ลมเหมันต์พัดผ่าน รถม้าบนถนนหลวงแล่นขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย และยังมีขบวนรับเ้าสาวที่กำลังประโคมฆ้องกลองอีกด้วย
ตามธรรมเนียมของแคว้นต้าโจว การแต่งภรรยาในเดือนหนึ่ง ซึ่งเป็่ปีใหม่นั้นนับเป็มงคลซ้อนมงคล โดยเฉพาะพื้นที่ทางเหนือที่ยึดถือเื่นี้อย่างมาก ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมามีเื่มากมายให้ต้องยุ่งวุ่นวาย มีแค่เดือนหนึ่งที่จะได้พักผ่อนและมีเพียง่เวลานี้ที่คนในครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน
ั้แ่เช้าตรู่ บ่าวของจวนจางก็จุดโคมประดับผ้าแถบไว้ในลานบ้านทุกชั้นเช่นกัน เพราะจวนจางกำลังจะจัดงานแต่งงานสองงานในเดือนหนึ่งนี้
จางจื่ออวิ๋นเป็หนึ่งในตัวเอกฝ่ายหญิงของงานแต่งครานี้ กำลังนั่งระบายความในใจกับโจวฉยงรุ่ยสหายสนิทของตนอยู่ในโถงรับแขก
“ทางนั้นพวกเขาบอกว่าเร่งรีบเกินไป เกรงว่างานแต่งจะจัดได้ไม่ดี”
“สินติดตัวยามออกเรือนเตรียมไว้พร้อมแล้วหรือไม่”
หากผู้อื่นมาถามจางจื่ออวิ๋นจะต้องไม่มีทางพูดความจริง แต่กับคนตรงหน้า ซึ่งเป็สหายที่รู้จักกันมาแต่เล็ก หากพูดให้เข้าใจง่ายสักหน่อยก็คือ ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ชนิดสามารถสละชีพแทนอีกฝ่ายได้ จึงตอบไปตามตรงว่า “ยังเลย”
โจวฉยงรุ่ยถามว่า “ยังขาดเหลือสิ่งใดบ้าง”
คิ้วเรียวงามของจางจื่ออวิ๋นขมวดแน่น “ก่อนนี้ข้าเคยให้สัญญากับว่าที่แม่สามีว่า จะปักพระไตรปิฎกให้นางหนึ่งภาพ ยามนี้ปักไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง ไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งมาพบว่ามีแมลงอยู่ในเตียงไม้หนานจึงต้องสั่งทำใหม่อีกเตียง และยังมีของบางส่วนที่สั่งซื้อจากทางใต้ถูกหิมะหนาปิดกั้นทาง อีกสองเดือนจึงจะส่งมาถึง”
“ที่เรือนข้ามีเตียงไม้หนาน ข้าจะให้เ้าเตียงหนึ่ง ถือเสียว่าเป็สินติดตัวที่เสด็จแม่ของข้าประทานให้เ้า ส่วนพระไตรปิฎกนั้น ตัวเ้าก็แต่งเข้าเรือนพวกเขาแล้ว ยังมีเวลาปักอีก จะเหลือก็แต่ของที่สั่งจากทางใต้ ถ้าไม่ได้การจริงๆ ก็ให้ไปเลือกสินค้าที่มาจากทางเรือ[1] จากร้านค้าในนามของข้าใช้แทนไปก่อน”
จางจื่ออวิ๋นเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “น้องหญิงที่แสนดี ขอบใจเ้าจริงๆ”
“ข้าเดาไว้อยู่แล้วทีเดียวว่าเ้าต้องมีเื่ลำบากใจ จึงไปขอเสด็จพ่อให้พาข้ามาพบเ้า เป็เช่นที่คาดไว้จริงๆ ระหว่างเ้ากับข้ายังต้องเอ่ยคำว่าขอบใจใดอีก”
