และแล้ว ราคาประมูลก็เพิ่มสูงถึงแปดพันตำลึง ซึ่งผู้ที่เสนอก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็คุณชายจากตระกูลหลี่ที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองเหยียน ผู้มีตำแหน่งเป็หัวหน้าขบวนการค้าทางตอนเหนือของเมือง
แปดพันตำลึง อาจจะเป็จำนวนเงินที่สูงลิบลิ่วสำหรับผู้อื่น แต่สำหรับคุณชายรองจากตระกูลซึ่งมีชื่อเสียงเป็อันดับหนึ่งในเมืองเหยียนแล้ว นี่ถือเป็เพียงเศษเงินเท่านั้น
พี่ฮวาบอกให้บ่าวรับใช้ชายยกเสลี่ยงที่หนีเจียเอ๋อร์นั่งอยู่ เดินวนไปรอบๆ เวทีอีกครั้ง
สำหรับหญิงสาวแล้ว นี่ไม่ต่างจากความอัปยศครั้งใหญ่
ด้วยร่างกายอ่อนแรงนัก แม้แต่จะกำหมัดหรือแยกเขี้ยวยิงฟันก็ไม่อาจทำได้ จึงมีเพียงความรังเกียจอันท่วมท้นในแววตาเท่านั้น ที่จะสะท้อนถึงความรู้สึกของนาง แต่นั่นก็ยังไม่ถึงหนึ่งในหมื่นของความชิงชังที่นางมีต่อพี่ฮวา
เมื่อรับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องจากด้านหลัง ฮวาก็เหลียวไปมอง จึงััได้ถึงจิตสังหารอันแรงกล้าที่ส่งมายังตน ทำเอานางถึงกับตัวสั่นหวั่นผวาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แต่ฮวาผู้คร่ำหวอดอยู่ในหอโคมเขียวมาั้แ่อายุสิบสี่ปี ก็หาใช่จะโง่เขลา ย่อมรู้วิธีควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
ดังนั้น นางจึงหันไปมองคุณชายรองตระกูลหลี่ แล้วเอ่ยวาจานอบน้อมเป็พิเศษ “หากไม่มีผู้ใดสู้ราคาแล้ว...”
คุณชายฉางรีบยกมือขึ้น “เก้าพันตำลึง!”
คุณชายหลี่จึงยกมือขึ้นอีกครั้ง “หมื่นตำลึง!”
“หนึ่งหมื่นหนึ่งพันตำลึง!”
“หนึ่งหมื่นสองพันตำลึง!”
...
เสียงสุดท้ายที่ะโราคาหนึ่งหมื่นหกพันตำลึง เป็ของคุณชายรองหลี่
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนยอมจ่ายด้วยเงินมากถึงขนาดนี้ ทั้งพี่ฮวาและเหล่าสตรีในหอร้อยบุปผา ต่างพากันเบิกตากว้าง
ฮวาตื่นเต้นจนร้องเสียงสูง “หนึ่งหมื่นหกพัน หากไม่มีใครเสนอราคาอีก ข้าขอประกาศว่า...”
“หนึ่งแสนหกหมื่นตำลึง!”
น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยทุ้มลึก ทำให้ทุกคนต้องกลั้นหายใจ พลางหันไปมองหาต้นเสียง
ทว่า หนีเจียเอ๋อร์จำเ้าของเสียงนี้ได้ทันที ดวงตาของนางแดงก่ำ ความแข็งแกร่งที่พยายามคงไว้จนถึงตอนนี้ แทบจะพังทลาย
มุมปากของนางยกขึ้นด้วยความยินดี พร้อมตวัดสายตามองสบไปอย่างอ่อนแรง
โจวชิงหวาในชุดคลุมสีม่วงอ่อน ขยิบตาให้ ขณะไล่สายตาอันลึกล้ำมองนาง แล้วตอกย้ำอีกครั้ง “หนึ่งแสนหกหมื่นตำลึง!”
