เล่มที่ 1 บทที่ 17
หยดน้ำตากลายเป็เม็ดไข่มุกร่วงหล่นทีละหยดๆ ความเปราะบางของนางปรากฏต่อหน้าเฉินเทียนหยู ท่านพี่ของนางผู้ซึ่งพบเจอกันเป็หนที่สอง
เฉินเทียนหยูไม่เข้าใจถึงการหลั่งน้ำตาของเด็กสาว และไม่เข้าใจถึงความกลัวของนาง ดังนั้นเมื่อเห็นหยาดน้ำตาของนางยังคงไหลพรู เฉินเทียนหยูจึงัักับหยาดน้ำตา ก่อนนำมันเข้าปากด้วยความสงสัย แต่แล้วเขากลับต้องขมวดคิ้วโดยสัญชาตญาณ “รสขม”
สีหน้าของเฉินเทียนหยูดูเศร้าเล็กน้อยหลังจากได้ลิ้มรสน้ำตาอันขมขื่น “น้องหญิง น้องหญิงกำลังร้องไห้อยู่หรือ? ท่านแม่เคยบอกว่า ผู้หญิงจะร้องไห้ก็ต่อเมื่อรู้สึกขื่นขมอย่างมาก น้ำนี้ถึงได้มีรสขม”
ขมหรือ? จะไม่ให้รู้สึกขื่นขมได้อย่างไร? ความทุกข์ในใจนางสามารถบอกเล่าให้ใครฟังได้หรือไม่? มีใครสามารถเข้าใจนางได้หรือ?
“น้องหญิงอย่าร้องไห้เลย เมื่อเห็นน้องหญิงร้องไห้ ข้าก็รู้สึกเศร้าตรงนี้เหมือนกัน...” เฉินเทียนหยูชี้นิ้วมือไปที่หัวใจ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “ทำไมข้าถึงรู้สึกเศร้า เมื่อน้องหญิงร้องไห้? ข้าไม่ได้ทุกข์ใจเสียหน่อย”
เศร้าหรือ? คนโง่งมจะรู้ถึงความหมายของคำว่าโศกเศร้าหรือไม่?
“น้องหญิงคงไม่กลัวข้าใช่หรือไม่? พวกเขาทุกคนต่างบอกว่าน้องหญิงทั้งแปดคนที่ผ่านมาหนีไปเพราะกลัวข้า พวกนางหนีข้า ข้าโกรธมาก ข้าจึงทุบตีพวกนางจนตาย น้องหญิงมีกลิ่นหอม พวกนางไม่หอม น้องหญิงหวาน พวกนางไม่หวาน ดังนั้นข้าจะไม่ตีน้องหญิง น้องหญิงก็จะไม่วิ่งหนีข้า ดังนั้นข้าจะไม่ฆ่าน้องหญิง”
ถ้าเฉินเทียนหยูไม่พูดถึงเื่นั้นจะไม่เป็ไรเลย แต่เมื่อพูดถึง หยาดน้ำตาของมู่หรงฉิงก็มิอาจห้ามได้อีกต่อไป และในที่สุดนางก็ต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างน่าเวทนา
“ท่านแม่... ลูกทำอะไรผิดหรือ? เหตุใดถึงเป็เช่นนี้?”
มู่หรงฉิงสะอึกสะอื้นร้องไห้พลางตั้งคำถามในใจว่า เหตุใดถึงเป็เช่นนี้? เหตุใดนางจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ด้วย?
