บทที่ 9 เหรียญทองแดงเหรียญแรก
รุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือนพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่ััได้
มันไม่ใช่แค่แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในกระท่อมดูเหมือนจะอบอุ่นกว่าเดิม หรือเสียงนกร้องนอกหน้าต่างที่ฟังดูสดใสกว่าทุกวัน แต่เป็บรรยากาศที่ไหลเวียนอยู่ระหว่างคนสามคน บรรยากาศของ บ้าน ที่หวนคืนกลับมาอีกครั้ง
อาหารเช้าของวันนั้นคือโจ๊กรากดินซ่อนดาวที่เหลือจากเมื่อคืนถูกนำมาอุ่นจนร้อน กรุ่นไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรแต่ความเงียบในครั้งนี้กลับไม่ได้น่าอึดอัดเหมือนเช่นเคย มันเป็ความเงียบที่เต็มไปด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน
หลี่ซือนั่งทานโจ๊กไปพลางลอบมองใบหน้าของสามีและบุตรสาวสลับกันไปมา ในใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อ์ที่เมตตา ในที่สุด กำแพงน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นในบ้านหลังนี้มานานกว่าครึ่งปีก็ได้เริ่มละลายลงแล้ว
อันหนิงทานโจ๊กชามนั้นอย่างเชื่องช้า นางไม่ได้เพียงแค่ลิ้มรสชาติของอาหาร แต่กำลังซึมซับความรู้สึกของครอบครัวที่นางโหยหามาตลอดทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ โจ๊กที่บิดาเป็คนต้มให้ มันคืออาหารที่อร่อยที่สุดเท่าที่นางเคยได้กินมาในชีวิต
ส่วนอันจินแม้ใบหน้าจะยังคงเรียบเฉย แต่เขากลับไม่ได้นั่งจมจ่อมอยู่ที่มุมห้องอีกต่อ ไปเขานั่งร่วมโต๊ะกับภรรยาและบุตรสาวแม้จะก้มหน้าก้มตาทานโจ๊กในชามของตน เองเงียบ ๆ แต่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้คือการก้าวข้ามหุบเหวแห่งความสิ้นหวังครั้ง ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ อันหนิงก็เป็ฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ตอนนี้ขี้ผึ้งสมานแผลของเราพร้อมแล้ว" นางกล่าวพลางมองไปยังขี้ผึ้งสีหยกอ่อนที่แข็งตัวอยู่ในหมอดิน "แต่เรายังขาดสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือภาชนะบรรจุและช่องทางการขาย"
หลี่ซือขมวดคิ้วด้วยความกังวล "ใช่แล้วลูก เราจะไปหาตลับดินเผาสวย ๆ มาจากที่ไหนกัน แล้วถึงมีเราจะเอาเงินที่ไหนไปตั้งแผงขายในตลาด"
อันจินแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ "เ้าคิดว่าเื่มันง่ายดายขนาดนั้นรึ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง "ต่อให้เ้ามีของดี แต่เ้าไม่มีชื่อเสียงไม่มีใครรู้จักไม่มีใครเชื่อถือใครเขาจะกล้าซื้อยาจากครอบครัวของหมอกำมะลอที่ถูกทางการขับไล่"
คำพูดของเขายังคงทิ่มแทงเหมือนเช่นเคย แต่คราวนี้อันหนิงกลับไม่รู้สึกเ็ป นางรู้ดีว่านี่คือความเป็จริงที่พวกเขาต้องเผชิญและบิดาของนางก็เพียงแค่กำลังทด สอบนางเท่านั้น
"เื่ชื่อเสียง เราก็ต้องค่อย ๆ สร้างมันขึ้นมาใหม่" อันหนิงตอบกลับอย่างใจเย็น "เมื่อวานเราช่วยชีวิตอาเป่า ข่าวนี้จะต้องแพร่กระจายไปในหมู่บ้านอย่างแน่นอน นั่นคือการปูทางที่ดีที่สุดของเราแล้ว"
