หิมะตกหนักขึ้นทุกที
อีกไม่นานอากาศคงหนาวเย็นจนหิมะจับตัวเป็น้ำแข็ง คืนที่ดวงจันทร์มืดสนิทคือฤกษ์ดี คือฤกษ์สังหาร ไม่ว่าจะปล้น ฆ่า วางเพลิงย่อมสำเร็จดังใจนึก ยามจื่อ*เป็่เวลานิทราอันแสนสุขของหลายๆคน แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่กำลังร่ำสุราเคล้านารีอย่างเปรมปรีดิ์
ทั้งที่บ้านเมืองกำลังระส่ำระส่าย ทั้งที่ภัยอาจจะมาถึงตัวได้ทุกเมื่อ แต่คนพวกนี้กลับไม่สนใจ ไม่ใยดีชีวิตของประชาชนที่พวกเขาควรทุ่มเทชีวิตปกป้อง ยามภัยมาคนเหล่านี้จะเป็กลุ่มแรกที่หนีเอาชีวิตรอด เสียชาติทหารเสียชาติขุนนาง
จวนอันยิ่งใหญ่ทุกส่วนเต็มไปด้วยความฟุ้งเฟ้อ หากพื้นปูด้วยทองคำได้คิดว่าคงทำไปแล้วศาลาชมจันทร์อันวิจิตรที่ถูกสร้างขึ้นกลางทะเลสาบขนาดใหญ่ พื้นน้ำที่กำลังก่อตัวเป็น้ำแข็งชวนให้ดูเวิ้งว้างเปล่าเปลี่ยวแต่เปี่ยมไปด้วยมนเสน่ห์อันลึกลับ แม้ยามนี้ดวงจันทร์จะดับแสงแต่ด้วยโคมกระจกขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่รายรอบก็ส่องแสงสว่างไปทั่ว แสงที่สะท้อนไปบนพื้นน้ำแข็งราวกับอัญมณีล้ำค่า
เสียงดนตรีเคล้าคลอไปกับสายลมอันหนาวเหน็บนางรำในอาภรณ์เนื้อบางร่ายรำไปตามจังหวะเพลง ช่างเป็ความงามที่ยากจะอดใจไหว สุราอาหารถูกเติมไม่ให้ขาด มือหนึ่งถือจอกสุรารสเลิศ มือหนึ่งโอบสาวงามมาแนบกาย
กึก กึก กึก
เสียงรองเท้าหุ้มเหล็กย่ำลงบนพื้นศิลาอย่างเป็จังหวะ มุ่งไปยังศาลาชมจันทร์อันครึกครื้น
“สหาย...ข้าได้ข่าวมาว่าที่นี่มีสุราชั้นเลิศ
หากข้าอยากจะดื่มสักชาม พวกเ้าจะขัดข้องหรือไม่”
…
ข้ามองกำแพงเมืองจี้โจวที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ แม้มองเห็นรายละเอียดได้ไม่ชัดแต่แสงไฟที่จุดจนส่องสว่างย้ำเตือนว่าข้าจะประมาทไม่ได้ จี้โจว เมืองหน้าด่านอันสำคัญของชายแดนเหนือและยังเป็ที่ตั้งของค่ายทหารใหญ่ของเหอเป่ย จี้โจวยามนี้มีทหารประจำการอยู่หนึ่งแสน เมืองชั้นรองคือถังชานมีทหารอยู่สามหมื่น ส่วนเมืองฉือเหมินอยู่ถัดมาไม่มีกองทัพมีเพียงทหารรักษาการณ์ห้าพันนาย นับรวมแล้วกำลังทหารที่มีไว้ป้องกันชายแดนคือหนึ่งแสนสามหมื่นนาย
จี้โจวมีเ้าเมืองแซ่เจียงและแม่ทัพประจำมณฑลแซ่เจียง ไม่ผิดชื่อแซ่ในแผ่นดินนี้อาจซ้ำกันได้ทว่าสองขุนนางบุ๋นบู้นี้เป็คนสกุลเดียวกัน สกุลเจียงในราชสำนักไม่ได้มีอิทธิพลมากมายอันใดแต่กลับแทรกซึมอยู่ตามสถานที่สำคัญของแคว้นได้อย่างเงียบเชียบ ไร้เื่เสียหาย ไร้เื่ราวร้องเรียน จะดูถูกสกุลเจียงว่าไม่มีขุนนางยศสูงก็ย่อมได้