เดิมฤทธิ์ยากระดูกอ่อนยังคลี่คลายไม่สมบูรณ์ กอปรกับนางได้ทานน้ำแกงสงบจิตตลอดหลายวันที่ผ่านมา และวันนี้นางต้องใถึงสองสามครั้ง กระนั้นนางจึงร้องไห้... ร้องไห้อย่างมิอาจห้ามได้ และในที่สุดมู่หรงฉิงก็เป็ลมหมดสติ
ครั้นเฉินเทียนหยูเห็นเสียงของมู่หรงฉิงหายไปอย่างกะทันหัน เขาก็สงสัยอยู่พักหนึ่ง ก่อนยื่นมือไปดันตัวแต่กลับเป็การผลักมู่หรงฉิงจนร่างไถลร่วงลงกับพื้น มือของมู่หรงฉิงกวาดไปโดนชามบนโต๊ะ ทำให้มันตกลงไปที่พื้นทันที
“อ๊ะ น้องหญิง น้องหญิงเป็อะไรหรือ? น้องหญิงตื่นขึ้นมาเถอะ”
เฉินเทียนหยูเปล่งเสียงอุทานออกมาทันควันหลังเห็นมู่หรงฉิงนอนนิ่งอยู่บนพื้น
จ้าวจื่อซินอยู่ด้านนอกประตูได้ยินเสียงจึงรีบผลักประตูเข้าไป เขาได้เห็นเฉินเทียนหยูนั่งยองๆ อยู่บนพื้น มองมู่หรงฉิงผู้นอนอยู่กับพื้นด้วยอาการเป็ลมหมดสติ ใบหน้าของนางมีแต่น้ำตา
“คุณหนูใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูใหญ่?” แม่นมจิ่นรีบเดินตามเข้ามา เมื่อเห็นมู่หรงฉิง นางก็ใ รีบเข้าไปหมายจะช่วยพยุงมู่หรงฉิง
“ยายเฒ่า เ้าออกไปให้พ้น ห้ามเ้าแตะต้องน้องหญิง เ้าเห็นหรือไม่ว่าเ้าทำให้นางร้องไห้แล้ว”
เฉินเทียนหยูผลักแม่นมจิ่นออกไป ในจังหวะที่แม่นมจิ่นยังไม่ทันได้ตั้งตัว นางก็ถูกผลักนั่งจนล้มลงกับพื้น ด้วยรูปลักษณ์อันโหดร้ายของเฉินเทียนหยู ทำให้หญิงสูงวัยไม่กล้าปริปากพูดอีกต่อไป นางทำได้เพียงหันไปขอความช่วยเหลือจากจ้าวจื่อซิน
“คุณชายรอง ฮูหยินน้อยเหนื่อยแล้ว ฮูหยินน้อยหลับไปแล้ว คุณชายรองควรอุ้มฮูหยินน้อยไปที่เตียงก่อน”
จ้าวจื่อซินลดเสียงเ็าดังเดิมให้อ่อนโยนลง ราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมเฉินเทียนหยูอย่างไรอย่างนั้น “ฮูหยินน้อยนอนบนพื้นเช่นนี้จะเป็หวัดเอาได้ ถึงเวลานั้นก็จะไม่มีกลิ่นหอมและไม่หวานอีกต่อไปแล้ว”
เมื่อได้ยินสิ่งที่จ้าวจื่อซินพูด เฉินเทียนหยูก็รีบอุ้มมู่หรงฉิงและเดินไปยังทิศทางห้องด้านใน หลังจากเดินไปสองก้าว เขาก็หมุนตัวหันกลับมามองแม่นมจิ่นอย่างดุดัน “เป็เพราะเ้าทำให้น้องหญิงต้องร้องไห้ ข้าจะฆ่าเ้า”
ไม่ใช่เื่ง่ายที่แม่นมจิ่นจะได้รับการช่วยพยุงจากยวี้เอ๋อร์ให้ลุกขึ้นยืน และหลังจากได้ยินคำพูดของเฉินเทียนหยู เท้าทั้งสองของแม่นมจิ่นก็อ่อนแรงด้วยความใถึงขั้นล้มลงกับพื้นอีกหน นางลอบกรีดร้องว่าถูกคุณชายรองใส่ร้ายภายในใจ เห็นๆ อยู่ว่าคุณชายรองเป็คนทำให้คุณหนูใหญ่ร้องไห้ คุณชายรองจะโทษบ่าวได้อย่างไรกัน
“คุณชายรอง แม่นมท่านนี้เป็แม่นมของฮูหยินน้อย ถ้าคุณชายรองทุบตีนางจนเสียชีวิต ฮูหยินน้อยจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน และเมื่อฮูหยินน้อยเศร้าเสียใจ ถึงเวลานั้นก็จะไม่มีกลิ่นหอมและไม่หวานอีกต่อไปแล้ว” จ้าวจื่อซินรีบขวางเฉินเทียนหยูพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