จางจื่ออวิ๋นเข้ามาโอบไหล่งามของโจวฉยงรุ่ย กล่าวด้วยความตื้นตันใจยิ่ง “เ้านำฟืนมาส่งกลางหิมะ ข้าย่อมซาบซึ้งและจดจำไว้ในใจ”
โจวฉยงรุ่ยเห็นสหายสนิทมีน้ำตาคลอ จึงกระเซ้าว่า “เอาล่ะ หากเ้าอยากขอบใจข้า หากชาติหน้าข้าเป็ชาย เ้าต้องแต่งกับข้า”
จางจื่ออวิ๋นหัวเราะทั้งน้ำตา “ตกลง ข้าจะแต่งกับเ้า”
“เ้าแต่งออกไปแล้ว หากเขาข่มเหงเ้าก็อย่าเก็บงำไว้ในใจเด็ดขาด จะต้องมาบอกข้า ข้าจะแก้แค้นเอาคืนให้เ้า”
เสียงบ่าวของโจวฉยงรุ่ยดังมาจากข้างนอก “ท่านหญิงเพคะ ท่านอ๋องจะเสด็จกลับแล้ว จึงให้มาสอบถามว่า ท่านจะเสด็จกลับพร้อมกัน หรือจะอยู่ที่จวนจางต่อเพคะ”
“วันนี้ข้าไม่ไปที่ใดทั้งสิ้น จะอยู่สนทนากับจื่ออวิ๋น”
จางจื่ออวิ๋นจะแต่งออกไปอยู่ในเมืองที่ห่างออกไปสามร้อยกว่าลี้ พอแต่งงานไปแล้ววันหน้าก็จะได้พบกันน้อยลง
“ข้าจะให้เ้าดูพระไตรปิฎกที่ข้าปัก” จางจื่ออวิ๋นดึงมือโจวฉยงรุ่ยและพาไปที่ห้องนอน ที่นั่นมีภาพปักพระไตรปิฎกที่ปักเสร็จครึ่งหนึ่ง
สตรีทั้งสองนางต่างใช้เวลาที่ได้พบกันครานี้อย่างคุ้มค่า พูดคุยกันอย่างมีความสุข กระทั่งเวลาล่วงเลยไปไม่ทันรู้ตัวก็เกือบถึงยามเที่ยงแล้ว
บ่าวจวนจางเข้ามา เมื่อคำนับโจวฉยงรุ่ยแล้วก็รายงานจางจื่ออวิ๋นว่า “คุณหนูเ้าคะ ท่านชายและคุณชายเจียงพาท่านหมอเทวดาน้อยมาที่จวน และตรงไปทางเรือนของนายท่านแล้วเ้าค่ะ”
“ไม่รู้ว่าหมอเทวดาน้อยผู้นี้จะรักษาโรคของท่านพ่อข้าได้หรือไม่”
“ถ้ารักษาได้ เ้าจะได้ออกเรือนตอนสารทฤดู[2]หรือไม่”
จางจื่ออวิ๋นเอ่ยช้าๆ ว่า “อืม... วานนี้ท่านแม่ข้าบอกกับข้าแล้วว่าถ้าท่านพ่อหายดี ข้าก็ไม่ต้องเร่งรีบแต่งงานเพียงนี้ ั้แ่เมื่อวานท่านแม่จึงไม่ให้ข้าดูแลเื่ในเรือน แต่ให้ส่งเทียบเชิญงานแต่งแทน ข้ายอมแต่งช้าไปอีกสามปี แต่ไม่หวังว่าท่านพ่อ ข้าจะ…”
พอโจวฉยงรุ่ยมาถึงก็เล่าเื่ของหลี่หรูอี้ให้จางจื่ออวิ๋นฟัง รอมาตลอดเช้า ที่สุดก็มาเสียที จึงบอกว่า “ไป พวกเราไปดูท่านหมอเทวดาน้อยกัน”
จางจื่ออวิ๋นสนิทสนมกับโจวโม่เสวียนอย่างยิ่ง และเคยพบกับเจียงชิงอวิ๋นหลายครั้ง วานนี้ได้ยินบ่าวจวนติงบอกว่า ท่านหมอเทวดาน้อยเป็เด็กชายน้อยอายุสิบปี จึงไม่ได้หลบเลี่ยงจะพบหน้า แต่ไปที่เรือนหน้ากับโจวฉยงรุ่ยอย่างเปิดเผย
โจวโม่เสวียนเห็นสตรีทั้งสองจึงกำลังจะทักทาย แต่โจวฉยงรุ่ยชี้ไปที่หลี่หรูอี้ จากนั้นก็ส่ายหน้าเป็การบอกว่า อย่ารบกวนหมอเทวดาน้อยตรวจรักษาให้แม่ทัพจาง