นับแต่ก่อตั้งหอร้อยบุปผาเป็ต้นมา ก็ไม่เคยมีใครเสนอราคาสูงถึงเพียงนี้มาก่อน ต่อให้จะหาดูทั่วทั้งแคว้นฉีหลาน ก็ยากนักที่จะเห็นคนประมูลคืนแรกของนางคณิกา ด้วยเงินมากถึงหนึ่งแสนหกหมื่นตำลึง
พอคุณชายหลี่สังเกตเห็นรอยยิ้มของคนงาม ก็รู้สึกขุ่นเคืองใจจนคว่ำโต๊ะ ก่อนจากไปพร้อมผู้ติดตาม
เมื่อเขาเดินผ่านไปทางโจวชิงหวา ก็อดมิได้ที่จะมองอย่างสบประมาท
โจวชิงหวายิ้มบางๆ หากแต่ดวงตาเย็นยะเยียบจนแทบจะแช่แข็งผู้คน
ฮวารั้งกระโปรง แล้วสาวเท้าเข้ามาหา ใบหน้าอ้วนกลมของนางสว่างไสว ขณะเอ่ยเสียงฉอเลาะ “ขอเรียนถามชื่อแซ่ของคุณชายท่านนี้ จะได้หรือไม่เ้าคะ?”
โจวชิงหวาเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตารังเกียจ ก่อนชี้นิ้วไปทางหนีเจียเอ๋อร์ที่อยู่บนเวที แล้วย้อนถาม “ตอนนี้นางเป็ของข้าแล้ว ใช่หรือไม่?”
ฮวามิได้รู้สึกอันใดกับท่าทีเฉยเมยของเขา เพียงสงบปากสงบคำ และยื่นมือออกไปเป็สัญญาณ ว่าหากเงินมาก็รับคนไปได้
โจวชิงหวาหยิบตั๋วทองสามใบ ซึ่งรวมแล้วมีมูลค่าเท่ากับเงินจำนวนหนึ่งแสนหกหมื่นตำลึงออกมาจากแขนเสื้อ แล้วโยนลงกับพื้น ก่อนที่มันจะถูกลมพัดจนปลิวขึ้นไปบนอากาศ พร้อมร่างกายของเขา ที่ใช้วิชาตัวเบาะโขึ้นไปบนเวที
ปลายนิ้วสีขาวราวกับกระเบื้องเคลือบชั้นดี กระชากม่านออก แล้วโน้มตัวลงไปอุ้มร่างของหนีเจียเอ๋อร์ขึ้นมา
หญิงสาวจึงอิงร่างในอ้อมกอดที่แข็งแกร่งและอบอุ่นของเขา
ในยามนี้ ฮวากำลังหยิบตั๋วทองขึ้นมาตรวจสอบ... ของจริง!
และแล้ว ดวงตาของนางก็ฉายประกายวาววับด้วยความพอใจ “เอาละ... นางเป็ของท่านแล้ว!”
จากนั้น ก็เก็บตั๋วทองไว้กับตัว ก่อนสั่นระฆัง “มัวตะลึงอะไรอยู่ รีบนำทางคุณชายไปที่ห้องสิ”
กุ้ยกงจึงได้สติกลับมา “คุณชาย เชิญทางนี้ขอรับ!”
ฮวายิ้ม แล้วร้องสั่งเสียงดัง “จุดประทัด!”
ตามกฎของหอร้อยบุปผา จะมีการจุดประทัดเฉลิมฉลองในราตรีแรกของนางคณิกาทุกคน ซึ่งถือว่าเป็พิธีมงคลอย่างหนึ่ง เพื่อเพิ่มมนตร์ขลังให้กับแขก
ปัง...!
เสียงประทัดดังกึกก้อง ฟังดูคึกคักยิ่งนัก
ท่ามกลางสายตาอิจฉาของสตรีและเสียงชื่นชมของบุรุษ ไล่มาตามเส้นทางที่โจวชิงหวาอุ้มหนีเจียเอ๋อร์เดินเข้าห้องพัก คล้ายพิธีส่งตัวบ่าวสาวเข้าเรือนหอ
และแล้ว ประตูห้องก็เปิดออก...
