“เขตแดนน้ำแข็งพันลี้!” อีชิ่นเสวี่ยแผดเสียงะโ เมื่อนางผสานมือ ห้วงอากาศก็ราวกับถูกแช่แข็ง
“พลังน้ำแข็งของอีชิ่นเสวี่ยร้ายกาจมาก เกรงว่าเย่เฟิงจะเอาชนะนางไม่ได้ง่าย ๆ แล้ว” ผู้คนเห็นการโจมตีแรกของอีชิ่นเสวี่ยต่างก็ใจเต้นโครมคราม ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ดูเหมือนอีชิ่นเสวี่ยจะซ่อนพลังไว้ แต่นางมาะเิพลังในศึกสิบอันดับแรกนี้ ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก แต่นางอยู่กลุ่มเดียวกับเย่เฟิง ทำได้เพียงบอกว่านางโชคไม่ดีเอาเสียเลย
“ทลาย!” เย่เฟิงเหวี่ยงหมัดโจมตี ซึ่งรังสีหมัดห่อหุ้มด้วยพลังเปลวไฟ ก่อนจะละลายน้ำแข็งที่เกาะอยู่รอบตัวและเข้าปะทะกับฝ่ามือของอีชิ่นเสวี่ย
“ปัง!” เสียงะเิดังสนั่น อีชิ่นเสวี่ยถูกคลื่นกระแทกจนกระเด็นออกไป อีกอย่างมือเรียวงามยังถูกพลังเปลวไฟของหมัดเย่เฟิงแผดเผาจนเกิดรอยแดง ทำให้นางมีสีหน้าไม่สู้ดี
พลังเปลวไฟนั้นคือสิ่งที่เขาฝึกตอนอยู่แดนลับยอดเขาเทพโอสถ ทั้งยังถูกยกระดับเป็อำนาจขั้นพื้นฐาน เมื่อผสานกับหมัดของเย่เฟิงที่มีพลังถึง 120,000 จิน มันจึงไม่ใช่สิ่งที่อีชิ่นเสวี่ยจะต้านทานได้
“เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” เย่เฟิงกล่าวพร้อมสองมือไพล่หลัง เสื้อคลุมปลิวสะบัด ช่างดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก
อีชิ่นเสวี่ยหน้าซีดเล็กน้อย แต่ในดวงตาคู่งามของนางเต็มไปด้วยความเย็นะเื นางเม้มปากพร้อมแสงมุ่งมั่นปะทุออกจากดวงตา “มันยังไม่จบ!”
การที่จะมายืนอยู่บนเวทีในงานชุมนุมหวงปั่งและเข้าสิบอันดับแรกในรอบสุดท้าย อีชิ่นเสวี่ยพยายามมาเท่าไรก็มิอาจทราบได้ แล้วจะยอมแพ้เพียงเพราะคำพูดของเย่เฟิงได้อย่างไร
“เขตแดนหิมะ!” จู่ ๆ อีชิ่นเสวี่ยแผดเสียงะโ สองมือเรียวโบกพลิ้วไปในอากาศ ทันใดนั้นทั่วทั้งพื้นที่ราวกับกลายเป็โลกหิมะ พร้อมกับมีเกล็ดหิมะตกลงมา
“ชิ้ง ๆ!” ตอนนั้นเองเกล็ดหิมะที่ดูขาวบริสุทธิ์พวกนั้นก็กลายเป็คมมีดไร้ที่สิ้นสุด ก่อนจะเข้าจู่โจมเย่เฟิงอย่างบ้าคลั่ง
เย่เฟิงยังคงยืนเอาสองมือไพล่หลัง แต่เมื่อคมมีดที่ถูกผันแปรมาจากเกล็ดหิมะพวกนั้นเข้ามาใกล้ตัว จู่ ๆ พลังหอกปะทุออกจากร่างเย่เฟิงและกลายเป็รังสีหอก ก่อนจะเข้าปะทะกับคมมีดพวกนั้น ขณะเดียวกันเย่เฟิงเคลื่อนไหว โดยไม่มีผู้ใดเห็นว่าก้าวเดินอย่างไร แต่เขาเข้าประชิดตัวอีชิ่นเสวี่ยในชั่วพริบตา อีชิ่นเสวี่ยต้องตัวสั่นระริกพร้อมถอยหลัง แต่ตอนถอยหลังก็เกือบตกเวที แต่กลับถูกเย่เฟิงดึงไว้เสียก่อน