แต่ตำแหน่งขุนนางของคนสกุลเจียงนั้นไม่ใหญ่ไม่เล็ก มองผิวเผินอาจจะเห็นว่าเป็พวกที่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง หากลองมองภาพรวมของสกุลนี้ให้ดีๆ ก็จะพบว่ามีบางอย่างผิดแปลก เดิมชาติที่แล้วข้าก็ดูเบาคนสกุลเจียงเอาไว้ไม่น้อย พอต้องมีจุดจบเช่นนั้นข้าก็ต้องเปิดมุมมองของคนพวกนี้ออกมาเสียใหม่
หนึ่งสนมเอกที่มีอำนาจมั่นคงในวังหลัง เจียงกุ้ยเฟยและสายเืของนางองค์ชายสี่หลี่หยวนเฮ่า และเหล่าเส้นสายตระกูลที่เป็ขุนนางอยู่ในสถานที่สำคัญของแคว้น หากนับรวมดีๆ จะพบว่าตระกูลเจียงได้แทรกซึมมาจากรอบนอกกัดกินเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงแก่นกลางอย่างแท้จริง
วิธีการเช่นนี้ต้องใช้ความสุขุมเยือกเย็น ก้าวเดินอย่างรัดกุม ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเป้าหมายเดียว บัลลังก์ ใช่...จะมีสิ่งใดหอมหวานไปกว่าอำนาจสูงสุดที่สามสารถเรียกลมเรียกฝนได้ จะสู้อดทนไปเพื่อสิ่งใดหากมิได้สิ่งที่ดีที่สุด นั่นคือกิเลสที่มิอาจต้านทาน
มีชีวิตดั่งอสรพิษจำศีล รอวันตื่นขึ้นมาออกล่าเหยื่อ
“ท่านแม่ทัพคนของเราพร้อมลงมือแล้วขอรับ”นายกองประจำหน่วยข่าวสารวิ่งเยาะๆ เข้ามารายงาน ได้รับคำสั่งปฏิบัติตามโดยไม่ไต่ถามนั่นคือระเบียบวินัย เป็ทหารหน่วยข่าวสารแม้รับรู้ทุกความเป็ไปของกองทัพแต่ก็มิอาจคาดการณ์แผนการรบของท่านแม่ทัพได้แม้แต่น้อย
สองหัวเมืองที่รองแม่ทัพทั้งสองไปจัดการล้วนเป็ไปด้วยความสงบเรียบร้อยเขาย่อมรู้คำสั่งของท่านแม่ทัพว่าให้ไปพูดคุยอย่างสันติ แต่พอมาถึงจี้โจวท่านแม่ทัพไม่แม้จะสั่งให้เหล่าทหารเปลี่ยนธงของกองทัพให้เป็ธงของกองทัพของอิงกั๋วกงเลยด้วยซ้ำ
ซ่างกวนจือหลินพยักหน้าเป็เชิงรับรู้ แล้วรอเวลาอย่างใจเย็น
มีคำสั่งให้ทหารหน่วยลอบสังหารออกปฏิบัติการณ์ ค่ำคืนอันมืดมิดท่ามกล่างหิมะที่ตกลงมาไม่หยุด ทั่วทุกหนแห่งล้วนปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลน ทหารหน่วยลอบสังหารที่ถูกส่งออกไปยังประตูเมืองทั้งสามแห่งต่างรอเวลาลงมืออย่างใจเย็น ทหารหนึ่งหมื่นห้าพันนายในชุดพลางกายที่ทำขึ้นจากดอกฝ้ายสีขาวบริสุทธิ์ทำให้กลมกลืนเป็หนึ่งเดียวกับหิมะที่ปกคลุมอยู่บนพื้น ทหารห้าพันนายดักซุ่มอยู่หน้าประตูเมืองทั้งสามแห่ง
