เมื่อรู้ว่าน้องชายของตนที่ทำงานอยู่ในจวนตระกูลหวงส่งคนมา จึงรีบเชิญเข้าบ้าน จากนั้นให้หลิวเสี่ยวหลันมารินน้ำชา
เื่ที่ได้หน้าเช่นนี้ ปกติแล้วไม่ใช่หน้าที่ของสองพี่น้องหลิวเต้าเซียงแต่อย่างใด
หลิวเต้าเซียงอุ้มหลิวชุนเซียงขึ้นมาแล้วไปที่ห้องครัว จากนั้นส่งให้หลิวชิวเซียง “พี่ใหญ่ ข้าจะไปสืบเื่ราวหน่อย”
หลิวชิวเซียงเพิ่งทำทุกอย่างเรียบร้อย ก็รับหลิวชุนเซียงมาแล้วเอ่ย “เ้าอย่าไปขวางหูขวางตาย่าเชียว คนที่มาคือลูกน้องของน้องชายย่า”
“รู้แล้ว พี่วางใจได้ ข้าจะแอบย่องไปฟังจากหลังบ้าน” พูดจบก็รีบอ้อมไปหลังบ้าน
หลิวฉีซื่อเมื่อได้ยินว่าน้องชายให้เกียรติตนเองเช่นนี้ อารมณ์ที่หม่นหมองก็หายไปหมดสิ้น เผยใบหน้ายิ้มแย้มเชิญคนเข้าบ้าน
หลังจากที่ผู้มาเยือนนั่งลงแล้วดื่มน้ำชา นางจึงเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไร แล้วน้องชายข้าเป็อย่างไรบ้าง?”
“ข้าแซ่โจว เป็พ่อบ้านที่ทำงานภายใต้คำสั่งของผู้ดูแลฉี ก่อนหน้านี้สะใภ้ของผู้ดูแลฉีได้ให้กำเนิดบุตรชาย ผู้ดูแลฉีให้ข้านำไข่มาแจ้งข่าวดี พร้อมกับสอบถามความเป็ไปของฮูหยินว่าสุขสบายดีหรือไม่ขอรับ”
เมื่อหลิวฉีซื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกนางว่าฮูหยิน ก็เริ่มรู้สึกมีความโอ้อวด ยิ้มแล้วเอ่ย “สถานที่ชนบทเช่นนี้ หาได้มีเื่ราวอะไร เพียงแค่ทำนา ดูแลเื่ภายในบ้านก็เท่านั้น”
พ่อบ้านโจวเห็นว่านางใบหน้ามีเืฝาด พูดจามีพลัง ไม่เหมือนว่าได้รับความลำบากตรากตรำ ในใจจึงคิดว่าออกมาทำงานทั้งที กลับไปต้องได้รับการตบรางวัล น้ำเสียงจึงแฝงไปด้วยความเป็มิตร
“ปีนี้ไม่ว่าจะทำการอันใด ขอเพียงมีเงินไหลเข้ามาก็เพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้น ได้ยินว่าคุณชายสี่นั้นเป็ผู้ร่ำเรียนมีการศึกษา ต่อไปคงชีวิตดีไม่น้อย จะว่าไปชีวิตของฮูหยินช่างดีเหลือเกิน นับวันจะมีแต่ร่ำรวยมั่งมี”
หลิวฉีซื่อดีใจจนปากหุบยิ้มไม่ได้ จึงยิ้มแล้วตอบ “ขอให้สมพรปาก ต่อไปหากลูกชายสี่ของข้าได้เป็ชิ่วไฉจริง พ่อบ้านโจวต้องให้เกียรติมาดื่มฉลองสักหน่อย”
พ่อบ้านโจวตอบรับด้วยความปลื้มปิติอยู่แล้ว
อิงตามหลัก ต่อไปก็ถึงเวลาสมควรที่พ่อบ้านโจวต้องร่ายรายการของกำนัล
หลิวฉีซื่อคิดอยากเร่งให้เขาเอาออกมาไวๆ เมื่อมองดูตะกร้าแบกหามสีแดงหลายอันที่กองอยู่ตรงลานบ้าน ในใจก็ลุกโชน
พ่อบ้านโจวย่อมอ่านใจออก เพียงแต่คิดว่ายังมีเื่ที่ไม่ได้พูด จึงกระแอมเล็กน้อย เมื่อเห็นหลิวฉีซื่อไม่ได้ถามเื่ของบุตรชายคนโตจึงรีบเอ่ยออกมา “ฮูหยิน ยังมีอีกหนึ่งเื่ที่ข้าเกือบลืมบอกไป บุตรชายคนโตของฮูหยิน หัวหน้าหลิวฝ่ายบัญชีได้ไหว้วานข้าให้มาส่งจดหมายหนึ่งฉบับ”
หลิวฉีซื่อตกตะลึง รู้สึกแปลกประหลาดกับคำเรียกนี้ ‘ฝ่ายบัญชี’ ต่อมาถึงรู้ว่าบุตรชายคนโตของตนเป็นักบัญชีอยู่ที่จวนตระกูลหวงอย่างนั้นหรือ?