หนีเจียเอ๋อร์คว้าแขนของเขา แล้วเงยหน้าขึ้นมากระซิบ “รีบพาข้าออกไปเถอะ!”
แต่โจวชิงหวาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของนาง เขากวาดสายตามองข้าวของทุกชิ้นในห้อง ก่อนจะเบี่ยงหน้ามาหาหญิงสาวในอ้อมแขน แล้วพูดเสียงแหบพร่า “ตอนนี้ ยังออกไปมิได้”
ขาดคำ ก็อุ้มหนีเจียเอ๋อร์ตรงไปที่เตียง และปล่อยให้นางนั่งลงบนหน้าตัก พลางหันไปมองอ่างน้ำใสสะอาดกับผ้าขนหนู ที่เตรียมเอาไว้อย่างพร้อมสรรพบนเตียงหลังน้อย ด้วยดวงตาเ้าเล่ห์ “หนึ่งแสนหกหมื่นตำลึง มิใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลย แม่นางคงไม่คิดจะให้ข้าจ่ายไปโดยไร้ประโยชน์หรอกนะ?”
หนีเจียเอ๋อร์ไม่กล้ามองใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่าย ยามที่ชายหนุ่มหันไปให้ความสนใจกับสิ่งอื่น นางก็มองตามสายตาเขา จนไปสะดุดเข้ากับอ่างน้ำและผ้าขนหนู ซึ่งหญิงสาวย่อมเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง ว่าของเหล่านี้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อประโยชน์อันใด ใบหน้าของนางจึงกลายเป็แดงก่ำด้วยความขัดเขิน
“หมายความอย่างไร?”
โจวชิงหวาอธิบายอย่างจริงจัง “ก็หมายความว่าที่ข้าใช้เงินซื้อตัวเ้า ก็เพื่อจะใช้เวลาในค่ำคืนนี้ร่วมกันอย่างไรเล่า”
ว่าแล้ว ก็วางร่างของนางลงบนเตียง หนีเจียเอ๋อร์รีบยันมือบางไว้กับอกกว้าง คล้าย้าจะค้ำร่างสูงใหญ่ประหนึ่งขุนเขาเอาไว้ ขณะที่ชายหนุ่มเอื้อมมือไปลูบไล้ฮวาเตี้ยนบนหน้าผากอีกฝ่ายอย่างแ่เบา
ทั้งสองต่างจับจ้องกันไปมา พอดวงตาสองคู่สบประสาน อากาศก็แทบจะลุกเป็ไฟ
ราวกับจะมีบางสิ่งปะทุขึ้นอย่างเฉียบพลัน สมองของหนีเจียเอ๋อร์ว่างเปล่า หญิงสาวกะพริบตาอย่างตะลึงงัน ลืมปัดป้องไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อได้กลิ่นอำพันทะเลจางๆ จากร่างของโจวชิงหวา ก็ยิ่งรู้สึกมัวเมาจนไม่อาจไถ่ถอน
ไฟปรารถนาซึ่งพลุ่งพล่านบริเวณท้องน้อย ทำให้โจวชิงหวาต้องบังคับตัวเองให้ลุกขึ้น ขณะที่ยังมีสติหลงเหลืออยู่
นางสมควรได้รับการปกป้อง มิใช่ถูกดูิ่เช่นนี้!
โจวชิงหวาพยายามตั้งสติ ซุกซ่อนเพลิงปรารถนาในใจ แล้วดันร่างนางให้เข้าไปนอนชิดด้านใน จากนั้นจึงเอนกายลงที่ด้านนอก “ข้ามัวแต่หาทางช่วยเ้า จนไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสองวัน เพลียเหลือเกิน ตอนนี้ขอพักเอาแรงสักหน่อยก็แล้วกัน!”
กล่าวจบ ก็หลับตาหนีอีกฝ่าย
หนีเจียเอ๋อร์จึงนึกขึ้นมาได้ ว่าพวกเขาไม่ได้นอนพูดคุยกันเช่นนี้นานมากแล้ว
“มานี่สิ...”