ยิ่งดึกสภาพอากาศก็ยิ่งเลวร้าย เหล่าทหารที่ลาดตระเวรรอบกำแพงเมืองก็ยิ่งมีน้อยลงทุกที เสียงฆ้องบอกเวลาที่ดังอยู่บนกำแพงเมืองต่างเป็สัญญาณให้ทุกคนเริ่มลงมือ ลูกดินเผาทรงกลมขนาดเล็กเท่ากำบั้นทารกถูกยิงขึ้นไปบนกำแพงเมืองหลายสิบลูก เมื่อลูกดินเผาตกกระทบพื้นก็แตกออกทันทีสิ่งที่บรรจุอยู่ด้านในก็พวยพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว กว่าที่เหล่าทหารบนกำแพงเมืองจะรู้สึกตัวก็ได้สูดเอาเ้าสิ่งนั้นเข้าไปหมดแล้ว
สิ่งที่ทหารเ่าั้สูดเข้าไปเป็ชนิดเดียวกันกับที่พวกโจรป่าได้รับ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆเพียงแต่ไม่สิ้นสติไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ใช้เวลาไม่นานยาก็ออกฤทธิ์ ทหารที่อยู่ด้านล่างกำแพงต่างใช้ตะขอปีนขึ้นมาบนกำแพงอย่างเงียบเชียบ ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่โดยที่ไม่ต้องมีผู้ใดออกคำสั่งให้มากความแม้แต่น้อย กลุ่มหนึ่งไปปิดปากล่ามตรวนที่มือและเท้า อีกกลุ่มหนึ่งไปจัดการพวกที่เฝ้าประตูเมืองด้านใน เมื่อจัดการจนครบทั้งหมดก็ลากทหารพวกนั้นมากองรวมกันไว้ในหอสังเกตการณ์เพื่อป้องกันไม่ให้แข็งตายไปเสียก่อน
“มองข้าทำไม จะโทษก็ต้องโทษที่แม่ทัพของพวกเ้ามันไร้ความสามรถ ยามที่เหตุการณ์ไม่สงบเช่นนี้กลับสั่งทหารมารักษาประตูเมืองเพียงห้าร้อยนาย ข้าล่ะอยากจะเห็นหน้าไอ้แม่ทัพที่สมองมีแต่น้ำผู้นั้นจริงๆ”นายกองผู้นำหน่วยสบถอย่างเหยียดหยามไอ้แม่ทัพที่จับไม้สั้นไม้ยาวมาผู้นั้น
เหล่านายทหารที่กำลังนอนเป็ผักไม่ได้ส่งสายตาเคียดแค้นชิงชังให้ผู้บุกรุกแต่อย่างใด หลายคนต่างมีสายตาที่สื่อว่าโล่งใจเป็ซะส่วนมาก ผู้บุกรุกไม่ใช่พวกเหลียวซ้ำยังไม่คิดจะฆ่าพวกเขาเพียงเท่านี้ก็ดีแล้ว จะก่นดาสาปแช่งแม่ทัพของพวกเขาอย่างไรก็เชิญเถิด
“ไป ได้เวลาเปิดประตูเมือง เ้าหนูเบิ่งตาดูให้ดีว่าเช่นไรถึงควรเรียกว่าแม่ทัพ”
ประตูเมืองสามแห่งเปิดออกอย่างพร้อมเพรียงกองทัพสามแสนเคลื่อนพลเข้าไปในเมืองอย่างเงียบเชียบ นี่เป็การปิดล้อมเมืองโดยสมบูรณ์ จวนเ้าเมืองหรือจวนแม่ทัพมิได้เป็เป้าหมายแรกของกองทัพิญญาพยัคฆ์แต่เป็ค่ายทหารที่ตั้งอยู่นอกเมือง ทหารหนึ่งแสนนายของสกุลเฉินต่างปักหลักรักษาประตูเมืองที่เชื่อมไปยังแคว้นเหลียวอย่างแ่า