"ส่วนเื่ภาชนะ " นางยิ้มออกมาอย่างมีแผน "ข้าคิดว่าข้าพอจะมีวิธีแก้ไขได้โดยไม่ต้องใช้เงินแม้แต่อีแปะเดียว"
ครึ่งชั่วยามต่อมา อันหนิงก็กลับมาจากป่าไผ่ที่อยู่ไม่ไกลจากกระท่อม ในมือนางถือลำไผ่สีเขียวสดที่คัดขนาดมาอย่างดีสองสามท่อน
"นี่คือตลับยาของพวกเราเ้าค่ะ" นางประกาศอย่างภาคภูมิใจ
นางเลือกใช้มีดเลื่อยลำไผ่ออกมาเป็ท่อนสั้น ๆ สูงประมาณหนึ่งข้อนิ้ว โดยตัดให้ติดข้อไผ่ไว้ด้านหนึ่งเพื่อทำเป็ก้นภาชนะ ส่วนอีกด้านก็ตัดเรียบเพื่อทำเป็ปาก ส่วนฝาปิด นางก็ใช้ข้อไผ่อีกอันมาฝานให้บางลงเล็กน้อยแล้วขัดให้พอดีกัน
มันเป็ความคิดที่เรียบง่าย แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ตลับไม้ไผ่ไม่เพียงแต่ไม่ต้องลงทุน แต่ยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของไผ่ ดูสะอาดตาและเป็ธรรมชาติ ยิ่งกว่าตลับดินเผาหยาบ ๆ ที่ขายกันในตลาดเสียอีก
นางวางตลับไม้ไผ่ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ลงตรงหน้าอันจิน
"ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านพ่อมีฝีมือด้านงานช่างอยู่บ้าง" นางกล่าวอย่างนอบน้อม "ข้าตัดได้เพียงรูปทรงหยาบ ๆ แต่การขัดเกลาให้มันเรียบเนียนสวยงาม คงต้องรบกวนท่านพ่อแล้ว"
อีกครั้ง ที่นางไม่ได้ร้องขอ แต่เป็การ รบกวน เป็การมอบหมายหน้าที่ที่สำคัญและให้เกียรติเขาในฐานะหัวหน้าครอบครัว
อันจินมองตลับไม้ไผ่ในมือบุตรสาวนิ่ง เขามองสลับกับมือของตนเอง มือคู่ที่เคยใช้จับพู่กันเขียนตำรับยาอันล้ำค่า มือคู่ที่เคยใช้ฝังเข็มรักษาชีวิตผู้คนนับไม่ ถ้วน บัดนี้กลับต้องมานั่งเหลาไม้ไผ่
ความรู้สึกขมขื่นแล่นผ่านเข้ามาในใจวูบหนึ่งแต่แล้วเมื่อเขาสบเข้ากับแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและเชื่อมั่นของบุตรสาว ความขมขื่นนั้นก็พลันสลายไป ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็ไม่อาจเรียกชื่อได้
เขาไม่พูดอะไร เพียงแค่หยิบมีดเหลาเล่มเล็กที่เคยใช้เหลาดินสอพู่กันขึ้นมา แล้วเริ่มลงมือทำงานอย่างเงียบเชียบ
มือของเขายังคงมั่นคง แม้จะไม่ได้จับมีดมานาน แต่สัญชาตญาณและความละเอียดอ่อนยังคงอยู่ครบถ้วน เขาค่อย ๆ ขูด ขัด และเหลาตลับไม้ไผ่อย่างพิถีพิถัน เสี้ยนไม้ที่หยาบกระด้างค่อย ๆ ถูกกำจัดออกไป กลายเป็ผิวไม้ที่เรียบเนียนและขึ้นเงาจาง ๆ
หลี่ซือนำผ้าชุบน้ำมาคอยเช็ดเหงื่อให้สามี ส่วนอันหนิงก็ใช้เวลานั้นแอบเข้าไปใน "มิติเก็บเกี่ยวโอสถ" ของนาง
นางนำสมุนไพรล้างพิษทั้งสามชนิดที่เก็บมาเมื่อวานเข้าไปปลูกในดินแดน์ของนางทันที นางขุดดินอันอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะบรรจงปลูกรากน้ำค้างจันทราลงไป ตามด้วยเฟินเกล็ดงูทองและใบเจ็ดดาว จากนั้นจึงตักน้ำจากบ่อน้ำพุพลังิญญามารด
ทันทีที่น้ำวิเศษัักับต้นอ่อน พวกมันก็พลันส่องแสงสีเขียวอ่อนออกมาจาง ๆ และดูสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!
