หลังจากนั้น เฟิงอวี้ก็ไม่ได้ทำเื่อัปยศอดสูกับอวี๋มู่ต่อ ถึงขั้นไม่พูดคุยกับอวี๋มู่แม้แต่คำเดียว แต่ใช้ชุดพันคลุมตัวชายหนุ่ม แล้วอุ้มไว้ในอ้อมอก จากนั้นก็ออกจากโรงโสเภณี
เฟิงอวี้เงียบมาตลอดทางจนกลับมาถึงโรงเตี๊ยม เขาขึ้นเตียงแล้วโน้มตัวลงนอนหันตะแคงไปอีกด้าน หลับตาที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตา ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงหายใจคงที่ และหลับไปทั้งอย่างนี้
อวี๋มู่ยังรู้สึกว่าปรับตัวไม่ทัน
กล่าวตามจริง ในตอนที่เฟิงอวี้ร้องไห้ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ตอนนั้นเขายังโกรธจนควันออกหู จนไม่อยากเอ่ยถามเฟิงอวี้ และยิ่งไม่อยากปลอบใจเ้านักบวชบ้านี่
หากตอนนี้ที่อีกฝ่ายปล่อยเขา และไม่อาละวาดอีก ทำให้เขากลับรู้สึกประหลาดใจ
บนร่างกายยังมีความรู้สึกเสียวซ่านอยู่ อวี๋มู่ร่ายคาถาแต่งกาย สวมเสื้อผ้า เดิมคิดว่าอยากจะโต้รุ่งสักคืน โดยไม่อยากเข้าใกล้เฟิงอวี้แม้แต่นิด
แต่เมื่อเห็นมือขวาที่อีกฝ่ายกัดตัวเองจนเป็แผล ก็พลันชะงักฝีเท้า
อวี๋มู่ถอนหายใจ ฉีกผ้าชุดแดง เดินไปข้างเตียง แล้วทำแผลให้เฟิงอวี้ พลางเอ่ยกับตัวเองว่าทำไมเฟิงอวี้ถึงลงมืออย่างโหดร้ายกับตัวเอง เขี้ยวแหลมคมนั้นกัดจนลึกแทบจะเห็นกระดูก และไม่รู้ว่าจะหายดีเมื่อไร
อันที่จริงอวี๋มู่รู้สึกแค้นเคืองเฟิงอวี้ และถึงอย่างไรก็คงไม่มีใครสามารถพูดจาดีกับคนบ้าที่ไม่ให้เกียรติตัวเองด้วยซ้ำ
เว่ยจวินหยางในโลกที่แล้วยังไม่เคยทำเื่อดสูกับเขาแบบนี้ แต่ตอนนี้ที่เฟิงอวี้ปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ จะไม่ให้เขารู้สึกโกรธเลยหรือ?
จึ๊ เ้าวิปริตตัวน้อยนี่ทำเอาคนรู้สึกปวดหัว
แต่ว่าเขาอยากหลับสักตื่น คงดีขึ้น จึงหลบไปอีกมุมหนึ่งหลังจากทำแผลให้เฟิงอวี้เสร็จ ปิดตาแล้วหลับไปหนึ่งคืน
เพียงแต่เมื่อแสงตะวันรุ่งขึ้นสาดส่องเข้ามาในห้อง มองเห็นหย่งอวี้ผู้ที่มีแววตาบริสุทธิ์กำลังมองดูมือที่าเ็ของตัวเองแล้วเหม่อลอย แล้วเห็นแถบคะแนนความประทับใจเหนือศีรษะของอีกฝ่ายกลายเป็สองแถว หลังจากนั้นเขาไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้อีก
คะแนนความประทับใจที่ก่อนหน้านั้นไปแตะที่สี่ดวงครึ่ง ตอนนี้บนล่างรวมกันเป็หัวใจสิบดวง โดย้าของหย่งอวี้นั้นเป็สี่ดวง ส่วนด้านล่างของเฟิงอวี้ยังคงเป็สี่ดวงครึ่ง
นักบวชน้อยเห็นเขาตื่นขึ้น ในที่สุดก็สามารถหาคนมาช่วยคลายข้อสงสัยให้ตัวเองได้แล้ว เขาเอ่ยถามอวี๋มู่ “โยมอวี๋ เมื่อคืนอาตมาไปทำอะไรมาหรือ? ทำไมมือถึงาเ็ได้ แต่ตัวเองกลับไม่มีความทรงจำแม้แต่เศษเสี้ยว...”