หญิงสาวหันไปมอง พอได้ยินเสียงกระซิบของเขา พลันรู้สึกขบขันเล็กน้อย โจวชิงหวาขยับเข้ามาใกล้ ก่อนโอบนางไว้ในอ้อมแขน
หนีเจียเอ๋อร์ไร้เรี่ยวแรงจะผลักไส จึงได้แต่คิดในใจ ว่ารอให้เขาตื่นก่อน นางค่อยเตะพี่ชายคนนี้ลงจากเตียง
...
เวลาล่วงเลยจนเข้ายามสาม[1] โจวชิงหวาก็ตื่นขึ้นมา เขาหันไปมองหนีเจียเอ๋อร์ที่กำลังหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยา ทำให้อาการาเ็ของนางดีขึ้นจากเมื่อวานมาก เมื่อนึกถึงเื่นี้ โทสะในใจของโจวชิงหวาก็ลุกโชน เขารอจนกระทั่งหญิงสาวตื่น จึงพานางหลบหนี
ชายหนุ่มทะยานออกไปทางหน้าต่าง โดยมีหนีเจียเอ๋อร์ในอ้อมแขน
เขาวิ่งไปบนหลังคา จนถึงห้องของฮวา แล้วเหินเข้าไปด้านในผ่านบานหน้าต่าง
ส่วนหนีเจียเอ๋อร์ก็หยิบขวดยาสีขาวออกมา แล้วเทยาด้านในลงบนมือ จากนั้น ก็เดินไปที่ข้างเตียง แตะเบาๆ ที่หน้าอกของแม่เล้า จนอีกฝ่ายสะดุ้งตื่น
โจวชิงหวาจึงใช้กริชอันคมแหลมจ่อที่คอนาง เพื่อมิให้ส่งเสียง ทำให้ฮวาตื่นตระหนกจนไม่กล้าเอ่ยปาก
หนีเจียเอ๋อร์บีบคางของนาง แล้วยัดยาสามเม็ดลงไป
พี่ฮวาตัวสั่นแล้วเอ่ยถาม “เ้าเอาอะไรให้ข้ากิน?”
หนีเจียเอ๋อร์ปล่อยแม่เล้า และเช็ดมือจนถี่ถ้วน ราวกับเมื่อครู่ไปััโดนสิ่งสกปรก พลางตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ยาปลุกกำหนัดที่เ้าเก็บไว้ในลิ้นชักอย่างไรเล่า!”
----------------------------------------------
[1] ยามสาม คือ เวลาประมาณ 23.00 – 01.00 น.
ซึ่งการบอกเวลาว่าเป็ยามหนึ่ง, ยามสอง, ยามสาม, ... นี้ จะใช้ระบุเวลาในยามค่ำคืนเท่านั้น โดยจะแบ่งออกเป็ 5 ยาม เริ่มนับจาก 19:00 น. ซึ่งเป็เวลาย่ำค่ำ ไปจนถึง 04:59 น. ซึ่งเป็เวลาเช้าตรู่ ดังนี้
ยามหนึ่ง คือเวลา 19:00 - 20:59 น.
ยามสอง คือเวลา 21:00 – 22.59 น.
ยามสาม คือเวลา 23:00 - 24:59 น.
ยามสี่ คือเวลา 01:00 – 02.59 น.
ยามห้า คือเวลา 03:00 - 04:59 น.
หมายเหตุ: การแบ่งโมงยามแบบจีนโบราณนั้น เวลาใน 1 วัน จะมี 12 ชั่วยาม โดยเริ่มแบ่งชั่วยามที่หนึ่ง (ยามชวด หรือยามจื่อ) ซึ่งเป็เวลา 23:00 – 24:59 น. ไปเรื่อยๆ จนถึงชั่วยามที่สิบสอง (ยามกุน หรือยามไฮ่) ซึ่งเป็เวลา 21:00 – 22:59 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้