“ขอบคุณ!” อีชิ่นเสวี่ยใ แต่พอยืนได้แล้วก็เอ่ยขอบคุณเย่เฟิง นางรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เฟิง และช่องว่างยังห่างชั้นกันเกินไป ดังนั้นนางจึงยอมแพ้อย่างเต็มใจ
“อืม” เย่เฟิงผงกศีรษะขึ้นลง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “พลังน้ำแข็งของเ้าเป็เอกลักษณ์มาก หากเ้าฝึกพลังนี้ในสถานที่ที่หนาวเหน็บ อาจจะช่วยเ้าได้มากทีเดียว”
“ข้าจะพยายาม” อีชิ่นเสวี่ยยิ้มจาง ๆ ให้เย่เฟิง แม้จะแพ้เย่เฟิง แต่พอนางได้รู้จักเย่เฟิง ก็พบว่าตัวเองไม่ได้เกลียดเขาเลยสักนิด กลับกันยังรู้สึกสนใจในตัวชายหนุ่มที่เอาชนะตัวเองได้อย่างง่ายดาย
เย่เฟิงและอีชิ่นเสวี่ยเดินลงจากเวทีประลอง ซึ่งมียอดฝีมือผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญพลังน้ำแข็งรับอีชิ่นเสวี่ยเป็ลูกศิษย์ จึงพาให้ใครหลาย ๆ คนรู้สึกอิจฉาริษยา แต่บัดนี้ไม่มีใครกล้าสบประมาทเย่เฟิง แม้เย่เฟิงอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เยี่ยน แต่ทุกคนต่างก็ยอมรับในพร์ของเขา
“เย่เฟิงผู้นี้เก่งกาจมาก หากให้เวลาอีกสักหน่อยละก็ เขาอาจกลายเป็ผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทาน แม้จะเป็องค์ชายใหญ่จ้าวหยางก็คงจะสู้ไม่ได้ หากรับเป็ศิษย์คงเป็ตัวเลือกที่ไม่เลว” ผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัดที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้คนหนึ่งกล่าวด้วยความรู้สึกสนใจในตัวเย่เฟิง
“นี่ไม่ใช่เื่เท็จ พร์ของเย่เฟิงผู้นี้เรียกได้ว่าร้อยปีก็ยากจะพบเห็น แม้แต่ข้าที่ไม่เคยรับศิษย์ก็ยังหวั่นไหวเลย แต่เ้าดูออกหรือไม่ว่าองค์ชายใหญ่จ้าวหยางเหมือนจะไม่ชอบเย่เฟิง หากข้ารับเป็ศิษย์ เกรงว่าจะทำให้ราชวงศ์ไม่พอใจและอาจประสบกับเพลิงพิโรธของราชวงศ์!” ยอดฝีมืออีกคนกล่าวเตือนผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัดที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้คนนั้น พร้อมเหลือบมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง
เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัดที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้คนนั้นได้ยินก็เงียบปากทันที แม้เขาจะเป็ผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ แต่ในถิ่นอาณาจักรจ้าว เขาจำต้องเคารพราชวงศ์จ้าวและให้เกียรติองค์ชายใหญ่ ดังนั้นแม้จะมีผู้ฝึกยุทธ์สนใจเย่เฟิงมากเพียงใด แต่ก็ทำได้เพียงชักชวนเย่เฟิงในความคิด กระทั่งมีหลายคนเยาะเย้ยเย่เฟิงเพื่อเอาใจราชวงศ์ แม้จะขัดต่อเจตนาเดิมของตนก็ตาม
ไม่นานการประลองของกลุ่มที่สามก็เริ่มต้นขึ้น โดยฉวนเถี่ยจู้สู้กับยวี่ม่อ
“ข้าฉวนเถี่ยจู้ โปรดชี้แนะด้วย!”