แม้เฉินเทียนหยูจะโหดร้าย แต่กระนั้นเขาก็ไม่มีวี่แววว่าจะคลุ้มคลั่งและดูเหมือนว่าเขาจะยังสามารถโน้มน้าวได้อยู่
ปรากฏว่าหลังจากได้ยินสิ่งที่จ้าวจื่อซินพูด เฉินเทียนหยูก็คำรามใส่แม่นมจิ่น “ฮึ่ม วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าเ้า ถ้าวันข้างหน้าเ้าอาจหาญทำให้น้องหญิงเสียใจอีก ข้าจะปลิดชีวิตเ้า”
สิ้นเสียง เขาอุ้มมู่หรงฉิงไว้ในอ้อมแขนพร้อมเดินเข้าไปทางห้องด้านใน ก่อนวางมู่หรงฉิงลงบนเตียงโดยตรง โดยไม่สนขนมหวานและลำไยที่กองอยู่บนเตียงแต่อย่างใด
“ออกไปเถอะ ที่นี่ข้าจะจัดการเอง” จ้าวจื่อซินพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและเ็าอีกหน
“แต่คุณหนูใหญ่...” แม่นมจิ่นมองไปทางห้องด้านในอย่างไม่สบายใจ
“ถ้าเช่นนั้น แม่นมก็เข้าไปจัดการก็แล้วกัน เพียงแต่แม่นมจะกล้าหรือไม่?” คำพูดของจ้าวจื่อซินไม่สุภาพอย่างมาก และที่ผ่านมาจวบจวนเวลานี้ เขาเป็คนเดียวที่กล้าติดตามเคียงข้างเฉินเทียนหยู
ถ้อยคำนั้นทำให้แม่นมจิ่นตัวสั่นเทิ้ม
“พวกเ้าคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู ถ้า้าอะไรข้าจะเรียกพวกเ้าเข้ามาเอง” หลังจากออกคำสั่งอย่างเ็าและกำชับทุกคน จ้าวจื่อซินก็เข้าไปยังห้องด้านใน
แม่นมจิ่นมองไปทางจ้าวจื่อซินด้วยความแปลกใจ ผู้ชายคนนี้เป็ใครกัน? เหตุใดถึงรู้สึกว่าคำสั่งของเขาเหมือนเ้านายอย่างไรอย่างนั้น
คัน! ใบหน้ารู้สึกคันยิบๆ เหมือนกับโดนแหย่อะไรเข้าไปจนอดไม่ได้ที่จะต้องจามออกมา
ด้วยอาการคันที่อธิบายเป็คำพูดไม่ถูกนี้ มู่หรงฉิงจึงลืมตาขึ้น และสิ่งที่ดึงดูดสายตาของนางก็คือเป็ดยวนยางสีแดงขนาดใหญ่กำลังเล่นน้ำ นางมองดูพื้นที่แห่งความปีติยินดีอันกว้างใหญ่ด้วยสายตาว่างเปล่า มู่หรงฉิงถึงกับรู้สึกมึนตื้อเล็กน้อย
“อ๊ะ น้องหญิงตื่นแล้ว”
เสียงร่าเริงดังก้องเข้ามาในหู ตามด้วยใบหน้าหล่อเหลาซึ่งปรากฏตรงหน้าและเคลื่อนเข้ามาประชิด ทันทีที่เห็นคนตรงหน้า นางก็ผงะไปชั่วครู่หนึ่ง สมองทื่อๆ เมื่อชั่วครู่ก่อนพลอยถูกดึงสติกลับมาพร้อมภาพความทรงจำทุกอย่างก่อนหน้า
“เฮอะ…”
มู่หรงฉิงหอบหายใจ รีบเบี่ยงหน้าหลบศีรษะของเฉินเทียนหยูที่กำลังจะโน้มเข้าใกล้
“เกิดอะไรขึ้นกับน้องหญิงหรือ?” เฉินเทียนหยูมองมู่หรงฉิงอย่างงุนงง “จ้าวจื่อซินบอกว่าน้องหญิงหลับไปแล้วจึงไม่หวาน รอให้น้องหญิงตื่นขึ้นแล้วก็จะหวานแล้ว”
คำพูดของเฉินเทียนหยูทำให้มู่หรงฉิงกะพริบตาปริบๆ นางมองไปด้านข้าง และเห็นจ้าวจื่อซินยืนกอดอกพิงกำแพงโดยที่สายตาทอดมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง
ในเวลานี้แสงเทียนในห้องสว่างไสว และข้างนอกหน้าต่างก็มีแต่สีดำมืด
ท้องฟ้ามืดหรือ?
