร็วเถิดเ้าค่ะ”
สตรีแซ่ซ่งสวมอาภรณ์ “คงไม่กระมังข้ามองดูแล้วหลายวันมานี้อากาศดีมาก”
อวี๋ฝูหลิงเอ่ยอย่างลึกซึ้งยากคาดเดา “ท่านไม่เข้าใจหากอวี๋เจียวบอกว่าฝนจะตก วันพรุ่งนี้ฝนจะต้องตกแน่นอนเ้าค่ะ ท่านแม่พวกเรารีบเก็บข้าวในลานเรือนเถิดเ้าค่ะ”
ครั้นเห็นนางเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังสตรีแซ่ซ่งนึกถึงวันนั้นที่พวกอวี๋เจียวขึ้นเขาไปล่าสัตว์อย่างอดไม่ได้คืนก่อนไปอวี๋เจียวบอกว่าฝนจะตก วันถัดมาฝนก็ตกจริงๆ เสียแล้ว นางลงจากเตียงเอ่ยด้วยความกังวลเล็กน้อย “หากพรุ่งนี้ฝนตกจริงๆเช่นนั้นจะทำอย่างไรกับข้าวในทุ่งนา หากเปียกฝนแล้วแช่น้ำอีกสักนิดคงจะจบสิ้นแล้ว!”
อวี๋เมิ่งซานหยัดกายลุกขึ้นนั่งเช่นกันเขาเอ่ยถามอวี๋เจียวที่เดินออกมาหลังจากสวมอาภรณ์เรียบร้อย “แม่หนูเมิ่งวันพรุ่งนี้ฝนจะตกหรือ? เ้ารู้ได้อย่างไร? ฝนนี้จะตกนานหรือไม่?”
อวี๋เจียวยกมือชี้ขึ้นไปบนหัว “ดูจากปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเ้าค่ะปีนี้น้ำฝนมีปริมาณมาก ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฝนนี้จะตกนานเพียงใด”
ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าคืออะไร อวี๋เมิ่งซานไม่เข้าใจแม้แต่นิดแต่เมื่อเห็นว่าคล้ายกับอวี๋เจียวไม่ได้ล้อเล่นจึงรีบสวมเสื้อคลุมโดยเร็ว“หากฝนจะตกจริงๆ ย่อมต้องรีบเก็บข้าวในทุ่งนาให้เสร็จไม่เช่นนั้นผลผลิตในครึ่งปีนี้คงต้องเสียหายเสียแล้ว”
สตรีแซ่ซ่งเอ่ยขึ้นทันใด “ข้าจะไปหาพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ ฝูหลิงเ้าไปเรียกอาสามกับอาสะใภ้สามและบอกท่านปู่ท่านย่าของเ้าสักหน่อยพวกเรารีบไปทุ่งนา”
คนสกุลอวี๋พึ่งจะเข้านอนยามนี้ถูกครอบครัวรองเคาะประตูและโวยวายเสียงดังเพียงนี้จึงทำให้ทุกคนรู้สึกตัวตื่น
หลังจากอวี๋ฝูหลิงมาเรียกคนของครอบครัวสามนางถูกสตรีแซ่จางบริภาษไปยกหนึ่ง “เป็บ้าอะไรกัน? อากาศดีถึงเพียงนี้ ฝนจะตกได้อย่างไรจงใจหาเื่ไม่ให้ผู้อื่นหลับนอนใช่หรือไม่? หากครอบครัวรองของพวกเ้าจะเป็บ้าก็ไปทุ่งนากันเองอย่ามารบกวนการนอนของข้า!”
กล่าวจบปิดประตูดัง ‘ปัง’ อย่างแรงใส่หน้า
อวี๋ฝูหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโหตามด้วยไปเคาะประตูห้องของผู้เฒ่าอวี๋และสตรีแซ่อวี๋โจวด้วยสีหน้าจนปัญญาสตรีแซ่อวี๋โจวเอ่ยถามหลังจากสวมเสื้อคลุมเรียบร้อย“ผู้ใดในบรรดาพวกเ้าบอกว่าฝนจะตก?”
อวี๋ฝูหลิงค่อนข้างกลัวสตรีแซ่อวี๋โจว แต่ยามนี้นางเชื่อในคำกล่าวของอวี๋เจียวโดยไม่นึกสงสัยจึงฝืนเอ่ยออกไปว่า“อวี๋เจียวบอกเ้าค่ะ”
“นางบอกว่าฝนจะตก ์ก็จะสั่งให้ฝนตกอย่างนั้นหรือ?์ยังจะฟังคำสั่งของนางงั้นหรือ? ผู้คนในหมู่บ้านต่างเร่งมือเก็บเกี่ยวตลอดหลายวันนี้หากฝนจะตกจริงๆ คงประกาศไปทั่วหมู่บ้านแล้วก่อเื่วุ่นวายซี้ซั้วกลางดึกกลางดื่นให้น้อยลงสักหน่อยพวกเ้าอยากลงนาเกี่ยวข้าวก็ไปกันเอง ไม่มีผู้ใดสนใจพวกเ้า!”
ทันใดนั้นมีน้ำเสียงเ็าดังขึ้น“แน่นอนว่า์ไม่มีทางฟังคำกล่าวของข้า แต่เื่ที่วันพรุ่งนี้ฝนจะตก์เป็คนบอกข้าเอง ข้านำวาจามาบอกแล้ว หากข้าวในทุ่งนาจมน้ำจนผลผลิตลดน้อยลงถึงตอนนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เตือนพวกท่านแล้วกัน”อวี๋เจียวเดินมาจากด้านหลังของอวี๋ฝูหลิง เอ่ยด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน
