ข่งไท่โต้วที่เป็ผู้นำตระกูลข่งนั้นมีความาุโมาก พลังของเขาเข้าใกล้ระดับบรรพชนแล้ว ตอนนี้เขามีอายุหนึ่งร้อยหกสิบปี ดูเหมือนว่าเขาจะประสบความสำเร็จทั้งที่อายุไม่มาก เพราะในตอนที่พ่อของเขามีพลังอยู่ในระดับกายทองคำได้แต่งงานและให้กำเนิดเขา ตอนนั้นพ่อของเขามีอายุเกือบห้าร้อยปีแล้ว ด้วยอายุเช่นนี้ทำให้ข่งไท่โต้วมีอายุมากกว่าศิษย์รุ่นใหม่ของตระกูลข่งมากกว่าเจ็ดถึงแปด่อายุคน
และตอนนี้หลัวเลี่ยก็เป็พี่ใหญ่ของข่งไท่โต้ว ดังนั้นเขาก็ถือว่าเป็บรรพจารย์ของคนในตระกูลข่งด้วย
แต่ความจริงที่ว่า หลัวเลี่ยได้เข้าร่วมตระกูลข่งนั้นเป็ความลับมาก แม้แต่คนในตระกูลข่งก็มีไม่กี่คนที่รู้เื่นี้ แน่นอนว่าข่งเยวี่ยเจินก็ไม่รู้เื่นี้เช่นกัน
ดังนั้นที่ข่งเยวี่ยเจินมาปรามซูเล่ยกับจั่วอีฝาน จึงเป็เพียงท่าทีของผู้ที่้าผดุงความยุติธรรมเท่านั้น
“การสอนนั้นไม่ยาก พวกเราสามารถคุยกันได้” หลัวเลี่ยหัวเราะ
“จริงหรือ” ข่งเยวี่ยเจินดีใจมาก
หลัวเลี่ยพยักหน้า “เดิมทีแล้วเคล็ดวิชามหาหลุนิก็เป็เคล็ดวิชาของตระกูลข่ง ดังนั้นการพูดคุยกับเ้าในเื่นี้จึงเป็สิ่งที่สมควรทำแล้ว”
นอกจากนี้ ตอนนี้หลัวเลี่ยก็ถือว่าเป็คนของตระกูลข่งแล้ว ดังนั้นเขาก็ควรให้คำแนะนำแก่คนรุ่นใหม่
“เยี่ยมมาก” ข่งเยวี่ยเจินปรบมืออย่างมีความสุข “ข้าฝึกฝนมาสองปีแล้ว แต่ยังไม่สามารถผ่านระดับพื้นฐานได้เลย ดังนั้นการที่เ้าสามารถฝึกฝนจนถึงระดับถ่องแท้ได้ในเวลาเพียงเดือนกว่าๆ นี้ จึงถือได้ว่าเป็ตำนาน ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จ และด้วยคำแนะนำของเ้า ข้าคิดว่าข้าต้องสามารถก้าวหน้าขึ้นในเวลาอันสั้นได้แน่ๆ ไปๆ พี่ชายรีบสอนข้าเร็ว”
ข่งเยวี่ยเจินคว้าแขนของหลัวเลี่ยอย่างตื่นเต้น และพากันเดินจากไป
หลัวเลี่ยชี้ไปที่ด้านข้าง “เดี๋ยวก่อน แล้วที่สองคนนี้้าสังหารข้าเล่า”
ซูเล่ยและจั่วอีฝานที่ก่อนหน้านี้หยิ่งยโสได้แต่มองไปที่พวกเขาอย่างตกตะลึง ก่อนหน้านี้พวกเขาจะสังหารหลัวเลี่ย แต่ตอนนี้ข่งเยวี่ยเจินกลับขอคำแนะนำในการฝึกฝนจากหลัวเลี่ย ดังนั้นหลังจากที่ซูเล่ยและจั่วอีฝานได้ยินประโยคนี้ของหลัวเลี่ย ทั้งสองจึงแทบจะหมดแรงเข่าอ่อนด้วยความหวาดกลัว
เมื่อข่งเยวี่ยเจินได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าที่น่ารักของนางก็บึ้งตึงในทันที
“พวกเราผิดไปแล้ว พวกเราขอโทษ!”
“ขอโทษจริงๆ”
ซูเล่ยและจั่วอีฝานใมาก รีบขอโทษพวกเขาและไม่กล้าอยู่ต่อ ทั้งสองวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว
เมื่อหลัวเลี่ยเห็นซูเล่ยและจั่วอีฝานหนีไปด้วยความใ เขาก็ยกนิ้วให้ข่งเยวี่ยเจิน “เยี่ยมมาก!”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
ข่งเยวี่ยเจินเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นนางก็คว้าแขนของหลัวเลี่ยแล้วดึงเขาให้เดินตามนาง “มา รีบสอนข้าเกี่ยวกับเคล็ดวิชามหาหลุนิเร็ว และจะดีมากหากเ้าสอนความรู้ที่เ้าเชี่ยวชาญแก่ข้า”
หลัวเลี่ยลอบยิ้ม การฝึกฝนเคล็ดวิชามหาหลุนินั้นไม่ใช่แค่การฝึกฝนและการได้รับคำแนะนำ แต่ต้องอาศัยความเข้าใจของตนเองมากกว่า ดังนั้นกุญแจสำคัญของความก้าวหน้าในการฝึกเคล็ดวิชานี้จึงขึ้นอยู่กับตัวบุคคลล้วนๆ
แต่เมื่อหลัวเลี่ยเห็นข่งเยวี่ยเจินมีความสุข และช่วยเหลือเขาด้วยความจริงใจ นอกจากนี้นางยังเป็คนในตระกูลข่ง เขาจึงไม่บอกความจริงเื่การฝึกฝนนี้กับนาง
ตระกูลข่งเป็ตระกูลใหญ่ และยังมีทรัพย์สินเป็ของตัวเองมากมาย เช่นเดียวกับกองกำลังขนาดใหญ่ที่อยู่ในแปดร้อยแคว้น ตัวอย่างทรัพย์สินของตระกูลข่งก็คือโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลง ซึ่งถือว่าเป็หนึ่งในโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงอีกด้วย
ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลข่ง ข่งเยวี่ยเจินจึงมีจวนเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีห้องอยู่หกถึงเจ็ดห้อง
นอกจากห้องที่ข่งเยวี่ยเจินและสาวใช้ของนางอาศัยอยู่แล้ว ยังมีห้องว่างอีกสองห้อง ดังนั้นนางจึงมอบห้องหนึ่งให้หลัวเลี่ยไว้พักอาศัย
หลัวเลี่ยลอบถอนหายใจ การมีตระกูลใหญ่คอยสนับสนุนมันดีเช่นนี้นี่เอง ก่อนหน้านี้เขาตามหาที่อยู่ในเมืองหลวงนี้นานถึงครึ่งค่อนวันกว่าจะหาห้องว่างเล็กๆ ห้องหนึ่งอยู่อาศัยได้ แต่นางกลับมีห้องว่างมากมาย
คนในตระกูลข่งนั้นต่างชอบฝึกฝนวรยุทธ์มาก และข่งเยวี่ยเจินเองก็ไม่มีข้อยกเว้น หลังจากกลับมานางจึงขอคำแนะนำจากหลัวเลี่ยทันที
จริงๆ แล้ว่นี้หลัวเลี่ยก็ว่างอยู่ เพราะหลังจากที่ตระกูลอูถูกทำลาย เขาก็ไม่รู้จะไปตามหาเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมได้ที่ไหนอีก ดังนั้นเขาจึงใช้เวลานี้พักผ่อน และสอนข่งเยวี่ยเจินเกี่ยวกับเคล็ดวิชามหาหลุนิ และตัวเขาเองก็ฝึกฝนอยู่เรื่อยๆ เช่นกัน
เมื่อพูดถึงเื่นี้ หลัวเลี่ยก็คิดว่าความเข้าใจของข่งเยวี่ยเจินนั้นไม่เลวเลย เมื่อนางได้รับคำแนะนำจากหลัวเลี่ย นางก็มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความก้าวหน้าทางระดับพลังของหลัวเลี่ยเองก็ไม่ช้าเช่นกัน
พลังของเขาพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ เข้าใกล้จุดสูงสุดของผู้ฝึกตนระดับที่สิบแล้ว
วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในตอนรุ่งสาง เมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงที่เงียบสงบก็ได้บังเกิดเสียงแตกร้าวขึ้น
เสียงแตกร้าวนี้ดูเหมือนจะดังก้องอยู่ในหูของทุกคน ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้น ไม่ว่าพวกเขาจะเป็ผู้ที่กำลังฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ หรือผู้ที่กำลังนอนหลับอยู่ก็ตาม
ในความมืดใกล้รุ่งสางนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ตกอยู่ในความโกลาหล
เงารูปัที่อยู่เหนือเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงเปล่งลำแสงออกมา เผยให้เห็นไข่ัอายุสิบเจ็ดปีที่ซ่อนอยู่ในม่านเมฆ
“ไข่ักำลังจะฟักเป็ตัวแล้ว”
หลัวเลี่ยะโขึ้นบนหลังคา และมองไปบนท้องฟ้า
ข่งเยวี่ยเจินที่ยืนอยู่ข้างๆ สาวใช้ของตัวเองก็เฝ้ามองจากระยะไกลเช่นกัน
ไข่ัใบนี้ไม่ได้ใหญ่มาก มันมีความสูงประมาณครึ่งหนึ่งของความสูงของคน รอยแตกนั้นเริ่มร้าวออกมาจากตรงกลางของตัวไข่ จากนั้นแสงก็ส่องออกมาจากรอยร้าวนั้น แสงนี้ส่องสว่างท่ามกลางความมืดบนท้องฟ้า ทำให้กองกำลังทหารในเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงตกตะลึง พวกเขาเริ่มเข้าประจำตำแหน่งเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอื่นโจมตีไข่ั
แกร๊กๆ...
ไข่ัยังคงแตกอย่างต่อเนื่อง
แสงที่ออกมาจากไข่ค่อยๆ ทวีความเข้มขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ส่องสว่าง จนทั่วทั้งท้องฟ้าที่มืดมิดกลายเป็สีแดงฉาน ทำให้เงารูปันั้นดูคล้ายกับัมีชีวิตจริงๆ ที่กำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
และเงารูปร่างันั้นก็เริ่มจางลงเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าการกำเนิดของไข่ัจะทำให้พลังของเงานี้หมดไป
เมื่อไข่ัแตกถึงระดับหนึ่ง ผู้คนก็ต่างพากันมองไปยังข้างในไข่ัผ่านรอยแตกนั้น
“ดูเหมือนจะมีคนนั่งอยู่ข้างใน” ข่งเยวี่ยเจินพึมพำ
“อา เป็คนคนหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็ผู้หญิง” หลัวเลี่ยเห็นชัดเจน “ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา”
“ไม่ธรรมดาอย่างไร ก็แค่กำเนิดมาจากไข่มิใช่หรือ” ข่งเยวี่ยเจินพูดอย่างเมินเฉย
หลัวเลี่ยพูดอย่างไร้รอยยิ้มว่า “ผู้หญิงคนนี้เพียงกำเนิดขึ้นมาก็มีพลังอยู่ในขั้นต้นของระดับหยินหยางแล้ว”
ทันใดนั้นข่งเยวี่ยเจินก็แสดงความใออกมา
“กำเนิดขึ้นมาด้วยพลังระดับหยินหยาง ผู้หญิงคนนี้ทำได้อย่างไร การฝึกฝนวรยุทธ์ต้องเริ่มจากระดับผู้ฝึกตนนี่”
“นั่นคือเหตุผลที่นางไม่ธรรมดา ไข่ัใบนี้ได้ดูดซับพลังจากธรรมชาติเป็เวลาสิบเจ็ดปีแล้ว พลังธรรมชาตินั้นช่วยให้พลังของนางขึ้นไปถึงระดับหยินหยาง และด้วยเหตุนี้จึงเป็การยากที่จะบอกว่าพื้นฐานในพลังของนางสามารถเทียบกับเคล็ดวิชาั์ได้หรือไม่” หลัวเลี่ยเองก็ใกับสิ่งนี้เช่นกัน
การฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ได้สำเร็จนั้นยากมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่ในไข่ัใบนี้กลับได้รับการช่วยเหลือจากการดูดซับพลังในธรรมชาติ
ข่งเยวี่ยเจินเม้มริมฝีปาก ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เชื่อว่านางจะแข็งแกร่งขนาดนั้น”
เปรี๊ยะ!
ในเวลานี้ ไข่ัแตกออกอย่างสมบูรณ์แล้ว และรอยแตกจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นก็แผ่ออกมาจากรอยร้าวตรงกลางไข่
เปลือกไข่ัแตกร้าวและร่วงหล่นลงจนกลายเป็จุดแสงดั่งดาวตก
ในที่สุดหญิงสาวที่อยู่ในไข่ัก็ปรากฏตัวขึ้น
ผู้หญิงคนนี้มีผมสีดำ เอวเล็ก ผิวขาว ใบหน้าเรียวรูปไข่ คิ้วดกดำ ดวงตาเป็ประกาย ปากสีแดงสด และลำคอเรียวยาว
นางสวมชุดสีแดงก่ำ ที่บริเวณเอวเล็กคอดถูกคาดด้วยผ้าคาดที่มีสีแดงดั่งเปลวไฟ หน้าอกของนางอวบอิ่ม เรียวขาของนางก็เรียวยาว ความงามของนางทำให้ผู้ที่มองอยู่ต่างตกตะลึง
นางงดงามมากจนไม่อาจบรรยายความงามของนางออกมาได้หมด
ผู้หญิงคนนี้สวยมาก จนในบรรดาผู้หญิงที่หลัวเลี่ยเคยพบมา แม้แต่หลิวหงเหยียนและเย่เิหลง ซึ่งเป็ที่รู้จักในฐานะสามสาวงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของแปดร้อยแคว้นก็ยังด้อยกว่านาง มีเพียงคนเดียวที่สามารถเทียบความงามกับนางได้ นั่นก็คือซูดาจี เพียงแต่ตอนนี้นางยังไม่โตเป็สาวก็เท่านั้น ความงามของนางจึงยังไม่เบ่งบานเต็มที่
หญิงผู้ไร้เทียมทานคนนี้ลอยอยู่บนท้องฟ้าราวกับว่านางสามารถลอยได้อย่างอิสระ เสียงของนางใสและดังก้องกังวานแผ่กระจายไปทั่วเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลง “นามของข้าคือไก้อู๋ซวง ผู้ไร้เทียมทาน!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้