“นี่ยามใดแล้ว?” เด็กสาวลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะขยี้ดวงตาและคิ้วขณะเอ่ยถามจ้าวจื่อซิน
“เรียนฮูหยิน ถึงยามไฮ่[1] สามเค่อ[2] แล้ว”
ถึงยามไฮ่แล้วหรือ นั่นก็หมายความว่านางหลับไปเกือบสิบชั่วยาม
หลังจากขยี้ดวงตาและคิ้ว นางก็ใช้หลังมือลูบแผ่นหลังเพราะเ็ปอีกหน แปลกจริงแท้ทำไมนางถึงรู้สึกปวดหลังถึงเพียงนี้? หลังจากยกผ้าห่มสีแดงขึ้น นางก็เห็นพุทรา ลำไย และขนมหวานกองอยู่บนเตียง
ไม่แปลกใจเลยที่จะปวดหลัง นอนบนสิ่งเหล่านี้จะไม่เจ็บได้อย่างไร?
จากการสังเกต นางสามารถจินตนาการได้ว่า เฉินเทียนหยูคงเป็คนวางนางลงบนเตียง ถ้าเป็พวกแม่นมจิ่นจะต้องจัดเตียงสักเล็กน้อยก่อนอย่างแน่นอน
ครั้นนางลงจากเตียง เฉินเทียนหยูที่ยืนอยู่ด้านหน้าเตียงก็ทำตัวคล้ายกับแมวที่หลงรักเ้าของด้วยการสาวเท้าเข้ามาประชิดทันที “น้องหญิงตื่นแล้ว จะต้องหวานเป็แน่”
โธ่... เวลาเพียงหนึ่งเค่อ ก็หยุดพักไม่ได้เชียวหรือ?
เด็กสาวหันหลังไปหยิบลำไยแห้งออกจากเตียง ปอกเปลือกอย่างระมัดระวัง แกะเม็ดลำไยออก แล้วป้อนเนื้อเข้าปากเฉินเทียนหยู “รสชาติของข้าในเวลานี้หวานพอๆ กับเนื้อลำไย ถ้าท่านพี่ชอบละก็ ท่านพี่จงจัดเก็บสิ่งเหล่านี้ให้เป็ระเบียบ ข้าจะแกะเปลือกให้ท่านพี่กินมัน ดีหรือไม่?”
เฉินเทียนหยูกินเนื้อลำไยทำให้ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงอย่างพึงพอใจ หลังจากได้ยินคำพูดของมู่หรงฉิง เขาก็พยักหน้าอย่างร่าเริง “น้องหญิง สิ่งนี้หอมหวาน อร่อยมาก ข้าชอบ”
ระหว่างพูดเขาก็โยนผ้าห่มออกไปที่มุมเตียง จากนั้นบรรจงเก็บลำไยบนเตียงทีละลูก และคลุมด้วยเสื้อคลุมของเขา
มู่หรงฉิงยืนอยู่ด้านหน้าเตียงระหว่างดูเฉินเทียนหยูบรรจงเก็บลำไยอย่างเงียบๆ แต่จ้าวจื่อซินกลับยังยืนพิงหน้าต่างและมองไปทางมู่หรงฉิงอย่างครุ่นคิด
“น้องหญิง ข้าเก็บทั้งหมดแล้ว” เฉินเทียนหยูมองไปทางมู่หรงฉิงอย่างมีชัย ในเวลานี้เขาคล้ายกับเด็กดีที่ทำสิ่งที่ถูกต้องและ้าคำชมจากผู้ใหญ่อย่างกระตือรือร้น
“อืม ท่านพี่ทำได้ดีมาก วางสิ่งเหล่านี้ลงบนโต๊ะ ข้าจะค่อยๆ แกะเปลือกให้ท่านพี่ทาน ดีหรือไม่?”
