แม้เย่เฟิงจะไม่ได้คบค้าสมาคมกับราชวงศ์ แต่ก็เข้าใจเหตุผลเื่นี้ได้ ถึงกระนั้นบัดนี้เขามีภารกิจสำคัญยิ่งกว่า นั่นคือยกระดับพลังให้เร็วที่สุด เพื่อฟื้นฟูตระกูลเย่
เย่เฟิงพูดคุยกับจ้าวเยี่ยไปสักพักหนึ่ง เขาก็ขอตัวลาแล้วออกจากวังหลวง ซึ่งตอนออกไปเย่เฟิงไม่ได้บอกจ้าวซินอี๋แม้แต่นิด บางทีองค์หญิงแห่งอาณาจักรจ้าวอาจไม่คู่ควรกับคนอย่างเขา
ยามตกดึกฝนเริ่มตกโปรยปราย ตามถนนในเมืองหลวงมีน้อยคนที่ออกมาเดิน ขณะนั้นเว่ยฉีเทียนยืนอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง แต่มีหญิงสาวคนหนึ่งนอนหมดสภาพอยู่เบื้องหน้าชายร่างกำยำสองสามคนที่ถือกระบองอยู่ ซึ่งหญิงสาวถูกตีจนเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ยเผยให้เห็นผิวขาวดุจหิมะ ทั้งยังมีเืเปื้อนไปทั่วร่างนาง หญิงผู้นี้ก็คือจูเชวี่ยเว่ยหนึ่งในสี่มหาองครักษ์แห่งอาณาจักรเว่ย ก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงราชวงศ์ที่มีจ้าวเยี่ยเป็เ้าภาพ จูเชวี่ยเว่ยถูกเย่เฟิงโจมตีจนได้รับาเ็สาหัส บัดนี้ยังถูกทรมานอีกครั้ง ทำให้กระดูกหักหลายท่อนราวกับเหลือลมหายใจเพียงเฮือกสุดท้าย
“ตีนังทาสที่ไร้ประโยชน์นี่ซะ หากไม่ใช่เพราะนาง ชิงหลงเว่ยคงไม่ตายในน้ำมือของเย่เฟิงนั่น แล้วอาณาจักรเว่ยข้าก็ไม่ต้องขายหน้าประชาชี!”
“กล้าดียังไงมาทำให้อาณาจักรเว่ยเสื่อมเสียชื่อเสียง ต่อให้เ้าตายเป็พัน ๆ ครั้งก็มิอาจชดเชยความผิดได้!” เหล่าชายร่างกำยำกล่าวเสียงกร้าว จากนั้นใช้กระบองฟาดจูเชวี่ยเว่ยไม่ยั้งมืออย่างไร้ซึ่งความปรานี
“นังทาส เ้าดูิ่ชื่อจูเชวี่ยเว่ย แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 5 ก็ยังจัดการไม่ได้ อาณาจักรเว่ยอบรมสั่งสอนมาหลายปี ผลาญทรัพยากรไปตั้งเท่าไร วันนี้ต้องชดใช้ข้าคืนทั้งหมด!” เว่ยฉีเทียนกล่าวเสียงเย็นะเืขณะมองจูเชวี่ยเว่ย ในพจนานุกรมของเขามีเพียงคำว่ามีประโยชน์และไร้ประโยชน์ วันนี้จูเชวี่ยเว่ยแพ้เย่เฟิง นั่นเท่ากับเป็สวะไร้ประโยชน์ที่ต้องถูกกำจัดทิ้งด้วยวิธีโเี้ที่สุด
หลังจากเฆี่ยนตีอย่างโเี้ จูเชวี่ยเว่ยก็หมดสติไป เหล่าชายร่างกำยำถึงหยุดมือ
“องค์ชาย ควรจัดการนังทาสนี่อย่างไรดีขอรับ?” ชายร่างกำยำผู้หนึ่งกล่าว
“ให้นางตากฝนคืนหนึ่ง หากพรุ่งนี้ยังมีชีวิตรอด ก็ส่งนางไปที่หอนางโลม!” เว่ยฉีเทียนกล่าวเสียงเย็น ก่อนจะสะบัดชุดคลุมแล้วเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ น้ำฝนเทกระหน่ำใส่ร่างจูเชวี่ยเว่ย สภาพก็ดูน่าเวทนา ครั้งหนึ่งจูเชวี่ยเว่ยเคยเฉิดฉายไร้ที่สิ้นสุด แต่เพราะพ่ายแพ้ศึกเดียวก็มีจุดจบที่น่าเศร้าเช่นนี้ โลกแห่งความเป็จริงช่างโหดร้ายยิ่งนัก