เจียงชิงอวิ๋นยืนอยู่ข้างหลังหลี่หรูอี้ เมื่อหันหน้ามาเห็นสตรีทั้งสองนาง จึงพยักหน้าช้าๆ ให้แต่ไม่เอ่ยคำใด
คนตระกูลจางต่างกำลังมองไปที่แม่ทัพจางอย่างจดจ่อ ด้วยกลัวว่าหลี่หรูอี้จะเอ่ยคำว่า เกินเยียวยา ออกมาจากปาก
หลี่หรูอี้จับชีพจรให้แม่ทัพจาง ซึ่งนอนอยู่บนเตียงมาหลายวันด้วยใบหน้าซีดเผือด โดยไม่รู้แต่อย่างใดว่า มีสตรีสูงศักดิ์สองนางที่งดงามดั่งบุปผาดั่งหยกเข้ามาในห้อง
ฮูหยินจางถามด้วยสีหน้าร้อนใจ “อาการเจ็บป่วยของสามีข้าเป็เช่นไร”
หลี่หรูอี้ไม่แม้จะเงยหน้าขึ้น “ไม่ใคร่ดี แต่ก็ยังมีทางช่วยขอรับ”
“ยังมีทางช่วย ท่านหมายถึงว่า สามีข้ายังมีทางรักษาหรือ” น้ำเสียงตื่นเต้นของฮูหยินจางสูงกว่าปกติหลายเท่า
“ขอรับ ข้าต้องตรวจร่างกายผู้ป่วยให้มากกว่านี้” จากนั้นหลี่หรูอี้ก็บอกไปช้าๆ ว่า “ถอดเสื้อและกางเกงของผู้ป่วยออกเสีย”
บุตรชายคนโตของแม่ทัพจางปรี่เข้ามา เอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นและดังว่า “ท่านแม่ ข้าเอง”
ฮูหยินจางกำชับว่า “โสงเอ๋อร์ ร่างกายของท่านพ่อเ้าอ่อนแอนัก เ้าเบามือหน่อยเล่า”
บุตรชายคนรองของแม่ทัพจางเดินเข้ามาถามว่า “ข้ามือไม้เบา มิเช่นนั้น ข้าจัดการให้เองขอรับ”
ฮูหยินจางทั้งร้อนใจทั้งเป็กังวลว่า จางโสงบุตรชายคนโตเป็คนมือหนัก อย่าได้ทำแม่ทัพจางกระดูกกระเดี้ยวหักเอา จึงบอกว่า “เลี่ยงเอ๋อร์เ้าเข้าไปช่วยพี่ชายเ้าสักหน่อย”
เจียงชิงอวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยามได้ยินเสียงว่ามีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลัง ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็จางจื่ออวิ๋นและโจวฉยงรุ่ย วิ่งออกไปจากห้องแล้ว
ทั้งที่เป็สตรีเช่นเดียวกัน แต่เพราะหลี่หรูอี้ต้องรักษาคนไข้จึงไม่อาจออกไปได้ หากเื่นี้แพร่งพรายออกไปชื่อเสียงของนางจะต้องป่นปี้ย่อยยับ
แม่นางตัวน้อยที่แสนดีเช่นนี้ หากวันหน้าแต่งออกไม่ได้ก็เป็เื่ที่โหดร้ายเหลือเกิน
พริบตานั้นเขากลับเริ่มรู้สึกเสียใจที่รับปากโจวโม่เสวียนว่า จะพาหลี่หรูอี้มาตรวจรักษาให้แม่ทัพจาง
หลี่หรูอี้เห็นว่าจางโสงกำลังจะถอดกางเกงตัวนอกและตัวในของแม่ทัพจางออก จึงเอ่ยไปอย่างไม่รอช้าว่า “ถอดเสื้อของผู้ป่วยออก ส่วนกางเกงก็ดึงขึ้นให้เห็นถึงน่องเป็พอแล้วขอรับ”