อวี๋มู่ขมวดคิ้ว เขาเอ่ยถามระบบ: เ้าระบบ ทำไมคะแนนถึงเปลี่ยนเป็สองแถบแล้วล่ะ?
[อ๋า? เอ๋?] ระบบเองก็เหมือนยากที่จะเชื่อ จึงเอ่ยถามอวี๋มู่ [เมื่อคืนตอนที่โฮสต์มีอะไรกับเขา มีเื่อะไรไปกระตุ้นเขาเข้าหรือเปล่า?]
เพราะตอนที่ทั้งสองมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันนั้นระบบก็ปิดหน้าจอตัวเองโดยอัตโนมัติ ดังนั้นจึงไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
เมื่อเอ่ยถึงเื่นี้ อวี๋มู่ก็ร้อนรน: ฉันไปกระตุ้นเขา? ต้องเป็เขากระตุ้นฉันเสียมากกว่า! ฉันเกือบโมโหจนแทบบ้าตาย! เขาทำเื่อัปยศกับฉัน แล้วยังปฏิบัติกับฉันต่อหน้าคนแปลกหน้าแบบนั้นอีก เหยียบย่ำศักดิ์ศรีฉันจนแหลกละเอียด ฉันไม่คิดบัญชีเื่นี้กับเขาก็ดีเท่าไรแล้ว เหตุใดตอนนี้ที่เขาเป็แบบนี้แล้วมันกลายเป็ความผิดของฉันล่ะ?
[…] ระบบได้ยินอวี๋มู่พูดเช่นนี้ ในใจก็รู้ว่าเกิดเื่แล้วจริงๆ ระบบไม่เคยเห็นอวี๋มู่โกรธขนาดนี้มาก่อน
ระบบพิจารณาการใช้คำ แล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง [แล้วเขายังทำเื่แปลกๆ อย่างอื่นอีกหรือเปล่า?]
อวี๋มู่ระบายกับระบบจนหมดสิ้น ในใจเริ่มรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย ก่อนจะเอ่ย: สุดท้ายเขาก็กัดมือตัวเองจนเป็แผล แล้วยังร้องไห้ แล้วก็บอกว่าฉันเกลียดเขาแล้ว
[…] ระบบเข้าใจแล้ว
ระบบถอนหายใจ แล้วเอ่ย [โฮสต์ครับ เขาคงรู้ตัวว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดังนั้นจึงอยากหลบหนีจากความเป็จริง เดิมทีนิสัยของเขาก็ไม่แน่ไม่นอนอยู่แล้ว แม้ว่าจะผสานรวมกันแต่ก็เป็ไปได้ว่าจะแยกออกจากกันอีก ตอนนี้น่าจะแยกออกจากกันแล้ว]
อวี๋มู่ตกตะลึงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม: ถ้าเช่นนั้นแล้วลักษณะนิสัยเดิมของเขาล่ะ?
[ถูกเขาเก็บซ่อนแล้ว บางทีต่อไปอาจจะไม่ปรากฏตัวอีก] ระบบเอ่ย [ทว่าคงไม่ส่งผลต่อการทำคะแนนความประทับใจของพวกเราเท่าไร ขอเพียงเติมเต็มคะแนนของทั้งสองคน ก็นับว่าภารกิจสำเร็จ]
ไม่ปรากฏตัวอีกอย่างนั้นหรือ?
จู่ๆ อวี๋มู่ก็รู้สึกจุกในลำคอ
แม้ว่าเขาจะใช้เวลากับเฟิงอวี้ที่ผสานรวมกันได้เพียงไม่นาน อีกทั้งเมื่อคืนอีกฝ่ายยังทำสิ่งที่เขารู้สึกว่าชั่วร้ายสุดจะบรรยายไปอยู่บ้าง แต่นี่ก็ไม่ได้เป็การขัดขวางเขาให้นึกถึงเื่ราวที่สร้างความประหลาดใจที่อีกฝ่ายทำเพื่อเขา
เขาจดจำนักบวชน้อยที่ยืนยิ้มให้เขาท่ามกลางฝูงหิ่งห้อย ความประทับใจในวินาทีนั้นฝังอยู่ในความทรงจำส่วนลึกของเขา
จะหายไปเช่นนี้นะหรือ?