ขณะนั้นเย่เฟิงที่สวมงอบเดินผ่านถนนเส้นนี้พอดีจึงพบจูเชวี่ยเว่ยในสภาพหายใจรวยริน
“ด้วยศักยภาพของเ้าควรมีอนาคตที่ดีกว่านี้ แทนที่จะมีสภาพอย่างในตอนนี้” เย่เฟิงกล่าว จากนั้นเขาอุ้มร่างจูเชวี่ยเว่ยขึ้นมาแล้วเดินไปตามริมถนนจนกระทั่งหายตัวไปท่ามกลางสายฝน
โรงเตี๊ยมชั้นที่สอง เว่ยฉีเทียนยืนดูฉากเย่เฟิงพาจูเชวี่ยเว่ยออกไปที่ริมหน้าต่าง พลางเหยียดยิ้มอย่างเย็นเยือก “ในเมื่อเ้าปรากฏตัวที่นี่ เช่นนั้นข้าจะให้พวกเ้าสองคนตายไปพร้อม ๆ กันเลย!”
“ไป ส่งคนไล่ตามคนนั้นที่เพิ่งออกไป แล้วฆ่าทิ้งซะ!” เว่ยฉีเทียนออกคำสั่งลูกน้อง
“ขอรับ!” คนนั้นรับคำสั่งแล้วถอยหลังออกไป พลันปรากฏเงาชุดดำนับสิบที่นอกโรงเตี๊ยมพร้อมกับถือมีดยาวที่เปล่งแสงเย็นะเื จากนั้นพวกเขาสะกดรอยตามเย่เฟิงด้วยความเร็วสูงสุด
เย่เฟิงเพิ่งจากมาก็รับรู้ได้ทันทีว่ามีลมปราณนับสิบสายสะกดรอยตามมาข้างหลัง แววตาของเขาจึงเผยความเย็นเยียบ แต่ขณะนั้นจูเชวี่ยเว่ยในอ้อมแขนอ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ สีหน้าซีดจนไร้เืราวกับว่าจะจากโลกนี้ไปได้ทุกเวลา ดังนั้นเย่เฟิงจึงต้องหยุดฝีเท้า เขานำขวดยาออกมาจากแหวนมิติก่อนจะป้อนยาลูกกลอนสองเม็ดเข้าปากจูเชวี่ยเว่ย จากนั้นถ่ายทอดพลังหยวนเข้าสู่ร่างกายเพื่อปกป้องสัญญาณชีพจรของจูเชวี่ยเว่ยไม่ให้หยุดเต้น
“ในเมื่อเ้าหยุดรอความตาย เช่นนั้นข้าก็จะส่งเ้าไปลงนรกซะ!” ขณะนั้นเงาดำหลายสิบร่างก็ตามมาทัน ก่อนจะเข้าปิดล้อมเย่เฟิง พวกเขาเฉลี่ยแล้วอยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ แต่จะฆ่าเย่เฟิงที่อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 5 คนเดียว เว่ยฉีเทียนคงดูถูกเย่เฟิงเกินไปแล้ว
เย่เฟิงวางร่างจูเชวี่ยเว่ยลง พลันหอกัเงินประกายปรากฏในมือ จากนั้นแทงหอกโจมตีชายชุดดำหนึ่งในนั้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ชายชุดดำผู้นั้นชะงักไปชั่วขณะ คล้ายไม่นึกว่าเย่เฟิงจะใจกล้าเผชิญหน้ากับพวกเขาที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่นับสิบคน จากนั้นเขากวัดแกว่งมีดยาวเพื่อต้านหอกของเย่เฟิง ทว่าหอกที่น่าสะพรึงกลัวนั่นแทงทะลุตัวมีด ก่อนปลายหอกจะทะลวงหน้าอกของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ทำให้ตายคาที่ เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ชุดดำคนอื่น ๆ เห็นฉากนี้ต่างต้องใ ดวงตาภายใต้หน้ากากยังส่องประกายเย็นเยือก