หลังจากตอบรับ เฉินเทียนหยูก็ถือลำไยในมือข้างหนึ่ง ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งจับข้อมือของมู่หรงฉิง
เฉินเทียนหยูกำลังมองว่ามู่หรงฉิงเป็สมบัติของเขา และไม่มีใครเข้าใกล้ได้
หลังจากแกะเปลือกลำไยสองสามลูกและวางลงบนจานเปล่าบนโต๊ะ มู่หรงฉิงก็รู้สึกหิว นางจึงรินน้ำชาหนึ่งถ้วยจากนั้นยกขึ้นดื่ม ก่อนแกะเปลือกลำไยอีกสองสามลูก แต่นางไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากดื่มชาถ้วยนี้ นางยิ่งรู้สึกหิวมากกว่าเดิม
ใช่แล้ว วันนี้นางยังไม่ได้กินอะไร เมื่อหลายวันก่อน นางต้องนอนอยู่บนเตียงมาโดยตลอดถึงได้ไม่รู้สึกอะไร แต่ด้วยความใกอปรกับฤทธิ์ยากระดูกอ่อนได้คลายลง ทำให้นางรู้สึกได้ว่าท้องของนางว่างเปล่า ซึ่งเป็เื่ยากที่จะสามารถอดทนอดกลั้นได้
“ท่านพี่ทานอาหารค่ำหรือยัง?” เดิมทีอยากจะถามจ้าวจื่อซินโดยตรง แต่คราวนี้มู่หรงฉิงรู้สึกว่าจ้าวจื่อซินคนนี้แปลกคนเป็อย่างมาก
ต่อหน้าฮูหยิน เขาเรียกขานตนเองว่า ‘ผู้น้อย’ แต่เมื่อพบกับฮูหยินและฮูหยินผู้เฒ่า เขาก็ไม่ได้คำนับแต่อย่างใด ท่าทีเช่นนั้นไม่เหมือนคนรับใช้ธรรมดาทั่วไป
จ้าวจื่อซินเป็บุรุษแต่เขากลับอยู่ในห้องหอของเฉินเทียนหยู โดยไม่มีการหลีกเลี่ยงแต่อย่างใด สิ่งนี้ทำให้มู่หรงฉิงสงสัยว่าแท้ที่จริงแล้ว ตัวตนของจ้าวจื่อซินคือใครกัน?
“ผู้น้อยจะสั่งคนใช้ให้นำอาหารมาที่นี่เดี๋ยวนี้”
เฉินเทียนหยูยังไม่ได้ตอบ แต่จ้าวจื่อซินกลับเอ่ยตอบก่อนเดินออกไปโดยไม่รีรอให้มู่หรงฉิงพูดต่อ
ดู! เช่นเดียวกับในเวลานี้ จ้าวจื่อซินมีความสุขแล้ว เขาก็เรียกขานตนเองว่า ‘ผู้น้อย‘ แต่เมื่อเขาไม่สบอารมณ์ เขาจะเรียกขานตัวเองว่า ‘จ้าวจื่อซิน‘ เขาบอกว่าจะให้คนนำอาหารมาให้ ทว่ากลับไม่รอให้นางพูดว่าอยากกินอะไร เขาก็ออกไปทันที
จ้าวจื่อซินคนนี้แปลกพิกลจริงแท้ ใครรับใช้เ้านายเช่นที่เขาทำกัน?
“ข้าทานมาแล้ว ข้าทานตีนเป็ดตุ๋นขิง ห่านย่างซีอิ๊ว น้ำแกงัและหงส์…” เฉินเทียนหยูรายงานรายการอาหารมากกว่าสิบชนิดรวดเดียวโดยไม่มีอาการหอบหายใจแต่อย่างใด มู่หรงฉิงตกตะลึงและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
นี่... เขารู้จักชื่ออาหารมากมายเช่นนั้นจริงๆ หรือ? “ท่านพี่รู้ชื่ออาหารพวกนั้นได้อย่างไร?”