“เขาส่งจดหมายมาว่าจะกลับมาไม่ใช่หรือ?”
จากที่ฟัง น้ำเสียงของนางไม่พอใจนัก เดาว่าสะใภ้ใหญ่เห็นว่าเดินทางไม่สะดวกจึงไม่ยอมกลับมาเช่นนั้นหรือ? คนเคียงหมอนนี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
นางจึงคิดในใจว่าหากวันใดที่ครอบครัวบุตรชายคนโตกลับมา ย่อมต้องหาเวลาจัดการสะใภ้ใหญ่สักครา แล้วตักเตือนนางว่าบ้านหลังนี้ใครกันแน่ที่เป็ประมุขในบ้าน
หลิวฉีซื่อเป็คนรับใช้เก่าของย่าใหญ่ตระกูลหวง ย่อมต้องรู้หนังสือ จึงยิ้มและรับจดหมายมา
เมื่อเห็นลายมือพู่กันที่คุ้นตา หลิวฉีซื่อนั้นโกรธเป็ฟืนเป็ไฟในใจ ดีที่ยังรู้ว่าแขกยังอยู่ในบ้าน จึงข่มไฟโมโหแล้วเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เฮ้อ ลูกอยู่ข้างนอกไม่รู้ว่าจะได้กินดีอยู่ดี สุขภาพจะแข็งแรงหรือไม่ ทุกครั้งที่ส่งจดหมายมา ล้วนพร่ำบอกแต่ความสุข มิเอ่ยถึงความทุกข์”
การกตัญญูในยุคโบราณเป็เื่สำคัญ หากว่ากลับมาได้ เทศกาลเชงเม้งก็จำต้องกลับบ้านเกิด ดังนั้นเทศกาลเชงเม้งจึงเป็วันที่สำคัญอย่างมากวันหนึ่ง
ตีให้ตายนางก็คงไม่บอกว่าบุตรชายคนโตไม่ยอมกลับมาไหว้สุสาน หากเกิดข่าวกระจายออกไป คงมีผลต่อชื่อเสียงของเขา ยิ่งไปกว่านั้นบุตรชายคนเล็กยังร่ำเรียนอยู่ ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้ชื่อเสียงผ่านเกณฑ์เช่นเดียวกัน
พ่อบ้านโจวปลอบโยนนางโดยไม่ขาดตกบกพร่อง จากนั้นนางก็เอ่ยถาม “เอ ข้าออกจากจวนตระกูลหวงมาก็หลายสิบปี ตอนนี้บุตรชายได้เข้าไปทำงานในนั้น ไม่รู้ว่าในจวนตอนนี้เป็เช่นไร ย่าใหญ่สบายดีหรือไม่ เสียดาย่ก่อนหน้านี้ข้าไม่อาจปลีกตัวได้ มิเช่นนั้น คงต้องเข้าเมืองหลวงไปกราบท่านย่าใหญ่สักหน่อย หากว่าได้เห็นนางกินดีอยู่ดี สุขภาพแข็งแรง ข้าก็จะได้วางใจ”
หลิวเต้าเซียงที่แอบฟังอยู่หลังบ้านอดไม่ได้ที่เบะปาก รู้สึกดูแคลนกับเื่ราวเช่นนี้
พ่อบ้านโจวเป็คนเ้าเล่ห์มีไหวพริบ รีบตอบกลับว่า เมื่อกลับไปต้องนำเรียนความหวังดีของนางที่มีต่อท่านย่าใหญ่ให้ได้รับรู้
ออ ขณะนั้นท่านย่าใหญ่ได้เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็ฮูหยินใหญ่ตระกูลหวงแล้ว สถานะก็สูงส่งขึ้น
“ในจวน่นี้เป็เช่นไรบ้าง? เดาว่าทุกคนคงใช้ชีวิตกันอย่างราบรื่นสงบสุขสินะ” พ่อแม่ของหลิวฉีซื่อเสียไปนานแล้ว เหลือเพียงตนเองกับน้องชายที่ทำงานอยู่ที่นั่น