บนเวทีประลอง ฉวนเถี่ยจู้กล่าวกับยวี่ม่อพลางคลี่ยิ้ม ดูจากลักษณะท่าทีแล้วคล้ายไม่มีสมอง
“เ้าดูตัวโตมาก แต่ไม่รู้ว่าพลังของเ้าจะร้ายกาจเท่าตัวเ้าหรือไม่?” ยวี่ม่อแสยะยิ้ม เหมือนดูถูกฉวนเถี่ยจู้ที่มีท่าทีไร้สมอง
เมื่อกล่าวจบ ยวี่ม่อกวัดแกว่งดาบโจมตีฉวนเถี่ยจู้ทันที แต่ฉวนเถี่ยจู้ยังคงคลี่ยิ้มด้วยท่าทางไร้สมอง แต่นาทีต่อมามีแสงวาบที่ด้านหน้าเขา ก่อนจะปรากฏกระบองเขี้ยวหมาป่าที่มีหนามแหลมคมมากมายและเปล่งแสงเย็นเยือก จากนั้นเหวี่ยงกระบองเพื่อโจมตีดาบของยวี่ม่อที่กวัดแกว่งมาเช่นกัน
“เคร้ง!” เสียงกระทบดังกังวาน ด้วยพลังของกระบองที่หนักถึง 80,000 จิน ดาบในมือของยวี่ม่อจึงรู้สึกถึงความสั่นเทา เืไหลออกจากปาก และดาบเกือบหลุดออกจากมือ
“ฮี่ๆ!” ฉวนเถี่ยจู้คลี่ยิ้มไม่หยุด ด้วยท่าทีที่แสดงออกมายากที่จะเชื่อว่าเป็อัจฉริยะมากฝีมือ นี่ทำให้ยวี่ม่อเผยสีหน้าดูไม่ได้ ด้วยการโจมตีเดียว ฉวนเถี่ยจู้ก็ทำให้เขาตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของฉวนเถี่ยจู้ก็เหมือนเยาะเย้ยเขา ทำให้ยวี่ม่อไม่ชอบใจเป็อย่างมาก
“เ้าโง่เง่า ข้า้าให้เ้าตายเดี๋ยวนี้เลย!” ยวี่ม่อแผดเสียงะโ พลันดาบตวัดไปที่คอของฉวนเถี่ยจู้
“ข้าชื่อฉวนเถี่ยจู้ ไม่ใช่คนโง่เง่า!” เมื่อฉวนเถี่ยจู้ได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มก็พลันจางหาย ดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำเรียกนี้ จากนั้นเขาเหวี่ยงกระบองเขี้ยวหมาป่าไปที่ดาบของยวี่ม่อ แม้เขาจะมีรูปร่างกำยำและสูงใหญ่ แต่การโจมตีกลับรวดเร็ว
“วูบ!” กระบองเขี้ยวหมาป่าที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลฟาดดาบของยวี่ม่อ เป้าหมายที่แท้จริงของมันคือศีรษะของยวี่ม่อต่างหาก นี่ทำให้ยวี่ม่อตื่นใ เขาถอยหลัง แต่กลับรู้สึกว่ามีฝ่ามือใหญ่คว้าจับลำคอเขา ก่อนจะยกตัวเขาขึ้น ซึ่งเป็ฝ่ามือของฉวนเถี่ยจู้ ใบหน้าของยวี่ม่อแดงก่ำและไร้ซึ่งกำลังต่อต้านใด ๆ
“ฉวนเถี่ยจู้ผู้นี้ร้ายกาจมาก!” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างต้องใจเต้นโครมคราม พวกเขารู้ว่าฉวนเถี่ยจู้พิโรธเพราะคำพูดเย้ยหยันของยวี่ม่อ เขาจึงะเิพลังที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ออกมา
“จำไว้ ข้าชื่อฉวนเถี่ยจู้ ไม่ใช่คนโง่เง่าที่เ้าพูดมา!” ฉวนเถี่ยจู้กล่าวเสียงกร้าว ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พอกล่าวจบก็โยนร่างยวี่ม่อลงบนเวที ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่สนใจอีกฝ่ายอีก
ยวี่ม่อรู้สึกว่าตนได้รับความอัปยศอดสู พลันแสงชั่วร้ายปะทุออกจากดวงตา กริชเล่มหนึ่งปรากฏในมือ ก่อนจะแทงไปที่ตำแหน่งหัวใจของฉวนเถี่ยจู้
“ตาย!” ดวงตาของยวี่ม่อเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง เขา้าใช้วิธีนี้เพื่อกู้ศักดิ์ศรีของตนกลับคืนมา
เมื่อฉวนเถี่ยจู้รับรู้ได้ถึงสัญญาณอันตรายที่มาจากด้านหลังก็หยุดชะงัก จากนั้นเหวี่ยงหมัดดุจค้อนเหล็กโจมตียวี่ม่อโดยไม่รอให้กริชนั้นมาถึงตัวก่อน ยวี่ม่อส่งเสียงร้องด้วยความเ็ป ก่อนร่างจะกระเด็นกระดอนไปกับพื้นเวทีและหมดสติไปในทันที และไม่รู้ว่ามีกระดูกหักกี่ท่อน