“สาวใช้นำอาหารมาให้ก็มีรายงานรายการอาหารทุกครั้งไม่ใช่หรือ?” คราวนี้เฉินเทียนหยูมองมู่หรงฉิงด้วยสายตาโง่งม “น้องหญิงโง่มาก”
“...” มู่หรงฉิงรู้ดีว่าสาวใช้จะรายงานรายการอาหารทุกครั้งที่นำอาหารมาให้ “ข้าหมายถึง... ท่านพี่ของข้าเก่งมาก ท่านพี่สามารถจดจำรายชื่ออาหารพวกนั้นได้จริงๆ”
“ก็ใช่น่ะสิ ท่านแม่บอกว่า ข้าฉลาดมาั้แ่วัยเยาว์ ข้ามีความทรงจำที่ดีเกินคน แค่มองปราดเดียว ก็จะไม่มีวันลืม” เฉินเทียนหยูโอ้อวดพลางเชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
“…” มู่หรงฉิงพูดไม่ออกแต่นางแปลกใจเป็อย่างมาก นางไม่คิดมาก่อนว่าเฉินเทียนหยูที่กลายเป็คนโง่งม จะมีความจำที่ดีมากเกินคน
ความคิดดังกล่าวทำให้มู่หรงฉิงสงบลงพลางระลึกถึงความทรงจำตลอดหลายปีที่ผ่านมาอย่างถี่ถ้วน นางจึงเข้าใจเฉินเทียนหยูผู้น่าเวทนาอยู่หลายส่วน
เฉินเทียนหยูเป็คุณชายรองแห่งจวนเฉิน เขาเฉลียวฉลาดเกินคนมาั้แ่วัยเยาว์ ในด้านการทำการค้า ขอแค่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย กิจการก็จะไม่มีคำว่าขาดทุน ในด้านทักษะการต่อสู้ เขาก็มีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน แต่มู่หรงฉิงไม่รู้ถึงทักษะการต่อสู้ของเขาว่าสูงถึงเพียงใด ในคืนหนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว เฉินเทียนหยูหายตัวไปโดยปราศจากเหตุผล และสองสามวันต่อมาเฉินเทียนหยูก็ถูกค้นพบในวัดเก่าผุพังแห่งหนึ่ง แต่ั้แ่นั้นเป็ต้นมาเขาก็กลายเป็คนโง่งมและคลุ้มคลั่งเช่นปัจจุบัน
นอกจากนั้นมู่หรงฉิงยังพบเื่น่าเศร้าบางอย่างว่า นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเฉินเทียนหยูมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“น้องหญิงสวยมากจริงๆ”
มู่หรงฉิงจ้องที่กาน้ำชาอย่างเหม่อลอย แต่เฉินเทียนหยูกลับมองมู่หรงฉิงด้วยรอยยิ้มโง่งม “พวกเขาบอกว่าความสวยของน้องหญิงอยู่ในสามอันดับแรกจากสิบอันดับหญิงงามของเมืองหลวง ข้าไม่รู้ว่าคนเ่าั้หน้าตาดีหรือไม่ แต่น้องหญิงเป็คนที่ข้าเห็นว่าสวยที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาแล้ว”
ระหว่างพูดเฉินเทียนหยูได้ยื่นมือออกไปััใบหน้าของมู่หรงฉิง เด็กสาวกำลังจะหลีกเลี่ยงแต่แล้วนางก็เหลือบเห็นดวงตาใสแจ๋วด้วยความปีติยินดีของเฉินเทียนหยู ชั่วขณะหนึ่งความโศกเศร้าและความเสียใจพลอยไหลทะลักท่วมท้นหัวใจ
บุรุษเช่นนี้ เมื่อก่อนเป็คนที่ดูดีและมีเกียรติเพียงใด? แต่ในเวลานี้กลับเป็อย่างที่เห็น
แล้วนางล่ะ? นางมีท่านแม่ เมื่อสามปีก่อนนางไม่ต้องคิดอะไรมาก ท่านแม่บอกว่าความเป็คนจิตใจดีของนางคือของขวัญที่ดีที่สุดที่์ประทานให้ท่านแม่
แต่ในเวลานี้ นางกลับนึกเกลียดความไม่รู้ของตัวเอง ่ระยะเวลาสามปีหลังจากท่านแม่ของนางจากไป นางได้เรียนรู้อะไรมากมาย ในเวลาเดียวกันนางได้เข้าใจอะไรมากมายเช่นกัน แม้นางไม่อาจรับมือกับกลอุบายเ่าั้ได้ แต่นางก็จำต้องรับมือกับมันอย่างปราศจากทางเลือกอื่น
นางคิดว่าใน่เวลาสามปีที่ผ่านมา นางสามารถก้าวข้ามกลอุบายมากมายของอนุหนิงได้ และนางก็เติบโตขึ้นแล้ว จวบจวนเวลานี้นางถึงได้พบว่านั่นเป็สิ่งที่อนุหนิงทำไปเพื่อแก้เบื่อในยามว่าง อนุหนิงแกล้งนางเล่นเป็งานอดิเรกก็เท่านั้น
-------------------------
[1] ยามไฮ่ (亥时) คือเวลา 21.00 น. – 23.00 น.
[2] เวลาหนึ่งเค่อเทียบเท่ากับสิบห้านาทีโดยประมาณตามเวลาสากล