เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ววิ่งอยู่ข้างหน้า เยวี่ยเจาหรานวิ่งตามข้างหลังอย่างยากลำบาก ถึงอย่างไรเขาก็สวมกระโปรงยาวรุ่มร่ามหลายชั้นหลายผืนอย่างเหลือจะทน อีกทั้งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยังไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา [1] เอาเสียเลย ในใจคิดแต่จะรีบไปรายงานกับฮูหยินเยี่ยนว่าจะออกนอกจวน โดยไม่ได้สนใจดูแลเยวี่ยเจาหรานที่อยู่ข้างหลังเลยว่าตามมาด้วยความลำบากลำบนเพียงใด
“รีบหน่อย เหตุใดเ้าถึงชักช้าขนาดนี้!”
ในที่สุดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหยุดฝีเท้าลงอย่างยากเย็น นางหันกลับไปกวักมือเรียกเยวี่ยเจาหรานไม่หยุด ปากเองก็บ่นเื่ความเร็วของเขา “เร็วๆ หน่อย!”
“เ้ารีบร้อนอะไรนักหนา แม่เ้าไม่ได้จะหนีไปเดี๋ยวนี้เสียหน่อย จะรีบอะไรนัก”
เยวี่ยเจาหรานสองมือยกชายกระโปรงค่อยๆ วิ่งไล่ตามมา ในที่สุดก็ตามฝีเท้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทัน เพื่อไม่ให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ววิ่งฝุ่นตลบไปจนไม่เห็นเงาอีกครั้ง เยวี่ยเจาหรานจึงคว้าแขนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอาไว้อย่างเฉลียวฉลาด
“นี่เ้า...”
เยวี่ยเจาหรานคิดไว้ไม่ผิด เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นกำลังจะวิ่งปจริงๆ แถมยังคิดจะวิ่งแบบไม่รอใคร หมายจะทะยานหายวับไปถึงห้องของฮูหยินเยี่ยนเลยทีเดียว
ขณะที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่อาจวิ่งต่อ เพราะท่อนแขนถูกคนฉุดรั้งเอาไว้ ในที่สุดบนใบหน้าของเยวี่ยเจาหรานก็เผยรอยยิ้มปลื้มใจออกมา ในใจนึกชื่นชมในความน่าอัศจรรย์และความเฉลียวฉลาดของตนไม่หยุด หากไม่ใช่ตนคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วละก็ น่ากลัวว่าคงต้องเริ่ม ‘การไล่ตามภรรยา’ ที่ยาวไกลและยากลำบากไปอีกพักใหญ่
“ข้าจะทำไม ข้าต่างหากที่อยากจะถามเ้า” เยวี่ยเจาหรานมือดึงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็จัดการเสื้อผ้าของตน และยังไม่ลืมยกมือจัดปิ่นประดับผมที่ข้างขมับให้ตรง พลางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เ้าจะรีบร้อนไปทำไม? ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเ้าไปเอาความตื่นเต้นมากมายเช่นนี้มาจากไหน”
พูดจบก็ถือโอกาสจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เยวี่ยเจาหรานในยามนั้นถึงได้ฟื้นจากความเร็วของ ‘เต่า’ กลายเป็ความเร็วของ ‘คน’ ในที่สุด แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วข้างกายของเขานั้น ยังคิดที่จะวิ่งไปด้วยความเร็วของ ‘กระต่าย’ ร้อยแปดสิบหลี่ต่อชั่วโมงอยู่เลย หากไม่ใช่เพราะเยวี่ยเจาหรานมีแรงมือมากพอ ก็อาจจะฉุด ‘สตรีหาญผู้แกร่งกล้าองอาจ’ ผู้นี้ไม่อยู่ก็ได้
“ข้าก็แค่ไม่อยากล่าช้า เ้าคิดดูสิ เื่ของพวกเรามีตั้งมากมายนี่นา!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดเช่นนั้นไปพลางดึงเยวี่ยเจาหรานมาข้างกายตน น้ำเสียงไม่ได้มีทีท่าจะปล่อยไป เยวี่ยเจาหรานก้มหน้าลงมองเล็บที่ย้อมสีมาใหม่ของตน ไม่ผิดหรอก ตอนนี้เขามีความเข้าใจในเครื่องประดับตกแต่งของผู้หญิงอย่างมาก แม้แต่สีย้อมเล็บก็ตัดสินใจด้วยตัวเอง
“มีเื่อะไรต้องรีบกัน? เหตุใดข้าไม่รู้”
ท่าทีไม่ยี่หระของเยวี่ยเจาหรานทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ นางยกมือขึ้นมาตีลงบนหัวของเยวี่ยเจาหรานเบาๆ เยวี่ยเจาหรานที่กำลังจดจ่ออยู่กับเล็บมือ ทว่าพริบตาก่อนที่จะรู้สึกเจ็บ เขากลับหดคอหลบทัน
“ทำอะไรของเ้า! กำเริบเสิบสาน...” เสียงบ่นจู้จี้ของเยวี่ยเจาหรานนั้นไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงเมื่อปะทะกับความไร้เหตุผลของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ถึงอย่างไรเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว จะไปสนใจอะไรกำเริบ อะไรเสิบสานกันล่ะ?