จางเลี่ยงเอื้อมมือไปห้ามจางโสงที่กำลังจะฉีกกางเกงของแม่ทัพจางออก แต่เขากลับม้วนขากางเกงขึ้นไปแทน เผยให้เห็นต้นขาและน่องที่เป็หนังหุ้มกระดูก
ขากางเกงผ้าแพรต่วนเนื้อลื่นมีความกว้างมาก และแม่ทัพจางก็ผ่ายผอมจนเหลือแต่กระดูก จึงม้วนขากางเกงขึ้นมาถึงต้นขาได้อย่างง่ายดาย
โจวโม่เสวียนพึมพำด้วยความเศร้าใจ “ท่านลุงจางผ่ายผอมจนเป็เช่นนี้เชียว”
หลี่หรูอี้แตะที่ไหล่จางโสงเป็การบอกให้เขาขยับออกไปข้างๆ จากนั้นก็บอกกับจางเลี่ยงว่า “ท่านใช้นิ้วมือกดที่ต้นขาและน่องของผู้ป่วยเบาๆ”
จางเลี่ยงทำตาม และเห็นว่าิัของแม่ทัพจางตรงที่ใช้นิ้วกดลงไปกลายเป็รอยยุบเล็กๆ รอยหนึ่ง
หากใช้วิธีเดียวกันกดไปบนิัของคนที่แข็งแรงดี รอยยุบจะเด้งกลับขึ้นมาทันที แต่รอยยุบบนผิวของแม่ทัพจางกลับต้องรอหลายอึดใจจึงจะเริ่มเด้งกลับขึ้นมา
หลี่หรูอี้สั่งความต่อไปว่า “ท่านกำกำปั้นและเคาะลงที่ฝ่าเท้าและข้อเข่าของผู้ป่วยเบาๆ”
จางเลี่ยงกำหมัด และย่อมไม่กล้าออกแรงหนัก ก่อนจะเริ่มเคาะที่ฝ่าเท้าของแม่ทัพจางสองสามครั้ง แต่ก็ไม่เห็นว่าแม่ทัพจางจะขยับเขยื้อน จากนั้นก็เคาะที่ข้อเข่าของแม่ทัพจางก็ยังคงไม่ขยับเช่นกัน”
“ใช้ได้แล้วขอรับ” หลี่หรูอี้สอบถามเื่เกี่ยวกับอาหารการกินของแม่ทัพจาง กับคนในครอบครัวจางหลายสิบคำถาม เมื่อวินิจฉัยได้แน่นอนในใจแล้ว ก็บอก กับฮูหยินจางที่กำลังตึงเครียดเสียจนเกือบน้ำตารินว่า “ผู้ป่วยเป็โรคไต ข้อกระดูกอักเสบเรื้อรัง[3] และยังมีโรคเบาหวานที่เป็มานานแล้วด้วยขอรับ”
ฮูหยินจางฟังรู้เื่แค่คำว่า โรคไตกับข้อกระดูก อย่างอื่นล้วนฟังไม่เข้าใจ แต่รู้สึกว่าโรคทั้งสามคล้ายเป็โรคที่ร้ายแรง จึงเอ่ยด้วยความร้อนใจว่า “ทำอย่างไรเล่า เขายังจะมีชีวิตรอดอยู่อีกหรือไม่”
“ท่านอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้วว่า ผู้ป่วยยังจะมีชีวิตอยู่ เพียงแต่…”
..............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] สินค้าที่มาจากทางเรือ หมายถึง สินค้านำเข้าจากต่างถิ่นจนถึงต่างแดน
[2] สารทฤดู คือ ฤดูใบไม้ร่วง
[3] ข้อกระดูกอักเสบเรื้อรัง ในที่นี้คือ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) เป็โรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีข้ออักเสบพร้อมกันหลายๆ ข้อ เมื่อข้ออักเสบเป็เวลานานข้อจะถูกทำลาย ทำให้ข้อผิดรูป และเกิดความพิการตามมาได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้