และจะไม่ได้เจออีกแล้วอย่างนั้นหรือ?
“อวี๋มู่นะอวี๋มู่ ข้าอยากจะกลืนกินเ้าจริงๆ ให้เ้าหลอมรวมเข้ากับเืเนื้อของข้า เท่านี้เ้าก็จะเป็ของข้าตลอดไป และไม่อาจโกหกข้าในทุกเื่ ไม่อาจทรมานข้า และไม่อาจทำให้หัวใจข้าเ็ปและรู้สึกแย่”
“แต่ว่าไม่ได้ ข้าไม่อาจทำได้ ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้น”
“ข้านึกภาพไม่ออกในวันที่ข้าจะไม่ได้เจอเ้า ไม่ได้ยินเสียงของเ้าอีก…”
“โลกที่ไม่มีเ้าอยู่ ข้าอยู่ต่อไม่ไหวแม้เพียงชั่วประเดี๋ยว”
คำพูดที่ดูอึดอัดและใจสลายที่อีกฝ่ายกล่าวเมื่อคืนราวกับก้องวนเวียนอยู่ในหูเขา
ทั้งน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งเ็ป
จู่ๆ ดวงตาของอวี๋มู่ก็รู้สึกร้อนผ่าว เมื่อเขายื่นมือไปัั ก็ััโดนน้ำตา
ขณะนั้นหย่งอวี้เดินไปตรงหน้าเขา อีกฝ่ายนั่งลง แล้วเอ่ยถามเขาด้วยท่าทางเป็กังวล “โยมอวี๋ ทำไมเ้าถึงร่ำไห้? เพราะนึกถึงเื่เศร้าอะไรอย่างนั้นหรือ? ”
เขาไม่ใส่ใจเื่ที่เอ่ยถามอวี๋มู่เกี่ยวกับมือที่าเ็อีกต่อไป เพียงแค่อยากปลอบโยนชายหนุ่มตรงหน้า
เพราะหย่งอวี้พบว่า ตอนที่เห็นน้ำตาของอวี๋มู่ เขารู้สึกเ็ปใจ เจ็บจนเหมือนหายใจไม่ออก
“มีเื่อะไรเ้าพูดออกมาเถอะ อย่าได้เก็บไว้ในใจ ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกแย่”
อวี๋มู่ช้อนตามองเขา เห็นเพียงแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ของนักบวชน้อย ที่ไม่มีสิ่งใดแปดเปื้อน เฉกเช่นโพธิสัตว์ในครั้งแรกที่เขาพบเจอที่เจดีย์เจิ้นเยา
ซึ่งแตกต่างจากที่เฟิงอวี้แสร้งเป็ก่อนหน้านี้ โดยตอนนี้หย่งอวี้ก็เป็เพียงหย่งอวี้ เป็นักบวชน้อยที่มีจิตเมตตาซึ่งแบ่งแยกอย่างชัดเจน
จู่ๆ อวี๋มู่ก็รับรู้ได้ถึงความหมายของระบบ
เฟิงอวี้นั้นรู้สำนึกผิด ดังนั้นจึงปล่อยให้หย่งอวี้ผู้มีเมตตาสมบูรณ์แบบมาอยู่ต่อหน้าตนเอง แล้วเก็บงำซ่อนนิสัยที่เป็คนบ้าคลั่งขีดสุดเอาไว้ โดยไม่เห็นเดือนเห็นตะวันอีก
ผ่านไปเนิ่นนาน อวี๋มู่ขบริมฝีปากล่าง พลางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาตัวเอง แล้วส่ายศีรษะ ก่อนจะตอบกลับหย่งอวี้ “อาจารย์ ไม่ต้องเป็ห่วง ข้าไม่เป็อะไร”
เขาคว้ามือหย่งอวี้ขึ้นมา แล้วเอ่ยกับอีกฝ่าย “าแของมือท่านต้องได้รับการดูแลดีๆ ไปเถอะ พวกเราไปหอโอสถกัน”
ในขณะที่เขากับหย่งอวี้กำลังออกจากโรงเตี๊ยม ทั้งฝูงคนและม้ามาถึงตรงถนนทั้งสองข้างและตีวงห้อมล้อมทั้งสองคนไว้ตรงกลาง
คนนำทัพก็คือเฟิงฉี่ที่เมื่อวานเพิ่งได้พบเจอกัน
เฟิงฉี่ลงจากม้า เมื่อเห็นหย่งอวี้ ในใจบีบรัด องครักษ์สองคนรีบขึ้นหน้ามาบังเขาไว้ทันที แล้วชักดาบเงาวับตั้งตรงหน้าหย่งอวี้