“เ้าฟังนะ พวกเราไปรายงานกับท่านแม่เสร็จแล้ว กลับมาก็ต้องเตรียมตัวไปขี่ม้า... มีเื่ต้องจัดการตั้งมากมาย รถม้าต้องจัดเตรียมคนที่ไว้ใจได้ เสื้อผ้าก็ต้องหาชุดที่เหมาะสมให้เ้า เ้าใส่แต่ชุดกระโปรงเช่นนี้ออกไปไม่ได้ไม่ใช่หรืออย่างไร!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ได้สนใจว่าคอของเยวี่ยเจาหรานนั้นถูกตนตีจนหดหรือไม่ นางเพียงแค่สนใจเื่ของตนเท่านั้น แล้วหักนิ้วมือให้เยวี่ยเจาหรานฟังทีละนิ้ว
“อีกอย่างหนึ่ง หากเ้าอยากให้วันนี้ได้เที่ยวอย่างมีความสุขก็ยิ่งต้องรีบหน่อย ไม่เช่นนั้นดึกดื่นเที่ยงคืนกลับมาตัวเหม็นเหงื่อ หากถูกท่านแม่ท่านพ่อข้าจับได้แล้วจะแก้ตัวอย่างไร? หรือจะบอกว่าเ้าอาวาสวัดจินติ่งรั้งแขกไว้หรือ? หืม?”
ปากเล็กๆ ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอ้าๆ หุบๆ พูดไม่หยุด พูดจนเยวี่ยเจาหรานเองก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังอยากจะเย้าแหย่นางถึงจะรู้สึกพึงพอใจ “เช่นนั้นพวกเราก็ค้างที่วัดจินติ่งสักคืนหนึ่งก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยกลับสิ!”
“เ้าเอาจริงหรือ?!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหัวคิ้วขมวดมุ่น ราวกับได้ยินเื่ใหญ่หลวง นางแทบอยากจะจับเยวี่ยเจาหรานโยนออกไปให้มันรู้แล้วรู้รอดเสียเลย
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันก็ได้เดินผ่านประตูของเรือนเล็กมายังเขตของเรือนใหญ่แล้ว ที่นี่จะพูดอะไรอิสระไม่ได้แล้ว คนที่ผ่านไปมามีหญิงรับใช้เก่าแก่ในเรือนของฮูหยินและท่านแม่ทัพอยู่ไม่น้อย หากพูดให้พวกนางได้ยิน เื่จะต้องถึงหูฮูหยินเยี่ยนหรือใครสักคนแน่
ดังนั้นแม้แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ทำตัวเรื่อยเปื่อยจนเคยชิน ในยามนี้ก็ยังพยายามพูดเสียงเบา เยวี่ยเจาหรานที่กำลังจะถามว่า ‘ไม่ได้หรือ’ ทันใดนั้นก็มีสาวใช้ที่ดูไม่คุ้นตาคนหนึ่งผ่านมาทักทายพวกเขาสองคน
“นี่ ก็ได้ๆ รีบเข้าเถอะ ”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็นับว่ามี ‘ความเป็ชายชาตรี’ อยู่บ้าง รีบดึงเยวี่ยเจาหรานที่กำลังจะอ้าปากพูดมาอยู่ข้างหลังตน แล้วตอบรับสาวใช้ที่ทักทายผู้นั้นสองสามคำ หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจัดการเื่ของตนต่อไป ทว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในยามนี้ กลับเกิดความหวาดระแวงขึ้นมาอย่างมากทีเดียว
“เ้าเห็นแล้วใช่ไหม ที่นี่มีสายตาไม่น้อยกำลังจ้องมองเราอยู่ เ้าจะทำอะไรก็ระมัดระวังหน่อย”