พ่อบ้านโจวคิดว่านางยังระลึกถึงคุณความดีของนายท่านในจวน จึงตอบ “ในจวนทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ เหล่าคุณชายต่างก็ร่ำเรียน ส่วนคุณหนูทั้งหลายก็เชิญอาจารย์ชาวตะวันตกมาสอน ฮูหยินกับคุณนายน้อยทั้งหลายก็สุขสงบ ส่วนนายท่านทั้งหลายก็ออกไปทำงานนอกบ้านกันหมด ยามปกติ ในจวนก็ไม่ได้มีเื่อันใดเร่งด่วนขอรับ”
หลิวฉีซื่อฟังแล้วปอดแทบะเิ บุตรชายของนางเขียนมาทั้งหมดสามหน้า บอกว่าปีนี้ในจวนค่อนข้างยุ่ง แล้วบอกว่ามีการเพิ่มคนรับใช้มาไม่น้อย ไหนจะเพิ่มคุณนายน้อยมาอีกหลายท่าน เขายุ่งอยู่กับการคำนวณ จึงปลีกตัวกลับมาไม่ได้จริงๆ
บวกกับหน้าฝนปีนี้ฝนเยอะเป็พิเศษ เดินทางไม่สะดวก ในจวนก็ยุ่งกับการดำนาฤดูใบไม้ผลิ เขาเป็นักบัญชี วันๆ ยุ่งแต่เื่เงินที่เข้าออก ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด
“ข้าจำได้ว่าตอนที่อยู่ในจวน ฮูหยินท่านก่อนดูแลบ้าน ่เวลานี้เป็่ที่ต้องยุ่งกับการดำนาฤดูใบไม้ผลิ ตอนนี้ผลัดเปลี่ยนเป็ท่านย่าใหญ่ดูแลบ้าน เกรงว่าก็คงต้องยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นเช่นเดียวกัน”
“ก็ไม่เช่นนั้นเสียทีเดียวขอรับ เื่ภายนอกมีหัวหน้าแต่ละฝ่ายดูแลอยู่ ท่านย่าใหญ่ก็ทำเพียงขยับปากสั่ง อีกอย่าง การดำนาฤดูใบไม้ผลิมีข้อมูลของทุกปี แค่เพียงทำตามลำดับเดิมก็เป็พอ” พ่อบ้านโจวพูดตามความจริงที่ตนเองทราบ
หาได้รู้ไม่ว่าหลิวฉีซื่อนั้นกัดฟันนานแล้ว เมื่อในจวนไม่ได้ยุ่ง เหตุใดบุตรชายคนโตจึงไม่ยอมกลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่
เมื่อคิดว่าเขานั้นง่วนอยู่กับการทำบัญชี ในใจทั้งทอดถอนใจและเป็ห่วง พลันรู้สึกว่าการทำงานในเมืองหลวงไม่ง่ายดาย แต่ก็โมโหที่ในใจเขาหาได้มีพ่อแม่อยู่
จากนั้นพ่อบ้านโจวก็มอบรายการของกำนัลให้นาง และนำจดหมายตอบกลับของหลิวฉีซื่อกลับไป รอจนเมื่อฟ้าเปิด หากมีเวลาจะพาบุตรสาวเข้าเมืองซีโจวเพื่อเยี่ยมหลานชายของตน
จากนั้นก็กลับเข้าห้องไปเตรียมของขวัญ เพื่อที่ให้พ่อบ้านโจวนำของขวัญตอบแทนกลับเมืองหลวงไป
หลิวเต้าเซียงสงสัย การที่หลิวสี่กุ้ยไม่กลับมาแต่กลับเขียนจดหมาย เื่ราวคงไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น
ก่อนพลบค่ำ หลิวเหรินกุ้ยก็พาครอบครัวของตนกลับมาถึงบ้านด้วยความปลื้มปิติ
“แม่ ข้าได้ยินมาว่าในจวนมีส่งคนมาหรือ?”