“ฆ่าเขา!” มีเสียงดังออกมาจากปากผู้ฝึกยุทธ์หนึ่งในนั้น จากนั้นรังสีมีดหลายสายพุ่งเข้าหาเย่เฟิงพร้อมกัน พร้อมกับมีไอสังหารที่หนาวเหน็บแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่
เย่เฟิงใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อหลบหลีกรังสีมีดที่พุ่งมาหาไม่หยุด พร้อมกับปลดปล่อยพลังแห่งทักษะหล่อิญญาและคัมภีร์หล่อกายาเทพา ก่อนจะปรากฏชุดเกราะเทพาและเปล่งแสงแห่งการป้องกันอันแกร่งกล้า
“วูบ!” หอกถูกแทงออกไปอีกครั้ง ก่อนจะทะลวงคอหอยของผู้ฝึกยุทธ์ชุดดำคนหนึ่งจนเืพุ่งกระฉูด ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นล้มลงไปกองกับพื้นกลายเป็ซากศพไร้ิญญา
ในขณะเดียวกันมีรังสีมีดพุ่งมาที่ด้านหลังเย่เฟิง แต่มันโจมตีเข้าที่ชุดเกราะเทพาจนเกิดประกายไฟเจิดจ้า ตอนนั้นเองแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของเย่เฟิง ก่อนจะควงหอกแทงไปยังลำคอของผู้ฝึกยุทธ์ชุดดำคนนั้นแล้วตัดสะบั้นของเขาทันที
“ตาย!”
ตอนนั้นเองมีแสงเยือกเย็นสายหนึ่งพุ่งมาทางด้านซ้ายด้วยความเร็วสุดขีด ซึ่งเล็งเป้าที่ลำคอของเย่เฟิง แต่เย่เฟิงใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อหลบหลีกมีดนั่น ก่อนจะแทงหอกไปที่หว่างคิ้วของอีกฝ่ายทันที ทำให้การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายชะงักลง แล้วร่างก็ล้มลงไปพร้อมเค้นเสียงไม่พอใจดังออกจากปาก เขาไม่คาดคิดไม่คาดฝันว่าตัวเองจะมาตายเช่นนี้ ถูกผู้ที่ตนประเมินต่ำไปฆ่าตายในเสี้ยวพริบตา ช่างน่าอนาถยิ่งนัก
“ทำไมพลังของหมอนี่ถึงวิปริตขนาดนี้!”
เพียงเวลาสั้น ๆ ก็มีผู้ฝึกยุทธ์ชุดดำหลายคนตายคาหอกของเย่เฟิง นี่ทำให้คนที่เหลือต่างตาเบิกโพลงด้วยความใ สองสามคนในบรรดาพวกเขาไปงานเลี้ยงราชวงศ์จ้าวพร้อมกับเว่ยฉีเทียน จึงรู้ดีว่าพลังของเย่เฟิงแข็งแกร่งเพียงใด แต่เย่เฟิงในเวลานั้นก็แค่เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่สองคนอย่างจูเชวี่ยเว่ยและชิงหลงเว่ยเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วพวกเขามีสิบกว่าคนก็ย่อมแกร่งกว่าแน่นอน
ตามหลักแล้วพวกเขาสิบกว่าคนลงมือพร้อมกันก็ควรฆ่าเย่เฟิงได้อย่างง่ายดาย แต่ความเป็จริงกลับไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เช่นนั้น ตอนสู้กับพวกเขาพลังของเย่เฟิงก็ดูเหมือนจะน่ากลัวขึ้นกะทันหันราวกับเทพสังหารมาเยือน หนึ่งหอกสังหารหนึ่งคน!