กว่าที่ทหารในค่ายจะรู้ว่ามีผู้บุกรุกมาจากในตัวเมืองก็เป็ยามที่กองทัพของอีกฝ่ายมาปรากฏกายอยู่หน้าค่ายทหารแล้ว ด้วยพวกเขาเฝ้าระวังภัยข้าศึกที่มาจากนอกด่านจึงมิได้สนใจสถานการณ์ในเมืองมากนัก หากมีคำสั่งจากเบื้องบนก็จะมาเพียงหนังสือสั่งการเท่านั้น
กองทัพที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางราตรีอันมืดมิด ชวนให้หวาดผวาไม่ได้
“แม่ทัพประจำด่านจี้โจว ออกมารายงานตัว!”ขณะที่ทั้งพื้นที่ต่างปกคลุมไปด้วยความเงียบ เสียงะโเรียกรายงานตัวอันทรงพลังดังขึ้น กองทัพเ้าถิ่นที่เริ่มตื่นตัวกันตามลำดับด้วยวินัยทหารที่ฝึกมาอย่างเข้มงวด ไม่ทราบสถานการณ์ไม่แตกตื่น ไร้คำสั่งมิอาจลงมือโดยพละการ เหล่าทหารยืนคุมเชิงกันไปมา กล้ามเนื้อทุกส่วนล้วนตึงเครียดเตรียมพร้อมโจมตีได้ตลอดเวลา
“ข้าแม่ทัพประจำด่านจี้โจว เฉินชี ไม่ทราบว่ากองทัพที่มาขึ้นตรงกับฝ่ายใด โปรดแสดงตัว”แม้ใจของแม่ทัพหนุ่มจะเต้นเร็วราวกับรัวกลองศึกแต่สีหน้าและท่าทางกลับแสดงออกอย่างแข็งกร้าว ในหัวของเฉินชีขบคิดความเป็ไปได้หลายรูปแบบที่อีกฝ่ายปรากฏตัวมาเช่นนี้
“กองทัพิญญาพยัคฆ์ แห่งตระกูลซ่างกวน วันนี้นำกำลังทหารห้าแสนนายมาสู้ศึกใหญ่กับแคว้นเหลียว แม่ทัพใหญ่ที่นำทัพมาครานี้คือทายาทผู้สืบทอดตระกูลซ่างกวน ซ่างกวนจือหลิน
พวกเรามาอย่างเป็มิตร มาออกรบเพื่อความสงบสุขของแคว้นซ่ง ท่านแม่ทัพมีคำสั่งไม่้าให้กองทัพรักษาชายแดนมีส่วนเกี่ยวข้องกับศึกในครานี้ นี่เป็คำสั่งทางการทหารหาใช่คำขอร้องหน้าที่ของพวกเ้าต่อจากนี้คือดูแลความสงบภายในเมืองจี้โจว
หากไม่มีคำสั่งห้ามเข้ามายุ่งกับการศึกในครั้งนี้ อีกทั้งปิดตายการสื่อสารทั้งในและนอกแคว้นหากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา”
เสียงของนายกองฝ่ายผู้มาเยือนดังก้องไปทั่งลานอย่างห้าวหาญ สั่นสะท้านไปถึงก้นบึ้งของจิตใจอีกทั้งเมื่อได้ทราบถึงกำลังทหารของอีกฝ่ายทำให้เกิดความตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า เฉินชีรู้สึกราวกับโลหิตในร่างกำลังจับตัวเป็น้ำแข็ง ทหารตั้งมากมายขนาดนั้นโพล่ขึ้นมาจากขุมใดกัน แม้เขาจะอายุยังน้อยแต่ก็มิได้เลอะเลือนหากอีกฝ่ายเป็ฏคงไม่เลือกยกทัพมาชายแดนเหนืออันธุระกันดานแห่งนี้ เอาเถิดเพื่อรักษาชีวิตของประชาชนและกำจัดศัตรู จะเป็กองทัพของผู้ใดเขาก็ไม่ขออกความเห็น