ประโยคแรกของหลิวเหรินกุ้ยก็ทำให้หัวใจของหลิวฉีซื่อนั้นรู้สึกแย่
นางชักสีหน้าทันใด หากว่าสายตาสามารถถลกเนื้อหนังจนเหลือเพียงกระดูกได้ ถ้าเช่นนั้นขณะนี้หลิวซุนซื่อคงเหลือแต่โครงกระดูกอยู่ตรงลานบ้าน
“เอ ข้าก็นึกว่ายืมลูกชายคนอื่นมาเลี้ยงเป็ของตนเองเสียนี่!” หลิวเหรินกุ้ยเพียงแค่ทักทายมารดา
หลิวซุนซื่อเบ้ปาก ฝืนทักทายตาม
แต่ท้ายที่สุดก็เป็ลูกแท้ๆ ที่ให้กำเนิดมาเอง หลิวฉีซื่อเห็นว่าเขากลับมา ความโมโหก็มลายหายไปบ้าง หางตาเหลียวมองหลิวซุนซื่อก่อนจะใช้เสียงด่า “เ้ายังมีหน้ากลับมาบ้านอีกหรือ? รังเกียจบ้านข้าว่าไม่ดีมิใช่หรือ? ยังไสหัวกลับมาทำไม?”
เอวของหลิวเหรินกุ้ยถูกหลิวซุนซื่อหยิกเต็มแรง เขารีบตอบ “แม่ ท่านพูดอะไรออกมาน่ะ พวกข้ารีบเดินทางกลับมา กระทั่งน้ำก็ยังไม่ได้ดื่ม”
หลิวฉีซื่อยกมือขึ้น ชี้มาทางหลิวซุนซื่อแล้วด่า “เหรินกุ้ย เ้าบอกมาให้ชัดเจนนะ วันนี้เทศกาลเชงเม้ง เหตุใดจึงกลับมาตอนเย็นเช่นนี้?”
หลิวเหรินกุ้ยหันไปมองนอกประตู ในหมู่บ้านมีคนทำนาอยู่ กำลังชะเง้อคอมองเข้ามา เมื่อเห็นหลิวเหรินกุ้ยทักทาย ก็ะโทักทายมาเช่นกัน เหรินกุ้ยกลับมาแล้วหรือ?
“ใช่ วันนี้มีความล่าช้า แม่ของข้าไม่พอใจ บอกว่าจะบิดหูข้าออกมาผัดกินตอนค่ำ”
หลิวเหรินกุ้ยทำงานอยู่ในโรงเตี๊ยม เรียนรู้การพูดจาได้ไหลลื่น
อีกฝ่ายหัวเราะและพูดคุยสนุกสนานกับเขา จากนั้นก็ทำงานต่อ
หลิวเหรินกุ้ยเกลี้ยกล่อมหลิวฉีซื่อและกล่าวว่า “แม่ แม่ดักพวกข้าไว้ที่ประตู คนข้างบ้านจะเอาไปซุบซิบนินทาได้ ไม่ได้ส่งผลดีต่อท่านแม่เลย”
“ส่งผลไม่ดีต่อข้า?” หลิวฉีซื่อเปล่งเสียงสูงทันใด อารมณ์ของนางนั้นแตกต่างจากปีก่อน ่นี้มีแต่เื่วุ่นวายใจ ตอนนี้ในหมู่บ้านต่างก็รับรู้ว่านางทำไม่ดีต่อลูกสะใภ้ ดีที่นางวางแผนไว้ดี บุตรสาวคนเล็กก็ให้ติดตามคุณชายน้อย ส่วนบุตรชายคนที่สี่ รอจนเขาสอบชิ่วไฉได้ ย่อมไม่มีทางสนใจหญิงสาวเปื้อนดินเปื้อนโคลน จำต้องได้แต่งงานกับหญิงสาวลูกผู้ดีมั่งมีเป็แน่
เมื่อถึงเวลานั้น พวกคนยากจนรอบข้างจะต้องอิจฉาครอบครัวของตน
ใช่แล้ว หลิวฉีซื่อไม่เคยคิดว่าตนเองเป็สะใภ้ชาวนา นางคิดมาตลอดว่าที่ตนเองต้องออกจากจวนตระกูลหวง ก็ยังสูงส่งกว่าคนยากจนพวกนี้
หลิวเหรินกุ้ยเห็นสีหน้าของแม่ไม่สู้ดีนัก ไม่รู้ว่าตนเองทำผิดเื่ใด แต่เขาคือคนที่ช่างสังเกตสีหน้า จึงเลิกแขนเสื้อแล้วเอ่ย “แม่ ใครกันที่กล้าบังอาจรังแกแม่ ลูกจะไปช่วยแก้แค้นให้หายเคืองเอง?”