"สุดยอดไปเลย!" อันหนิงแทบจะเต้นด้วยความดีใจ "แค่หนึ่งวันข้างนอก ในนี้ก็สิบวันแล้ว อีกไม่นานข้าก็จะมีสมุนไพรหายากเป็ของตัวเอง!"
นางยังใช้แต้มโอสถทิพย์ 10 แต้ม แลกเมล็ดพันธุ์สมุนไพรพื้นฐานที่จำเป็อีกสอง สามชนิดจากร้านค้าของระบบมาปลูกเพิ่ม เช่น ตังกุย และ ชะเอมเทศ
เมื่อนางกลับออกมาจากมิติ อันจินก็ขัดเกลาตลับไม้ไผ่เสร็จไปแล้วห้าอันพอดี พวกมันงดงามราวกับงานศิลปะชิ้นเล็ก ๆ ผิวเรียบเนียนไร้ที่ติขอบมนสวยงามน่าัั
อันหนิงรีบนำขี้ผึ้งที่อุ่นจนเหลวอีกครั้ง มาเทบรรจุลงในตลับไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง เมื่อขี้ผึ้งเย็นตัวลงและแข็งตัวอีกครั้ง "ขี้ผึ้งสมานแผลตลับไม้ไผ่" ผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกของครอบครัวอันก็ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็ทางการ!
"ข้าจะลองเอาไปขายดู" อันหนิงกล่าวพลางเก็บตลับยาห้าตลับใส่ตะกร้า "ข้าจะไม่เข้าไปในตลาดแต่จะลองไปที่ลานกว้างท้ายหมู่บ้านที่ที่พวกคนงานก่อสร้าง กับพวกนายพรานชอบไปนั่งพักกัน คนพวกนั้นน่าจะมีาแกันบ่อย ๆ"
"ให้แม่ไปด้วยเถิดลูก" หลี่ซือกล่าวอย่างเป็ห่วง
"ไม่เป็ไรเ้าค่ะท่านแม่ ท่านพ่อยังต้องมีคนดูแล" อันหนิงส่ายหน้า "อีกอย่าง การตลาดน่ะ มันเป็งานศิลปะแขนงหนึ่งที่ต้องใช้ลูกล่อลูกชนเยอะ ท่านแม่หัวใจอ่อนเกินไป เดี๋ยวจะตามเล่ห์เหลี่ยมลูกค้าไม่ทัน" นางแอบขยิบตาอย่างขี้เล่น
หลี่ซือได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับคำพูดแปลก ๆ ของบุตรสาว
อันหนิงเดินถือตะกร้าไปยังลานกว้างท้ายหมู่บ้านตามที่ตั้งใจไว้ ที่นั่นมีกลุ่มชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำสี่ห้าคนกำลังนั่งพักดื่มน้ำกันอยู่จริง ๆ พวกเขาคือกลุ่มคนที่รับจ้างตัดไม้และเผาถ่านทุกคนล้วนมีร่องรอยาแและรอย ถลอกอยู่ตามแขนขา
"คารวะท่านลุงทุกท่านเ้าค่ะ" อันหนิงเดินเข้าไปทักทายอย่างนอบน้อมและมีมารยาท
กลุ่มชายฉกรรจ์หันมามองเด็กสาวหน้าตาหมดจดเนื้อตัวมอมแมมด้วยความแปลกใจ