“นี่เป็บ้านของเ้า เ้าจะตื่นตระหนกอะไรกัน” เยวี่ยเจาหรานยิ่งรู้สึกว่าฤทธิ์สุราเมื่อคืนทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วดื่มจนติ๊งต๊องไปแล้ว ไม่เช่นนั้นนางจะหวาดระแวงเห็นอะไรก็กลัวไปหมดเช่นนี้ได้อย่างไร? อย่างที่คิดว่าคราวหน้าคราวหลังจะดื่มสุราแกล้มเนื้อคงต้องระมัดระวังความปลอดภัย ที่ต้องระวังอย่างแรกก็คือต้องดูการผลิตให้ชัดเจน เหล้าหมักดอกท้อดอกกุ้ยฮัวในตอนที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเกิดสรุปว่าดื่มไม่ได้ทั้งนั้น แปดในสิบส่วนไม่หมดอายุก็ต้องมีพิษ
เอ๊ะ พูดก็ถูกนะ ที่นี่คือบ้านของข้า อย่างน้อยก็ต้องมีห้าหกเจ็ดคนที่รู้ว่าข้าไม่ใช่เยี่ยนอวิ๋นเฟย เช่นนั้นข้าจะกลัวอะไร? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพลันนึกขึ้นมาได้ นางหันไปจ้องเยวี่ยเจาหราน พูดขึ้นเหมือนโดนผีบอก “ข้าไม่ต้องตระหนกอีกแล้ว คนที่ควรตื่นตระหนกคือเ้าต่างหาก!”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อเยวี่ยเจาหรานได้ยินเช่นนั้นก็อยากจะร้องตามไปด้วยอย่างยิ่ง ทว่าสติยังทำให้เยวี่ยเจาหรานอดกลั้นไว้ได้ เขาเพียงแค่พยักหน้าเอ่ยกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตามน้ำ “ใช่แล้ว คนควรตื่นตระหนกคือข้าต่างหาก”
ทั้งสองก็เดินไปถึงประตูห้องของฮูหยินเยี่ยนด้วยความสับสนมึนงงเช่นนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเป็ผู้อยู่นำหน้า เคาะประตูไม้แกะสลัก เมื่อได้ยินเสียงฮูหยินเยี่ยนจากด้านในว่าให้ทั้งสองเข้าไปได้ ทั้งสองถึงได้คืนสู่ความสงบนิ่งและผึ่งผายอย่างที่ควรมีในที่สุด
“พวกเ้าสองคนมาด้วยกันได้อย่างไร ช่างน่าแปลกประหลาดนัก”
ฮูหยินเยี่ยนรับถ้วยชาในมือของสวี่ชิวเยวี่ยมา พลางชำเลืองมองเยี่ยนเยวี่ยสองคนเล็กน้อย จากนั้นจึงหลุบสายตาลงจิบชา แล้วไม่ได้เอ่ยอื่นใดออกมาอีก
ั้แ่ผ่านเหตุการณ์ขนมดอกท้อพลิกคว่ำมา ความสัมพันธ์ ‘แม่ผัวลูกสะใภ้’ ระหว่างเยวี่ยเจาหรานกับฮูหยินเยี่ยนก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายถึงไม่ได้เลวร้ายลงและก็ไม่ได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน เพียงแค่ในวันธรรมดาไม่ค่อยได้พบกัน จึงลดการกระทบกระทั่งลงไปได้มาก
ส่วนสวี่ชิวเยวี่ยน่ะหรือ แต่ไหนแต่ไรก็อาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจของฮูหยินเยี่ยนถึงสามารถอยู่ในจวนเยี่ยนต่อไปได้ นางย่อมต้องคอยพันแข้งพันขาฮูหยินเยี่ยนทุกวี่วัน เพื่อประจบประแจงเกาะเส้นสายนี้เอาไว้ให้มั่น
เมื่อเห็นทั้งสองต่างไม่เอ่ยปาก ฮูหยินเยี่ยนก็วางน้ำชาลงอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง นางเอ่ย “เห็นท่าทางของพวกเ้าแล้ว ไม่มีธุระคงไม่มาอุโบสถ [2] กระมัง”
เชิงอรรถ
[1] รักหยกถนอมบุปผา (怜香惜玉) หมายถึงการทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี
[2] ไม่มีธุระไม่มาอุโบสถ (无事不登三宝殿) หมายถึงหากไม่มีเื่ ไม่มีเหตุ ก็จะไม่มา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้