หนังสือขอกำลังทหารมาเสริมของเขาถูกแม่ทัพประจำมณฑลปัดตกอย่างไม่ใยดีไปหลายหน หาว่าเขาจงใจก่อความไม่สงบแช่งชักให้เกิดา พอส่งข่าวไปรายงานท่านปู่ก็ได้รู้ว่าท่านยกทัพลงใต้ไปปราบฏ เมื่อทราบเช่นนั้นในใจของเฉินชีก็ได้แต่ร่ำร้องว่าแย่แล้ว โอกาสดีเช่นนี้พวกเหลียวปล่อยไปได้เช่นไรเขาขอให้แม่ทัพประจำมณฑลผู้นั้นประกาศอพยพเพราะศึกใหญ่กำลังจะประทุ แต่เ้าโง่นั่นกับไม่สนใจวันๆ เอาแต่จัดงานเลี้ยงดื่มสุราเคล้านารี
อยู่ๆ ก็มีกองทัพไม่ทราบที่มา อาสาออกรบต้องเป็คนโง่เท่านั้นที่ปฏิเสธศักดิศรีหรือเกียรติยศพวกนั้นโยนมันทิ้งไปเถิด ขอเพียงรักษาชายแดนและชีวิตของประชาชนไว้ได้ข้าเฉินชียอมแลกทุกอย่าง
ทหารของประชาชน ที่ต้องรักษาคือชีวิต ดินแดน และเสรีภาพของแคว้นซ่ง
“แม่ทัพเฉินท่านมีความเห็นเป็อื่นหรือไม่”
เฉินชีถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ด้วยเสียงแหบต่ำทว่าเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ “ในเมื่อมาอย่างฉันมิตร เราต่างเป็ทหารร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เพื่อสังหารข้าศึกที่มารุกราน ข้ารู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่งที่พวกท่านมาร่วมกันปกปักแคว้นซ่ง”
“ดี...รายละเอียดอื่นๆ ข้าจะเรียกประชุมกันอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น ดูแลระเบียบในกองทัพของท่านให้ดีข้ายังมีธุระต้องไปสะสาง”
“เช่นนั้นข้าขอตัว หากมีสิ่งใดขาดเหลือโปรดให้คนมาแจ้งข้าได้”ด้วยไม่ทราบว่าต้องเรียกขานอีกฝ่ายตามยศทหารใด ในเมื่อเป็แม่ทัพเช่นเดียวกันก็...นะ ดูแล้วอีกฝ่ายไม่ขึ้นตรงกับราชสำนักจะให้ความเคารพมากไปเพราะอีกฝ่ายมีกองกำลังมากกว่าก็คงจะดูตาขาวไปหน่อย
“ไม่จำเป็ ข้าไม่รบกวนแม่ทัพเฉินหรอก”ข้าโปกมือให้อีกฝ่ายอย่างขอไปที พลางมองแม่ทัพหนุ่มพาพักพวกแยกย้ายกลับไปยังค่ายของตน “ถ่ายทอดคำสั่ง หาสถานที่ตั้งค่ายให้เรียบร้อย ทหารม้าหนึ่งพันนายตามข้าเข้าไปในเมือง”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
นายกองที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้างป้องหมัดรับคำสั่ง
คำสั่งตั้งค่ายถูกถ่ายทอดออกไป ราตรีนี้ยาวนานกว่าทุกคราราวกับว่าจะไม่มีแสงตะวันในวันพรุ่ง หลายคนครุ่นคิดจนมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ ทว่าก็ยังมีอีกหลายคนที่สุขสันต์รื่นเริงโดยไม่ทราบถึงชะตากรรมของตนเอง
จวนเ้าเมือง
เสียงดนตรีเคล้าคลอไปกับสายลมอันหนาวเหน็บนางรำในอาภรณ์เนื้อบางร่ายรำไปตามจังหวะเพลง ช่างเป็ความงามที่ยากจะอดใจไหว สุราอาหารถูกเติมไม่ให้ขาดมือหนึ่งถือจอกสุรารสเลิศ มือหนึ่งโอบสาวงามมาแนบกาย