“ยวี่ม่อเลวมาก ฉวนเถี่ยจู้ไม่เอาชีวิตเขา แต่เขากลับเนรคุณ คนประเภทนี้สมควรตาย!” ผู้คนต่างตำหนิกับการกระทำอันเลวทรามของยวี่ม่อ ฉวนเถี่ยจู้สิคือลูกผู้ชายตัวจริง
ทางฝั่งตระกูลฉวน พวกเขาต่างโห่ร้องแสดงความดีใจกับฉวนเถี่ยจู้
รอบที่หนึ่งในการจัดสิบอันดับแรกปรากฏอัจฉริยะหลายคน อย่างเช่น ลู่เฟิง ฉวนเถี่ยจู้ อีชิ่นเสวี่ย เย่เฟิง แม้สี่คนนี้จะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋น แต่พลังก็ถือว่าทัดเทียมได้
การประลองอื่น ๆ ได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดโอวหยางเจินก็ขึ้นเวทีประลอง โดยคู่ต่อสู้คือฟางอวิ๋นเฮ่อที่แพ้ลู่เฟิงไปก่อนหน้านี้ บัดนี้เผชิญหน้ากับโอวหยางเจิน แม้แต่ความกล้าที่จะต่อสู้ก็ไม่มี จึงยอมแพ้อย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นฟางอวิ๋นเฮ่อที่แพ้สองครั้งติด จึงกลายเป็คนแรกที่ตกรอบ
“กลุ่มที่สอง เย่เฟิงปะทะมู่เยี่ยน!” เมื่อเสียงประกาศนี้ดังกังวาน ทั่วทั้งลานประลองพลันเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาต่างให้ความสนใจกับการประลองนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่เย่เฟิงเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้มาได้
“คนไร้ค่า ในที่สุดเ้ากับข้าก็ได้เจอกันเสียที หากเ้าเกิดกลัวและเสียใจกับคำพูดก่อนหน้านี้ ก็จงคุกเข่าขอโทษข้าเสีย หากข้าอารมณ์ดีอาจจะไว้ชีวิตเ้าก็ได้!” มู่เยี่ยนเดินออกมาจากทางฝั่งสำนักศึกษาเสินเจียง ก่อนจะกล่าวกับเย่เฟิงเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงดูแคลน
“จะสู้หรือไม่? ถ้าไม่ก็ไสหัวไปซะ อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลา เพราะข้าไม่ว่างพอจะมาฟังเ้าพล่ามไร้สาระ!” เย่เฟิงเดินออกมาจากทางฝั่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ก่อนจะะโขึ้นเวทีประลอง เพื่อเผชิญหน้ากับมู่เยี่ยน
“รนหาที่ตายเสียจริง มิหนำซ้ำปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ลูกที่เกิดจากคนทรยศตระกูลมู่ข้าก็เหมือนกันหมด เยี่ยนเอ๋อร์ สั่งสอนเขาซะ ชำระล้างแทนตระกูลมู่!” มู่เทียนหลงเห็นเย่เฟิงทำตัวอวดดีต่อหน้าบุตรของตนก็เกิดโทสะ ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น
แม้มู่เทียนหู่จะไม่กล่าวสิ่งใด แต่ท่าทีของเขาก็แสดงให้เห็นว่ากำลังดูถูกเหยียดหยาม
“วางใจเถิดท่านพ่อ ข้าจะสั่งสอนลูกของคนทรยศให้หนัก ๆ ให้เขารู้ซึ้งว่าไม่ว่าเมื่อใดตระกูลมู่ก็มิใช่คนอย่างเขาจะล่วงเกินได้!” มู่เยี่ยนพยักหน้าให้มู่เทียนหลง
“ท่านปู่ ดูเหมือนว่าเขากำลังมีปัญหากับคนเลวไร้ยางอาย”
บริเวณหน้าต่างบนชั้นเก้าของเจดีย์เชื่อมฟ้า หลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ ขนตาพลอยกระพือไปด้วย
“ก็คงใช่!” ชายชราหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ในการศึกนี้ เ้าเด็กนั่นคงจะเจอคู่ต่อสู้ที่แท้จริงเข้าให้แล้ว”
“ท่านปู่หมายความว่าไอ้สารเลวคนนั้นแข็งแกร่งมาก ๆ อย่างนั้นหรือ?” หลิงเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ใช่” ชายชราพยักหน้า
“งั้นท่านปู่คิดว่าใครจะเป็ผู้ชนะ?” หลิงเอ๋อร์เอ่ยถาม