หลิวฉีซื่อรู้สึกว่าบุตรชายคนรองของตนนั้นไม่เหมือนคนที่ได้เมียแล้วลืมแม่ จึงไม่เอ่ยถึงอีก “ใครจะกล้ารังแกข้า?!”
“แม่ ท่านทำใจให้สบาย เราเข้าบ้านแล้วค่อยคุยกันเถิด” หลิวเหรินกุ้ยมีใบหน้ายิ้มแย้มแล้วพยุงแขนของหลิวฉีซื่อ จากนั้นทำท่าทีให้หลิวซุนซื่อช่วยพยุงอีกหนึ่งข้าง และให้หลิวจูเอ๋อร์ที่ถือของขวัญเดินนำหน้าไป
นี่คือเคล็ดลับของเขา เขาไม่จำเป็ต้องสู้รบปรบมือกับหลิวฉีซื่อ ขอเพียงให้นางเห็นของขวัญที่ตนนำมา เช่นนี้แล้วไฟโมโหในใจของหลิวฉีซื่อก็คงดับมอดไปเอง
หลิวฉีซื่อเหลือบเห็นของในมือของหลิวจูเอ๋อร์ เดิมทีสายตาที่ทำแค่มองผ่านก็เป็ประกายขึ้นมา นอกจากเนื้อกับสุราแล้ว ยังมีห่อผ้าหนึ่งคู่ ดูจากห่อแล้วน่าจะเป็ผ้าที่เย็บชุด
สีหน้าของหลิวฉีซื่อดูดีขึ้นมาเล็กน้อย ยิ้มแล้วเอ่ยกับหลิวเหรินกุ้ย “รีบเข้าบ้านเร็ว” นางะโไปทางห้องทิศตะวันตก “เต้าเซียง รินน้ำชามาให้ลุงรองกับป้ารองสองถ้วย”
“เข้าใจแล้ว” หลิวเต้าเซียงตอบรับจากในห้อง
ครอบครัวของหลิวเหรินกุ้ยเพิ่งจะนั่งลง หลิวเต้าเซียงก็ใช้ถาดไม้ยกน้ำชามาหลายถ้วย
ดวงตาของหลิวซุนซื่อฉายประกายคมกริบจรดลงถาดน้ำชา ในใจบ่นอุบอิบว่าแม่สามีตนเองนั้นลำเอียงอีกตามเคย
“นี่คือเต้าเซียงหรือ ไม่ได้เจอกันหลายเดือน เหมือนจะตัวสูงขึ้น ยิ่งขยันหมั่นเพียรกว่าเดิมเสียอีก”
หลิวเหรินกุ้ยรับชาไป แล้วแสร้งทำเป็เอ่ยชมเชยหลิวเต้าเซียงเล็กน้อย
หากเป็เด็กทั่วไป คงนึกว่าตนเองนั้นดีเช่นที่เขากล่าวออกมา แต่เนื้อในของหลิวเต้าเซียงคือผู้ใหญ่
-----