กึก กึก กึก
เสียงรองเท้าหุ้มเหล็กย่ำลงบนพื้นศิลาอย่างเป็จังหวะ มุ่งไปยังศาลาชมจันทร์อันครึกครื้น
“สหาย...ข้าได้ข่าวมาว่าที่นี่มีสุราชั้นเลิศ
หากข้าอยากจะดื่มสักชาม พวกเ้าจะขัดข้องหรือไม”
เสียงปริศนาที่ดังแทรกขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้งานเลี้ยงที่กำลังรื่นเริงอย่างเต็มที่หยุดลง แม้อากาศจะหนาวเย็นเพียงใดเมื่อมีกระถางไฟที่ถูกตั้งไว้ทั่วทุกมุมของศาลาชมจันทร์แห่งนี้ อีกทั้งสุราฤทธิ์แรงที่ดื่มลงไปทำให้คนเหล่านี้มิได้รับรู้ถึงอากาศอันหนาวเหน็บแม้แต่น้อย
ผู้มาเยือนเยื้องย่างแหวกความมืดมิดเข้ามาในศาลาชมจันทร์อันกว้างใหญ่ช้าๆ ราวกับว่าคนผู้นี้้าทอดน่องชื่นชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนให้เต็มตา สายลมหวีดหวิดดั่งเสียงกรีดร้องของิญญาชั่วร้ายเพราะบรรยากาศที่เงียบสงัดจนเกินไปจึงทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงเรื่อยๆ
เ้าเมืองเจียงเกิงเป็บุรุษวัยกลางคนรูปร่างอ้วนฉลุ ตาทั้งสองข้างเล็กแคบ คิ้วห่างปลายคิ้วชี้ชัน จมูกบานริมฝีปากหนา เรียกได้ว่ามองแวบแรกก็รับรู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้หาใช่คนดี ทั้งสายตาที่กลิ้งกลอกไปมาเด็กสามขวบมองยังต้องวิ่งหนีเพราะความไม่น่าไว้ใจที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของคนผู้นี้ คำถามคือ คนเช่นนี้คือเ้าเมือง? ต่อให้คนปัญญาอ่อนก็มองออกว่าขุนนางผู้นี้คือเหลือบไรที่ดูดกินภาษีของแผ่นดิน
ต่อมา แม่ทัพประจำมณฑลเจียงเหิง แม้จะได้ชื่อว่าเป็แม่ทัพแต่รูปร่างของเ้าคนนี้...ผอมกะหร่องท่าทางราวกับหม้อยาเคลื่อนที่ นี่ไม่มีผู้ใดบอกเ้าขี้โรคผู้นี้เลยหรือว่าแขนเล็กราวกับตะเกียบเช่นนี้มันจะถือดาบฟันคนได้หรือไม่ ขนาดอ่านประวัติของพวกมันสองคนข้ายังไม่รู้สึกว่าเ้าพวกนี้มันเป็สวะเท่ากับมาเห็นด้วยตาตนเอง
สวะ จะมองมุมใดก็มิอาจเป็อย่างอื่นได้นอกจากสวะ
ผู้มาใหม่เดินมาหยุดอยู่กลางศาลาที่เหล่านางรำกำลังยืนอยู่ เมื่อเห็นผู้มาใหม่พวกนางก็ถอยออกไปอย่างลนลาน ในใจได้แต่ถามตนเองอย่างวุ่นวายนี่มันเกิดอะไรขึ้น...จวนเ้าเมืองอันยิ่งใหญ่แห่งนี้หากมีการจัดงานใดๆ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทหารในค่ายมารบกวนแม้กระทั่งยามพวกเหลียวมาก่อกวนแม่ทัพเฉินทางนั้นไม่แม้จะมายุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสองทำราวกับน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองมาตั้งนานแล้ว