"มีอะไรหรือแม่หนู" ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็หัวหน้ากลุ่มเอ่ยถามขึ้น เขาชื่อลุงหวัง เป็คนตรงไปตรงมา
"ข้าน้อยมี ขี้ผึ้งสมานแผล สูตรพิเศษมาเสนอขายเ้าค่ะ" อันหนิงกล่าวพลางเปิดตะกร้าให้พวกเขาดู"ท่านลุงทุกท่านทำงานหนักย่อมต้องมีาแขีดข่วนอยู่เป็ประจำ ขี้ผึ้งนี้สามารถช่วยสมานแผล ห้ามเื และลดอาการปวดบวมได้อย่างรวดเร็วเ้าค่ะ"
ชายคนหนึ่งหัวเราะออกมา "ฮ่าๆๆ แม่หนู พวกข้ามีแผลจนชินเสียแล้ว แค่ล้างน้ำแล้วปล่อยไว้เดี๋ยวมันก็หายเอง จะเสียเงินซื้อยาไปทำไม"
"นั่นสิ แล้วพวกข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่ายาของเ้ามันดีจริง" ชายอีกคนกล่าวเสริม "เ้าเป็ลูกเต้าเหล่าใครกัน"
นี่คือคำถามที่อันหนิงเตรียมใจไว้อยู่แล้ว
"ข้าน้อยคืออันหนิง บุตรสาวของท่านหมออันจินเ้าค่ะ"
ทันทีที่ชื่อของอันจินถูกเอ่ยขึ้น บรรยากาศก็พลันเปลี่ยนไปทันที เสียงหัวเราะเงียบลง ถูกแทนที่ด้วยสายตาที่ดูแคลนและไม่ไว้วางใจ
"หึ ลูกสาวของหมอกำมะลอคนนั้นน่ะรึ" ลุงหวังกล่าวเสียงเ็า "กลับไปเสียเถอะแม่หนู พวกข้าไม่อยากเสี่ยง"
หัวใจของอันหนิงเย็นวาบไปชั่วขณะ าแที่สังคมตีตราให้บิดาของนางนั้น มันลึกกว่าที่นางคิดไว้มากนัก
แต่ นางจะไม่ยอมแพ้!
"ท่านลุง เื่ในอดีตเป็อย่างไรข้าน้อยไม่ขอโต้แย้ง" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น "แต่ยาดีหรือไม่ดี ต้องพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง"
นางหยิบตลับยาขึ้นมาหนึ่งตลับเดินตรงเข้าไปหาลุงหวัง "ท่านลุง ข้าเห็นที่หลังมือของ ท่านมีแผลสดอยู่"
ลุงหวังมองตามไปยังหลังมือของตนเอง มันมีรอยเปลือกไม้บาดเป็ทางยาว แผลยังคงแดงสดและมีเืซิบ ๆ อยู่
"ข้าขอเสนอ ให้ท่านได้ทดลองใช้ยาก่อน โดยไม่คิดเงินแม้แต่อีแปะเดียว!" อันหนิงประกาศเสียงดังฟังชัด "หากทาแล้วภายในหนึ่งก้านธูป แผลของท่านไม่ดีขึ้น เืไม่หยุดไหล ข้าจะขออภัยและจากไปทันที แต่ถ้าหากมันได้ผล ข้าขอคิดราคาเพียงแค่ 5 อีแปะเท่านั้น!"
ข้อเสนอของนางทำให้ทุกคนประหลาดใจ ยาดี ๆ ที่ไหนจะยอมให้ลองใช้ฟรีก่อน! แถมราคายังถูกอย่างไม่น่าเชื่อ!