หย่งอวี้มีใบหน้าฉงน เขาไม่ค่อยรู้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นหมายใจว่าตนเองคือศัตรู จึงเอ่ยถาม “โยมทั้งหลาย ทำไมถึงมาขวางทางของอาตมากัน? ”
เฟิงฉี่ชักอาวุธออกมา เผชิญหน้ากับหย่งอวี้ผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ในตอนนี้ ชั่วขณะที่นึกว่าตนเองหาผิดคนแล้ว
เพราะว่าเขาไม่รับรู้ถึงจิตสังหารและกลิ่นอายปีศาจจากตัวหย่งอวี้แม้แต่น้อย อีกอย่างอีกฝ่ายก็ทำเหมือนไม่รู้จักตัวเองด้วยซ้ำ
แต่อวี๋มู่นั้นยืนข้างเขา ดังนั้นจึงเป็เฟิงอวี้ไม่ผิดแน่
เด็กหนุ่มรู้สึกขัดแย้งอย่างหนัก เขาสำรวจหย่งอวี้อย่างละเอียด แล้วเอ่ยถาม “พี่สาม ท่านจำข้าไม่ได้จริงๆ หรือ? ”
“พี่สาม? ” หย่งอวี้กะพริบตาปริบๆ พินิจอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ยกสองมือประกบกัน แล้วทำความเคารพ ก่อนจะเอ่ย “ที่แท้ก็เป็องค์ชาย อาตมาตอนนี้อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ ฉายาทางธรรมคือหย่งอวี้ องค์ชายเรียกแทนข้าด้วยฉายาทางธรรมก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็ต้องแทนด้วยศักดิ์”
เขาไม่ได้มีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับพระราชวัง และไม่ได้ใส่ใจกับสถานะองค์ชายของตัวเอง ดังนั้นจู่ๆ มีน้องชายปรากฏตัวออกมา จึงรู้สึกใอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรมากมาย
เมื่อหย่งอวี้กล่าวเช่นนี้ เฟิงฉี่ก็ขมวดปมคิ้วแน่นกว่าเดิม
คนคนหนึ่งต่อให้จะแสดงได้ดีแค่ไหน ก็ไม่อาจแสดงได้ถึงระดับนี้ได้
ต้องเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นตรงไหนอย่างแน่นอน
แต่การคาดเดานี้ก็ไม่สามารถทำให้เขาคลายความระวังตัวต่อหย่งอวี้
เขาส่งสัญญาณให้องค์รักษ์ขึ้นหน้า แล้วใช้เชือกที่เตรียมไว้อยู่แล้วไปมัดร่างหย่งอวี้ไว้ ถีบ่ข้อพับขา แล้วกดเขาลงพื้น
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นราวกับสายฟ้าแลบ อวี๋มู่กำลังจะขึ้นหน้า ก็ถูกเฟิงฉี่คว้าข้อมือไว้ มียันต์แผ่นหนึ่งแปะตรงกลางหลังของเขา แล้วสะกดิญญาของเขานิ่ง
หย่งอวี้หน้าแนบกับพื้นหินบนถนน บดจนผิวถลอก เขาขมวดคิ้ว มองดูเฟิงฉี่ แล้วเอ่ยถาม “องค์ชาย นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ”
เฟิงฉี่เห็นเขาถูกจับกุม ในใจก็พลันโล่งอก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหล่อเหลา “ปีศาจร้ายในตัวองค์ชายสามเฟิงอวี้ยังไม่ถูกกำจัด คุมตัวเข้าคุกหลวงโดยพลัน รอวันไต่สวน! ”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