คนผู้นี้อยู่ๆ ก็โผล่มาทำลาย่เวลาสุนทรีของใต้เท้าเจียงทั้งสอง เห็นทีคงมีคนได้เจ็บตัวกันบ้าง ความคิดนี้อยู่ในใจของใครหลายๆ คนที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยงแห่งนี้ ขุนนางน้อยใหญ่ต่างนั่งปิดปากเงียบรอชมละครฉากเด็ด
“บังอาจ! จวนเ้าเมืองเป็สถานที่ให้คนชั้นต่ำเช่นเ้าเข้ามาได้หรือ”เจียงเกิงที่ดื่มสุราเข้าไปมากเริ่มจะประคองสติของตนไม่อยู่ตวาดออกมาอย่างรุนแรง
“ท่านพี่ท่านดูให้ดีๆ แม้คนผู้นี้จะแต่งกายเช่นจะไปออกรบแต่นั่นคือสตรีนะขอรับ”เจียงเหิงที่สติยังแจ่มชัดสังเกตผู้มาใหม่อย่างถี่ถ้วน แม้รูปร่างคนผู้นี้จะสูงโปร่งแต่เมื่อเทียบกับชายชาตรียังนับว่าเตี้ยอีกทั้งหากมองดีๆ ภายใต้ชุดเกราะพร้อมรบของคนผู้นี้ยังมีส่วนโค้งเว้าเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีให้เห็น เจียงเหิงขึ้นชื่อเื่ตัณหากลับ เขามักมีสัญชาตญาณในการมองคนแม้สตรีผู้นั้นจะรัดหน้าอกจนแบนราบแต่ก็ยังหลงเหลือกลิ่นที่คนเป็สตรีพึงมีอยู่ แม่ทัพเจียงใช้สายตาราวกับอสรพิษโลมเลียสตรีตรงหน้าอย่างเปิดเผย
“หญิงโคมเขียวทุกวันนี้เข้าใจหาจุดขายเสียจริง เ้าช่างถูกใจข้ายิ่งนัก เกิดมายังไม่เคยได้กับแม่ทัพหญิงสักครา...มายอดรักมาให้ข้ากอดเ้าฮ่า ฮ่า ฮ่า”เจียงเกิงที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็สตรีก็เกิดความตื่นเต้นยากจะบรรยาย
“ท่านพี่อย่างไรน้องชายคนนี้ก็ขอร่วมชมเชยด้วยนะขอรับฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“สวะ อย่างไรก็เป็สวะอยู่วันยังค่ำสินะ ข้าจะมาเสียเวลากับคนเช่นพวกเ้าไปเพื่อเหตุใด ได้ข่าวว่าจวนเ้าเมืองจี้โจวแห่งนี้ มีคุกมืดที่เอาไว้ทรมานคน ข้าผู้เป็แม่ทัพก็อยากจะลองััดูว่าคุกมืดแห่งนี้จะโหดร้ายสมคำร่ำลือหรือไม่
เด็กๆ จับพวกมันทั้งหมดไปขังไว้ เลี้ยงดูปูเสื่อท่านเ้าบ้านให้ดี พวกเราเป็แขกต้องมีมารยาทผู้ดีบ้าง”
ข้าส่งยิ้มหวานหยดให้พวกเ้าบ้านทั้งหลาย
คนที่อยู่ๆ ก็โพล่มายามจากไปก็หายลับไปกับม่านรัตติกาลอันมืดมิด ทิ้งไว้เพียงกลิ่นคาวเือันคละคลุ้งและซากศพนอนเกลื่อนอยู่ทั่วจวน คนที่ตายก็ตายไป คนที่ถูกนำไปขังก็เพียงแค่ยืดเวลาหายใจให้ยาวขึ้นอีกหน่อย