รังสีหอกของเย่เฟิงกระหน่ำโจมตีไม่หยุด ทำผู้ฝึกยุทธ์ชุดดำที่เหลือต่างหวาดกลัว หอกของเย่เฟิงทั้งเร็วและแม่นยำมากเกินไป การจะสังหารพวกเขาเกรงว่าคมหอกที่สองก็คงไม่จำเป็
ในความเป็จริงตอนที่เย่เฟิงสู้กับชิงหลงเว่ยและจูเชวี่ยเว่ย เขาใช้พลังไปแค่เก้าส่วนเท่านั้น ไม่ใช่พลังที่เย่เฟิงซ่อนเร้น ทว่าเป็เย่เฟิงที่เชี่ยวชาญการต่อสู้มากกว่า
ที่เทือกเขาเทียนซีในแดนจิ่วโยว เย่เฟิงได้ขัดเกลาพลังต่อสู้ผ่านการเข่นฆ่าสัตว์อสูร ทั้งยังมีหลายครั้งที่สังหารปลายยอดปีศาจิญญาหลายตนพร้อมกัน และได้รับชัยชนะทุกรอบ
เมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ชุดดำเหล่านี้ พลังของปีศาจิญญาเ่าั้แข็งแกร่งกว่ามาก แม้เผชิญหน้ากับศัตรูที่อ่อนแอ แต่หากจำนวนคนไม่มากพอก็ย่อมไม่มีทางทำอะไรเย่เฟิงได้ ดังนั้นเย่เฟิงจึงกำจัดผู้ฝึกยุทธ์ชุดดำเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
“ใครส่งพวกเ้ามา?” เย่เฟิงยืนตระหง่านพร้อมกับมีเืไหลออกจากปลายหอกไม่หยุด แล้วผนวกกับสายฝน กลิ่นอายแห่งความตายอันหนาวเหน็บก็ยิ่งเข้มข้น
“เ้าไม่มีสิทธิ์รู้!” ผู้ฝึกยุทธ์ชุดดำคนหนึ่งกล่าว จากนั้นเห็นคนที่เหลือนำยาลูกกลอนออกมา ก่อนจะกลืนมันลงไป ยาออกฤทธิ์ในพริบตา ทำให้ลมปราณของคนเ่าั้เปลี่ยนไปแกร่งขึ้น ทั้งยังมีไอมารปะทุออกจากร่างพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็พลังมารแล้วอาละวาดไปทั่วพื้นที่
“กร๊อบ!” เสียงกระดูกเคลื่อนดังออกจากร่างของผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้ นาทีนี้เย่เฟิงพบว่าร่างกายของพวกเขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าใ ร่างกายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวลาอันสั้น ทุกสัดส่วนล้วนขยายตัวรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัดจนเสื้อผ้าฉีกขาด ดวงตาส่องประกายแสงสีแดงเืทั้งยังมีไอมารรายล้อมร่างกาย
“แปรสภาพมาร!” คำนี้ผุดขึ้นในหัวของเย่เฟิงฉับพลัน แม้เย่เฟิงจะไม่เคยประสบด้วยตัวเอง แต่ในคัมภีร์บางเล่มมีการกล่าวถึงการแปรสภาพมาร ซึ่งการแปรสภาพมารแบ่งออกเป็สองประเภท ประเภทแรกคือหยิบยืมพลังมาร ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์แปรสภาพเป็มาร มีพลังเพิ่มขึ้นหลายเท่าและมีโอกาสชนะสูง ประเภทสองคืออาศัยเม็ดยาบางชนิดในการแปรสภาพเป็มารในเวลาอันสั้น
แน่นอนว่าประเภทแรกมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า แต่เมื่อพลังมารถึงขีดสูงสุด การแปรสภาพมารจะมีประสิทธิผลไปตลอด ส่วนประเภทสองเรียบง่ายกว่าประเภทแรกมาก เพราะการพึ่งพาเม็ดยาในการแปรสภาพมารจะมีผลแค่ชั่วคราว พอยาหมดฤทธิ์ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม ซึ่งเม็ดยาที่ใช้มักจะมีผลข้างเคียงไปในทางที่ดี เพียงแต่จะใช้ในยามคับขันเท่านั้น
พลังของเย่เฟิงทำให้ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้รู้สึกสิ้นหวัง ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ยาแปรสภาพมารที่องค์ชายมอบให้พวกเขา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสังหารเย่เฟิง!