ลุงหวังมองหน้าเด็กสาวที่ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจตรงหน้า ก่อนจะยื่นมือออกไป "เอาสิ ข้าจะลองดู หากเ้ากล้าหลอกลวงพวกข้าล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน"
อันหนิงยิ้มรับ "ขอบคุณที่ให้โอกาสเ้าค่ะ"
นางเปิดตลับยาออกอย่างระมัดระวัง ใช้นิ้วที่สะอาดป้ายเนื้อขี้ผึ้งสีหยกอ่อนออกมาเล็กน้อย กลิ่นหอมสะอาดของสมุนไพรลอยแตะจมูกของทุกคน
นางบรรจงทาขี้ผึ้งลงบนาแของลุงหวังอย่างแ่เบา
ทันทีที่ขี้ผึ้งัักับผิวลุงหวังก็รู้สึกได้ถึงความเย็นสบายที่ซึมซาบเข้าไปในาแทันที ความรู้สึกแสบร้อนที่เคยมีอยู่ค่อย ๆ บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว
"เอ๊ะ " เขาร้องออกมาเบา ๆ
และสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าก็คือ เืที่เคยไหลซิบ ๆ อยู่ กลับหยุดไหลสนิทในทันทีที่ทายาลงไป!
ทุกคนที่มุงดูอยู่ต่างเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง!
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ถึงครึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ รอยแดงรอบ ๆ าแของลุงหวังก็จางลงอย่างเห็นได้ชัด ปากแผลเริ่มสมานตัวเข้าหากันเล็กน้อย
"์! นี่มันยาเทวดาชัด ๆ!" ชายคนหนึ่งร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
ลุงหวังเองก็จ้องมองหลังมือของตนเองด้วยความเหลือเชื่อ เขาขยับนิ้วไปมา ความเ็ปลดลงไปกว่าครึ่ง!
"แม่หนู ยานี่ เ้าขายเท่าไหร่นะ" เขาถามเสียงสั่น
"ห้าอีแปะเ้าค่ะท่านลุง"
"ข้าซื้อ!" ลุงหวังพูดพลางล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ควานหาถุงเงินใบเล็กของตนเอง "ข้าเอาหนึ่งตลับ!"
"ข้าด้วย! ข้าเอาด้วย!"
"ข้าก็เอา!"
เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นจากคนอื่น ๆ ทันที!
อันหนิงยิ้มกว้าง นางขายขี้ผึ้งทั้งห้าตลับออกไปได้อย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง
ลุงหวังหยิบเหรียญทองแดงออกมาห้าเหรียญ ส่งให้ถึงมือของอันหนิง
วินาทีที่ปลายนิ้วของนางัักับความเย็นและน้ำหนักของเหรียญเ่าั้ หัวใจของอันหนิงก็พลันสั่นสะท้าน น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาในดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่
นี่คือ เหรียญทองแดงเหรียญแรก!
มันไม่ใช่แค่เงิน แต่มันคือการยอมรับ คือการพิสูจน์ คืออิฐก้อนแรกที่ใช้ก่อร่างสร้างอนาคตของครอบครัวนางขึ้นมาใหม่!
นางกำเหรียญไว้ในมือกำแน่น โค้งคำนับขอบคุณทุกคนอย่างงดงาม ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับกระท่อมด้วยหัวใจที่พองโต
แต่ในขณะที่นางกำลังจะเดินลับโค้งไปนั้น ที่อีกฟากหนึ่งของลานกว้าง หญิงวัยกลางคนร่างท้วมคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านมาพอดีก็หยุดชะงัก นางคือป้าเฉียน หญิงช่างสอดรู้สอดเห็นและปากสว่างที่สุดในหมู่บ้าน
นางเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เห็นยาเทวดา เห็นเงินที่เปลี่ยนมือ ดวงตาของนางหรี่ลง ก่อนจะปรากฏแววแห่งความละโมบและอิจฉาริษยาขึ้นมาอย่างชัดเจน
ป้าเฉียนไม่ได้เดินกลับบ้าน แต่นางกลับหมุนตัว เดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางของตัวเมือง ที่ซึ่ง หอโอสถหมื่นปีตั้งตระหง่านอยู่